เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 912
ลู่ฝานหันหน้ากลับมามองไปยังทุกคน และขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย คนบาดเจ็บและล้มตายมากเกินกว่าที่เขาคาดคิดเอาไว้เสียอีก

แต่ยังดีที่ลุงชางออกคำสั่งได้ทันการ คณะใหญ่จึงไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรกันสักเท่าไร

ส่วนพวกพ่อค้านักธุรกิจที่พลังความสามารถไม่เพียงพอ แล้วจ่ายเงินเพื่อเข้าร่วมคณะนั้นก็มองไปบนเรือมังกรด้วยความกังวล

พวกเขาเพิ่งจะมองเห็นความแข็งแกร่งของพวกหนอนเหล่านั้นกับตาของตนเอง พวกเขาเกิดความกลัวอย่างมากต่อการเดินทางในครั้งนี้ ว่าจะเป็นการเอาชีวิตมาทิ้งไว้หรือไม่

ลุงชางเดินมาที่ด้านข้างของลู่ฝานและพูดขึ้นว่า: “เป็นอย่างไรบ้าง นายไม่บาดเจ็บอะไรใช่ไหม? ”

ลู่ฝานส่ายศีรษะเบา ๆ และมองไปที่หนวดบนมือของเขาเอง แล้วก็ค่อย ๆ นำมันยัดใส่เข้าไปในเข็มขัด

ลุงชางพูดขึ้นว่า: “โชคดีมากที่นายได้กล่าวเตือนไว้ ที่ให้พวกเราเดินหน้ากันไปทีละน้อย มิเช่นนั้นแล้ว หากครั้งนี้ตกหลุมพรางล่ะก็ คงจะตายลงไปกันหมดอย่างสิ้นเชิง”

ลู่ฝานพูดขึ้นว่า: “ลุงชาง พญาหนอนตัวนี้เหมือนกันกับครั้งก่อนที่ท่านพบเจอไหม? ”

ลุงชางส่ายศีรษะและพูดว่า: “ไม่เหมือนกัน ตัวนี้ดูเหมือนจะอ่อนแอกว่าเล็กน้อย พญาหนอนครั้งก่อนที่ฉันพบเจอนั้น มีขนาดใหญ่กว่าตัวนี้สามเท่า และมีลักษณะคล้ายกับหนอนแมลงวัน”

ลู่ฝานพยักหน้า เขาเองก็รู้สึกว่าพญาหนอนตัวนี้พลังความสามารถเหมือนจะไม่ได้เหนือกว่าเขามากนัก

ลุงชางหยุดชะงักชั่วครู่ และพูดต่อว่า: “แต่หนอนตัวนี้ ดูจะฉลาดกว่าหนอนตัวนั้นที่ฉันพบเจอในครั้งก่อน อย่างน้อยตัวนั้นที่ฉันพบเจอในครั้งก่อนนั้น ไม่ได้มีการวางหลุมพรางอะไรแต่อย่างใด”

ลู่ฝานยิ้มและพูดว่า: “แต่ก็ฉลาดอย่างมีข้อจำกัด บอกให้คณะไม่ต้องถอยหลังไปอีกแล้ว ฉันคิดว่าพวกเราสามารถเอาชนะได้! ”

ลุงชางยิ้มและพยักหน้า พร้อมกับโบกมือส่งสัญญาณให้กับถูซาง

ลุงชางหันหลังกลับมา แล้วมองไปยังนักบู๊ที่อยู่ด้านหลังและพูดขึ้นว่า: “น้องลู่ฝาน พลังความสามารถของนายเหมือนจะทำให้พวกเขาตกตะลึงกันไปหมดแล้ว นายดูสิว่าสายตาของพวกเขาที่มองนายในตอนนี้ ก็เหมือนกับที่พวกหนอนเหล่านั้นมองไปยังพญาหนอน ซึ่งแทบจะคุกเข่าลงคารวะนายแล้วด้วย”

ลู่ฝานยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า: “ฉันไม่อยากที่จะเป็นพญาหนอนที่น่ารังเกียจอย่างนั้น”

