ตอนพิเศษ 4-1 เซี่ยหมิงผู่ (ต้น)

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

ฤดูใบไม้ผลิรัชศกต้ายงที่สองร้อยเอ็ด ราชบุตรเขยสามเซี่ยหมิงผู่รับราชโองการพาองค์หญิงไปรับหน้าที่เป็นข้าหลวงใหญ่ที่เจียงหนาน

 

 

มองอยู่บนเรือ ต้านลมฤดูใบไม้ผลิที่พัดมา มองไปทางคลื่นน้อยๆ บนแม่น้ำ เซี่ยหมิงผู่รู้สึกสบายใจมาก การกลับมาครั้งนี้ ถือว่าเป็นการกลับมารับราชการที่บ้านเกิด

 

 

“ท่านพี่ อีกนานไหมกว่าจะถึงเจียงหนาน” ฉาฮวาเอ่ยถามเสียงเบา อ้อ ไม่ซี ตอนนี้ฉาฮวาเปลี่ยนชื่อเป็นเซี่ยม่านเอ๋อร์แล้ว

 

 

ตอนนี้เซี่ยม่านเอ๋อร์ไม่ใช่เด็กน้อยเหมือนก่อนแล้ว ปีนี้นางอายุสิบสี่ปี กลายเป็นหญิงสาวผู้มีใบหน้าหมดจดงดงาม

 

 

เซี่ยหมิงผู่มองใบหน้างดงามของน้องสาว ยิ้มอย่างรักใคร่แล้วเอ่ย “เจียงหนานหรือ ยังอีกไกล อย่างน้อยก็อีกเจ็ดแปดวัน”

 

 

เซี่ยม่านเอ๋อร์ดวงตาเป็นประกาย จากนั้นก็พูดว่า “ท่านพี่ แล้วเจียงหนานเป็นอย่างไร”

 

 

เซี่ยหมิงผู่พลันรู้สึกเจ็บปวดที่ใจขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ตอนที่พวกเขาพี่น้องถูกไล่ฆ่าต้องหนีจากเจียงหนานมานั้น น้องสาวเพิ่งจะอายุห้าขวบ ยังเป็นเด็กที่ไม่เคยออกนอกจวนมาก่อน ผ่านไปเก้าปี น้องสาวไม่มีความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับเจียงหนานเลยแม้แต่นิดเดียว

 

 

“เจียงหนานน่ะหรือ เจียงหนานไม่เหมือนเมืองหลวงเลย เจียงหนานมีอากาศอุ่นชื้น ลมฤดูใบไม้ผลิอบอุ่น มีสะพานมากมาย ดอกท้อปลิวไสวราวสายน้ำ ยังมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาอีกด้วย” เซี่ยหมิงผู่เหม่อมองไปไกล ราวกับกำลังนึกย้อนกลับไปในความทรงจำ

 

 

เซี่ยม่านเอ๋อร์ร้อง “อ้อ” ขึ้นมาเบาๆ ที่จริงนางเพียงถามไปอย่างนั้นเอง เจียงหนานจะดีอย่างไร นางก็ยังคิดถึงเมืองหลวงอยู่ดี นางคิดถึงคุณหนูที่คอยอบรมสั่งสอนนางจนเติบใหญ่ คิดถึงเถาฮวาที่อยู่เป็นเพื่อนนางเสมอ คิดถึงพวกพี่หลีฮวาพี่เหอฮวา และยังคิดถึงเยว่เป่าตัวน้อย นางคิดถึงทุกสิ่งทุกอย่างของเมืองหลวง

 

 

และนางก็รู้ว่าถึงนางจะอาวรณ์เพียงใด นางก็ต้องตามพี่ชายกลับมายังเจียงหนานอยู่ดี นางรู้มาตั้งแต่เล็กแล้วว่านางไม่เหมือนกับพวกเถาฮวา จะต้องมีสักวันที่นางต้องแยกจากคุณหนู พี่ชายของนางต้องตามตัวกลับไปแน่ ดังนั้นตอนนั้นนางจึงเอาแต่จ้องมองพี่ชาย พลางหวังให้พี่ชายมาช้าหน่อยก็คงจะดี

 

 

“ท่านพี่ ข้าขอตัวเข้าไปดูพี่สะใภ้และอวี้เอ๋อร์ก่อน” เซี่ยม่านเอ๋อร์กลับเข้ามาในตัวเรือ เหลือเพียงเซี่ยหมิงผู่ที่ยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้นเพียงผู้เดียว

 

 

