บทที่ 602 ข้าบอก... ให้คุกเข่า!

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 602 ข้าบอก… ให้คุกเข่า!

กลุ่มคนตื่นเต้น

ความโกรธแค้นที่อัดแน่นอยู่ในใจชาวเมืองสุดท้ายก็ระเบิดออกมา

ต่อให้เป็นเด็กทารกก็ยังยกมือสนับสนุนบิดามารดาและตะโกนว่า “พวกเราต้องสู้”

“พวกเจ้า… บาปของพวกเจ้ามันเกินกว่าจะให้อภัย”

นักบวชหรงคำรามด้วยเสียงเย็นชาและอำมหิต

เคล้ง! เคล้ง! เคล้ง!

นักรบชาวทะเลที่รวมตัวกันอยู่บริเวณตีนเขาใช้อาวุธเคาะกับเกราะเหล็กของตนเองเสียงดังเกรียวกราว

เสียงเคาะเกราะเหล็กเหล่านั้นฟังดูน่าขนลุก เต็มไปด้วยจิตสังหาร

ตึง! ตึง! ตึง! ตึง!

เสียงย่ำเท้าของพวกมันดังกังวานเป็นจังหวะจะโคน

หลังจากนั้น กองทัพชาวทะเลก็เคลื่อนที่มาข้างหน้าอย่างเชื่องช้าแต่มั่นคง ไม่ต่างจากกำแพงเหล็กมฤตยู

ความตายกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ชาวเมืองมากขึ้นทุกที

“คุณชายหลิน ไม่ทราบว่าพวกเราสมควรทำอย่างไรดี?” อู๋เฟิ่งกูรู้สึกแข้งขาอ่อนระทวย ขาสั่นพั่บๆ แทบยืนไม่อยู่แล้ว

ยังคงมีความหวาดกลัวปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชาวเมืองหยุนเมิ่งจำนวนมาก

จะอย่างไรพวกเขาก็เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น

หรือต่อให้เป็นยอดฝีมือประจำเมือง ยามเผชิญหน้ากับกองทัพของศัตรูที่มีจำนวนมากมายมหาศาล ก็ยังต้องสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปแล้วเช่นกัน

“โอกาสสุดท้าย…”

นักบวชหรงพูดด้วยน้ำเสียงที่เหมือนนายพรานพยายามเกลี้ยกล่อมสัตว์นักล่าให้เข้าไปอยู่ในกรงขัง “จะยอมมอบตัวหรือว่าจะยอมตาย”

เกิดความเงียบบนภูเขาเสี่ยวซี

“มอบตัวกับผีน่ะสิ”

หลินเป่ยเฉินยิ้มกว้าง

เด็กหนุ่มหันหน้ากลับมากวาดสายตามองผู้คนรอบตัว ซึ่งผู้คนเหล่านั้นกำลังจ้องมองมาทางเขาด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธา “เอาล่ะ สุภาพบุรุษและสตรีทุกท่าน ไม่ว่าจะเป็นผู้เยาว์หรือผู้เฒ่า อย่างไรเสียพวกเราถือกำเนิดเกิดมาก็มีเพียงชีวิตเดียว เอาให้รู้กันไปเลยว่าเมื่อเราร่วมแรงร่วมใจกันแล้ว จะไม่สามารถสู้กับหญิงชราเพียงคนเดียวได้เชียวหรือ…”

จากนั้น เด็กหนุ่มก็ชูนิ้วกลางขึ้นไปบนท้องฟ้า

การทำสัญลักษณ์นี้ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรมากมาย

มันย่อมมีความหมายเป็นการดูหมิ่นอยู่แล้ว

ไม่ทราบเลยว่าใครส่งเสียงหัวเราะออกมา

ต่อจากนั้น ชาวเมืองนับหมื่นคนก็ทำตามอย่างหลินเป่ยเฉินด้วยการชูนิ้วกลางขึ้นไปบนท้องฟ้า

นี่คือภาพที่น่าเหลือเชื่อ

เสียงหัวเราะยิ่งดังกึกก้องมากขึ้น

ความหวาดกลัวที่เคยยึดครองจิตใจทุกคนก่อนหน้านี้สลายหายไปสิ้น

ใช่แล้ว

เสียงหัวเราะคือสิ่งที่สามารถนำมาซึ่งความกล้าหาญและความหวังได้เสมอ

“ช่างโง่เขลากันเหลือเกิน”

นักบวชหรงผู้ยืนอยู่บนหัวมังกรเขียวยิ้มเหยียดหยามด้วยความขุ่นเคืองใจ

ในชีวิตอันยาวนานของนาง หญิงชราไม่เคยพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน

ไม่เคยมีผู้คนจำนวนนับหมื่นชูนิ้วกลางให้กับนางด้วยความสามัคคีถึงขนาดนี้

แม้ไม่เข้าใจอะไรมากนัก

แต่นักบวชหรงรู้สึกว่าตนเองกำลังถูกลบหลู่อย่างร้ายกาจ

“พวกเจ้าจะต้องชดใช้ให้กับการกระทำที่แสนโง่เขลาของตัวเอง” นางยกมือขึ้นสูงและค่อยๆ ลดระดับมือลงอย่างเชื่องช้า

แล้วมวลพลังลมปราณสีฟ้าครามที่วนเวียนอยู่รอบร่างกายขนาดเล็กจ้อยของนางก็เปลี่ยนสภาพกลายเป็นพายุน้ำแข็ง