เมื่อพูดจบ ลู่ฝานก็เดินกลับไปในห้อง ขณะที่เดินก็พูดขึ้นว่า: “ให้คณะพักผ่อนฟื้นฟูร่างกายกันสักหน่อยเถอะ หากพวกหนอนเหล่านั้น โจมตีมาอีก ก็เรียกฉันได้”

ลู่ฝานเดินตรงเข้าไปในห้อง โดยที่ไม่มีใครกล้าที่จะเดินตามเขาเข้าไป

ถึงขนาดที่หลังจากลู่ฝานเดินเข้าไปแล้ว นักบู๊คนหนึ่งยังจะช่วยลู่ฝานปิดประตูห้องด้วย ราวกับว่าห้องพักขนาดใหญ่นี้ ได้กลายเป็นจวนของลู่ฝานเพียงคนเดียว

หลังจากที่เงาร่างของลู่ฝานหายลับไปจากสายตาของทุกคนแล้ว กลุ่มนักบู๊ก็วิพากษณ์วิจารณ์กันขึ้น

“ที่จริงแล้วเขาต่างหากที่เป็นนักบู๊ที่เก่งกาจ”

“อะไรที่เรียกว่าคมในฝัก ฉันเหล่าหลู่เองก็มองผิดไปแล้ว”

“ฉันว่าพลังความสามารถของเขานั้นน่าจะถึงขั้นแดนปราณดินแล้ว”

“อายุน้อยขนาดนี้ ก็เป็นถึงนักบู๊แดนปราณดินแล้ว เขาน่าจะเป็นคุณชายของตระกูลใดตระกูลหนึ่งแห่งเมืองหลวงเป็นแน่”

“โธ่ ดูเหมือนว่าฉันจะต้องแสดงความขอโทษต่อคุณชายคนนี้แล้ว กี่วันก่อนหน้านี้ได้พูดจาที่โง่เขลาออกไป วันนี้มานึกขึ้นได้ มันช่างน่าอับอายสมเพชมากเสียจริง”

“ฉันเองก็เหมือนกัน ดูเหมือนว่าปัญหาปากพล่อยนี้จะต้องปรับปรุงแก้ไขสักหน่อยแล้ว”

……

ทุกคนต่างก็ซุบซิบวิพากษณ์วิจารณ์กันไป พร้อมกับได้รักษาระยะห่างกับทางปู้เฟยราชากระบี่ใต้ด้วย

โดยไม่มีใครอยากที่จะมองราชากระบี่ใต้เลย เหตุผลง่ายมาก เพราะราชากระบี่ใต้ทอดทิ้งพวกเขา

คนที่พูดอยู่ประจำว่าเป็นลูกผู้ชายที่กล้าหาญเด็ดเดี่ยว ทำไมถึงได้รักตัวกลัวตายขึ้นมาล่ะ ในช่วงเวลาที่คับขัน ตัดสินใจที่จะหลบหนีเอาตัวรอด เลือกที่จะให้ตนเองมีชีวิตอยู่ โดยปล่อยให้คนอื่นตายลง

แม้มันจะไม่หนักหนาอะไรมากนัก เพราะกี่วันก่อนหน้านี้ เขาก็ยังได้ช่วยชีวิตของคนอื่นไม่น้อย

แต่การแสดงออกในวันนี้ มันทำให้จิตใจของทุกคนเย็นชาลงอย่างไม่ต้องสงสัย

ไม่มีใครที่อยากจะพูดคุยกับเขาอีก ราชากระบี่ใต้จึงถูกปล่อยเกาะให้อยู่คนเดียวอย่างลำพัง

สายตาของนักบู๊คนอื่นที่มองมายังราชากระบี่ใต้นั้น ต่างก็ไม่เป็นมิตร ซึ่งมีความเหยียดหยามลึกซึ้งมากกว่า ตอนแรกที่มองมายังลู่ฝานเสียอีก ซึ่งเป็นความเหยียดหยามที่ออกมาจากภายในจิตใจอย่างแท้จริง!