เซี่ยหมิงผู่รู้สึกซาบซึ่งในตัวฝ่าบาทอย่างถึงที่สุด รัชกาลยงเซวียนที่สิบเจ็ด ฝ่าบาทเลือกให้เขาเป็นจอหงวน จากนั้นก็พระราชทานลูกสาวที่รักให้แต่งงานกับเขา ฝ่าบาทเสียดายความสามารถของเขา ไม่ปล่อยให้เขาอยู่เฉยๆ ไม่ปล่อยให้เขาได้พักงาน และไม่ได้พระชานทานยศขุนนางให้เขา แต่ส่งเขาไปฝึกฝนที่กรมขุนนางพลเรือน

 

 

ในสี่ปีนี้เขาหมุนเวียนไปตามกรมต่างๆ เกือบหกกรม ตอนนี้ฝ่าบาทยังให้เขาเป็นข้าหลวงใหญ่ผู้แทนพระองค์ในเขตเจียงหนาน ข้าหลวงใหญ่ที่อายุแค่ยี่สิบเอ็ดปี! เขาไม่ได้เหลิงในอำนาจลาภยศ แต่เขากลับรู้สึกหวาดกลัว! พระกรุณาล้นพ้นเพียงนี้เชียว! เซี่ยหมิงผู่รู้ดีว่าที่ฝ่าบาทให้เขากลับไปรับราชการที่บ้านเกิดครั้งนี้ก็เพื่อมอบโอกาสแก้แค้นให้แก่เขา

 

 

ตั้งแต่ที่ฮ่องเต้มีพระราชโองการมอบสมรสพระราชทานให้ เขาก็บอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดของตัวเอง ไม่คิดว่าฝ่าบาทจะยังจำได้ เมื่อคิดเช่นนี้ ในใจของเซี่ยหมิงผู่ก็ร้อนเหมือนไฟเผา

 

 

นักรบยอมตายเพื่อคนรู้ใจ ฝ่าบาท กระหม่อมจะไม่ทำให้พระองค์ต้องผิดหวัง ไม่ยอมให้แผ่นดินต้ายงนับหมื่นลี้ต้องผิดหวัง

 

 

เมื่อคิดถึงเจียงหนานที่กำลังจะไปถึง เมื่อคิดถึงตระกูลเซี่ย สายตาของเขาก็ค่อยๆ เย็นชาลงไป

 

 

ภายในห้องโดยสารเรือ เซี่ยม่านเอ๋อร์กำลังพูดคุยกับองค์หญิงพี่สะใภ้ หลานชายวัยขวบเศษร้องอ้อแอ้อยู่บนเตียงกำลังเล่นของเล่น

 

 

“ม่านเอ๋อร์เป็นอะไรไป” องค์หญิงสามหลงรักราชบุตรเขยตั้งแต่แรกเห็น นับตั้งแต่แต่งงานมาความรู้สึกของคนทั้งสองก็ยิ่งลึกซึ้ง แน่นอนย่อมรักน้องสาวคนนี้ไปด้วย เมื่อเห็นว่านางไม่ค่อยมีความสุข ก็รีบออกปากไถ่ถาม

 

 

นับแต่พี่ชายแต่งงานกับองค์หญิง เซี่ยม่านเอ๋อร์ก็ย้ายเข้ามาอยู่ในจวนองค์หญิงร่วมกับพี่ชายและพี่สะใภ้ นางและองค์หญิงสามล้วนแล้วแต่เป็นคนไม่มีพิธีรีตองมากนัก ได้อยู่ร่วมกันมาหลายปีเช่นนี้ความรู้สึกของน้องสาวและพี่สะใภ้อยู่ในทิศทางที่ดี

 

 

เซี่ยม่านเอ๋อร์ช้อนตัวหลานชายขึ้นมาอุ้มอยู่ในอก พลางพูดว่า “พี่สะใภ้ ข้าคิดมาตลอดว่าบ้านสกุลเซี่ยคงไม่ค่อยสบายนัก”

 

 

องค์หญิงสาวเข้าใจในทันที นางรู้เรื่องปูมหลังของราชบุตรเขยดี เป็นถึงบุตรชายเอกของตระกูลขุนนางแห่งเจียงหนาน เกือบถูกฆ่าตายเพราะเรื่องความแค้นส่วนตัวในเรือนหลัง หากไม่ใช่เพราะพบกับจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ สองพี่น้องคู่นี้คงไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ องค์หญิงสามก็ยิ่งตามติดราชบุตรเขยมากยิ่งขึ้น และยิ่งรักและสงสารน้องสะใภ้ตัวน้อยที่เคราะห์ร้าย สำหรับพี่สะใภ้จยาฮุ่ย ใจของนางก็เต็มไปด้วยความซาบซึ้ง หลายปีมานี้ ทั้งสองจวนก็มักไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ

 

 

“เจ้ามีเรื่องอะไร พี่ชายเจ้าเป็นข้าหลวงใหญ่แห่งเจียงหนาน ข้าที่เป็นพี่สะใภ้ของเจ้าก็เป็นองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ อย่าบอกนะว่ายังคงคิดเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ หรือถ้าไม่มี ตระกูลเซี่ยกล้าทำอะไรเจ้าหรือ วางใจเถิด อย่างไรเสียก็มีพี่ชายของเจ้าอยู่” องค์หญิงสามกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย

 

 

แม้จะบอกว่าบุตรต้องเคารพบิดา แต่ขุนนางก็ต้องเคารพกษัตริย์ นางมีเชื้อกษัตริย์ สกุลเซี่ยเป็นขุนนาง คนของสกุลเซี่ย ไม่ว่าจะเป็นบิดาหรือปู่ย่าของราชบุตรเขย เมื่อพบนางก็ต้องคุกเข่า อีกทั้งราชบุตรเขยจะนับญาติหรือไม่เป็นอีกเรื่อง

 

 

“แต่ท่านพ่อ…” เซี่ยม่านเอ๋อร์ยังคงมีสีหน้าเคร่งเครียด จะพูดได้อย่างไรว่านั่นก็คือบ้านนางเหมือนกัน แม้แม่รองของนางจะเป็นคนไม่ดี แต่ญาติคนอื่นๆ ของสกุลเซี่ยก็ยังอยู่ ไม่ได้พบหน้ามาหลายปี นางไม่รู้จริงๆ ว่าจะต้องทำหน้าอย่างไรยามพบหน้า

 

 

“เจ้าหรือ” องค์หญิงสามจิ้มศีรษะน้องสะใภ้ “เจ้าเติบโตข้างกายพี่สะใภ้จยาฮุ่ยแท้ๆ ไม่ได้เรียนรู้การปล่อยวางมาจากนางบ้างหรือ เจ้าจะสนใจทำไมว่าสกุลเซี่ยจะว่าอย่างไร เดี๋ยวพอไปถึงพวกเขาก็จะเข้ามาประจบประแจงเจ้าเองนั่นแหละ”

 

 

แต่นางก็เข้าใจความคิดของน้องสามีตัวน้อยดี อย่างไรเสียก็เป็นญาติกัน สายเลือดอย่างไรก็ตัดไม่ขาด เฮ้อ ยังอายุน้อย รอให้นางโตกว่านี้อีกสองสามปี ให้แต่งงาน มีสามีและลูก มีประสบการณ์มากกว่านี้หน่อยก็จะไม่กระวนกระวายใจเช่นนี้

 

 

เมื่อคิดเช่นนี้ องค์หญิงสามก็เปลี่ยนเรื่อง “พวกเราออกจากเมืองหลวง ใต้เท้าเจียงก็ออกจากเมืองหลวง ไม่รู้ว่าตอนนี้ไปอยู่ที่ไหน” ใต้เท้าเจียงที่นางพูดถึงคือเจียงเฉิน ปีนี้เขารับภารกิจข้างนอก ไปเป็นข้าหลวงทางเหนือ

 

 

เป็นเพราะราชบุตรเขยและใต้เท้าเจียงเป็นคนอำเภอผิงหยางเหมือนกัน ดังนั้นความสัมพันธ์ของทั้งสองบ้านจึงไม่เลวนัก

 

 

“พวกเขาเดินทางบนถนนหลวง แต่ไม่เร็วเหมือนการเดินทางโดยเรือของเรา อีกอย่างพี่สะใภ้ใหญ่สกุลเจียงกำลังตั้งครรภ์ พวกเขาคงเดินทางได้ช้ากว่า” เซี่ยม่านเอ๋อร์ตอบพลางหยอกหลานชายเล่น

 

 

องค์หญิงสามปลงอนิจจัง “ใต้เท้าเจียงช่างมีความรักใคร่ลึกซึ้ง” ตระกูลฉินถูกยึดทรัพย์ ใต้เท้าเจียงไม่เพียงไม่ผลักความโกรธไปหาภรรยาที่เป็นลูกสาวสกุลฉิน ซ้ำยังให้ความเคารพอยู่เสมอ ทั่วทั้งเมืองหลวงไม่มีใครที่จะใจกว้างขนาดนี้ สำหรับตระกูลพ่อตาที่โดนเนรเทศ ใต้เท้าเจียงก็พยายามดูแลอย่างถึงที่สุด คนในเมืองใครจะไม่พูดบ้างว่าเฉินซื่อนั้นโชคดีที่แต่งงานกับคนดีขนาดนี้

 

 

“แน่นอนว่าใต้เท้าเจียงจะต้องสบายดี” เซี่ยม่านเอ๋อร์ตอบกลับไปหนึ่งประโยค ทว่าในใจกลับพูดว่า ‘ก็พี่สะใภ้ใหญ่เจียงสำนึกบุญคุณต่อใต้เท้าเจียงน่ะซี นางทั้งงดงามและมีปัญญา ใต้เท้าเจียงจะไม่ชอบได้อย่างไร อีกอย่างพี่สะใภ้เจียงก็ไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆ ของสกุลฉิน แต่เป็นเพราะฮูหยินสกุลฉินแต่งงานมาแล้วห้าปีแต่ยังไม่ท้องจึงอุ้มนางจากศาลเจ้าเท่านั้น เมื่อบรรดาน้องชายน้องสาวของพี่สะใภ้เจียงเกิดตามมา สกุลฉินก็ปฏิบัติต่อนางไม่ดีแล้ว ยังจะส่งนางไปเป็นอนุภรรยาบ้านอื่น โชคดีแค่ไหนแล้วที่ได้แต่งงานกับใต้เท้าเจียงเช่นนี้’

 

 

ใต้เท้าเจียงนี่ก็จริงๆ เลย รู้ทั้งรู้ว่าพี่สะใภ้เจียงใช้ชีวิตอยู่ในสกุลฉินอย่างยากลำบาก ยังดูแลสกุลฉินอย่างดี หากเป็นนางหรือ พวกเขาจะไปตายที่ไหนก็ไปเถิด!

 

 

คงจะต้องบอกว่าเซี่ยม่านเอ๋อร์นั้นไร้เดียงสาเกินไป นางไหนเลยจะรู้ว่าในใจของเจียงเฉินนั้นกำลังวางแผนอะไรอยู่ เจียงเฉินที่เป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นถึงขนาดจับพ่อแม่แท้ๆ ของตัวเอง จะยอมปล่อยสกุลฉินที่ปฏิบัติแย่ๆ ต่อภรรยาตัวเองไปง่ายๆ หรือ มีชีวิตอยู่สิดี มีชีวิตอยู่ถึงจะสามารถทนทุกข์ทรมานได้มากหน่อย ตายอีกร้อยรอบซี จึงจะสามารถหลุดพ้นได้

 

 

เหล่าขุนนางแห่งเจียงหนานเมื่อได้รับข่าวว่าราชบุตรเขยสามเซี่ยหมิงผู่จะเข้ามารับตำแหน่งข้าหลวงใหญ่ก็กระตือรือต้นกันยกใหญ่ สืบหาข่าวของท่านข้าหลวงใหญ่ในทันที

 

 

อายุเพียงยี่สิบเอ็ดปี นอกจากเป็นราชบุตรเขย ยังเป็นจอหงวนของรัชศกยงเซวียนที่สิบเจ็ด โอ้โห ช่างเก่งกาจเหลือเกิน

 

 

บางคนอิจฉาตาร้อน บางคนเหยียดหยาม

 

 

ผู้ที่อิจฉาก็คิดว่าข้าหลวงเซี่ยผู้ที่จะเข้ามารับตำแหน่งท่านนี้โชคดีเหลือเกิน คนอื่นยังต้องอายุถึงห้าสิบหกสิบก็ยังไม่แน่ว่าจะได้เป็นเสนาบดีมีตำแหน่งใหญ่ แต่เขากลับได้ตำแหน่งมาได้อย่างง่ายดาย ในราชสำนักยังมีขุนนางดีขนาดนี้อยู่ ใครบอกให้เขาเป็นเขยรักของฮ่องเต้เล่า

 

 

ผู้ที่เหยียดหยามก็คิดว่าเซี่ยหมิงผู่ยังเป็นเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมด้วยซ้ำ แต่อาศัยชายกระโปรงผู้หญิงเพื่อขึ้นสู่การเป็นขุนางใหญ่ ให้จัดการงานให้เหมาะสมกับตำแหน่งเสียก่อนค่อยพูดเถิด

 

 

แต่ไม่ว่าจะอิจฉาหรือเหยียดหยาม เบื้องหน้าก็ยังต้องทำตามหน้าที่ เหมือนเช่นการออกงานต้อนรับเช่นนี้!