ในเวลาเดียวกันนั้น ลำแสงสีฟ้าค่อยๆ พุ่งออกมาจากรูจมูกของมังกรเขียว

มังกรยักษ์อ้าปากออกอย่างแช่มช้า

ทุกคนมองเห็นอย่างชัดเจนว่าส่วนลึกในลำคอของมันมีแสงสว่างเจิดจ้า

มังกรเขียวตัวนี้มีอายุห้าพันปี เคยเผชิญหน้าศัตรูผู้แข็งแกร่งมาแล้วทุกรูปแบบ ไม่เคยมีใครสามารถหลบหนีการโจมตีด้วยเปลวไฟน้ำแข็งของมันสำเร็จมาก่อน และสิ่งที่มันชื่นชอบที่สุดก็คือการได้จ้องมองทุกสิ่งทุกอย่างบนพื้นดินกลายเป็นน้ำแข็งไปในพริบตาเดียว

มันชอบที่จะได้ส่งมอบความตายอย่างงดงามราวกับศิลปะชั้นสูง

เพราะมันรู้สึกว่าตนเองไม่ต่างจากเทพเจ้า

และสักวันหนึ่ง หญิงชราหลังค่อมที่กำลังเหยียบอยู่บนหัวของมันผู้นี้ ก็จะต้องชดใช้ที่กดขี่ข่มเหงมันตลอดเวลาเช่นกัน

แต่บัดนี้ มังกรเขียวทำได้เพียงแต่รอคอยโอกาสและเสแสร้งปฏิบัติตามคำสั่งของนางอย่างเชื่อฟัง

ทว่า นักบวชหรงยังไม่ทันได้ปลดปล่อยพลังของตนเองเสร็จสิ้น

บนภูเขาเสี่ยวซีที่อยู่ด้านล่าง รัศมีสีขาวได้ระเบิดออกมาจากร่างกายของหลินเป่ยเฉิน

ก่อนที่เด็กหนุ่มจะลอยตัวขึ้นไปบนท้องฟ้า

ด้านหลังของเขามีปีกกระบี่คู่หนึ่งงอกออกมา

พลังศักดิ์สิทธิ์แผ่ออกมาจากร่างกาย

และนั่นก็ทำให้การขยายอาณาเขตพลังสีฟ้าครามของนักบวชหรงต้องหยุดชะงักลง

“เจ้ายังสามารถใช้พลังของเทพีกระบี่ได้อีกหรือ?”

นักบวชหรงตกตะลึง

“เป็นไปไม่ได้”

นางได้ดูบันทึกภาพการต่อสู้ระหว่างหลินเป่ยเฉินกับแม่ทัพฉลามอู๋หยาแล้ว และทราบดีว่าหากหลินเป่ยเฉินสามารถใช้งานพลังศักดิ์สิทธิ์จากเทพีกระบี่ได้เมื่อไหร่ ความน่ากลัวที่แท้จริงของเขาก็จะเปิดเผยออกมาเมื่อนั้น ดังเช่นตอนที่เด็กหนุ่มนำกระบี่จันทราพิฆาตออกมาใช้งานนั่นเอง

แต่บัดนี้ กระบี่จันทราพิฆาตถูกทำลายลงไปแล้ว

แล้วหลินเป่ยเฉินยังสามารถใช้พลังศักดิ์สิทธิ์อีกได้อย่างไร?

“หรือว่าในตัวเจ้ามีเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์?”

นักบวชหรงขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

หลินเป่ยเฉินคลี่ยิ้มอย่างผู้ชนะ ยืนเท้าเอวอยู่กลางอากาศ ตอบกลับไปว่า “ฮ่าฮ่าฮ่า รู้แล้วใช่ไหมล่ะว่าข้ามีความน่ากลัวขนาดไหน ถ้าอย่างนั้นก็จงสั่งให้ทหารของพวกเจ้าถอนกำลังกลับไปซะ และก็ปล่อยให้พวกเราอพยพผู้คนออกไปนอกเมืองแต่โดยดี อย่าบังคับให้ข้าต้องลงมือเลย”

บนพื้นดิน ฉู่เหิน หลิวฉีไห่ พานเว่ยหมิน และคนอื่นๆ เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ก็ต้องขมวดคิ้วหน้าย่น

อาการกำเริบอีกแล้วสิ

หลินเป่ยเฉินมักจะมีอาการทางสมองกำเริบตอนหน้าสิ่วหน้าขวานทุกทีเลยสิน่า

แต่ในเวลาเดียวกันนั้น

คำพูดของหลินเป่ยเฉินกลับทำให้ผู้คนนับหมื่นบนภูเขาเสี่ยวซีมีขวัญกำลังใจแกร่งกล้า และมีความหวังที่จะรอดชีวิตเพิ่มมากขึ้น

พวกเขาไม่รู้เลยว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ไหลรินออกมาจากร่างกายหลินเป่ยเฉินในขณะนี้ ไม่ได้เป็นพลังจากเทพีกระบี่ แต่มันเป็นพลังจากแรงศรัทธาของทุกๆ คนนั่นเอง

ยิ่งพวกเขามีความศรัทธาในตัวหลินเป่ยเฉินมากเท่าไหร่ หลินเป่ยเฉินก็ยิ่งมีพลังมากขึ้นเท่านั้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สีหน้าที่มั่นใจในตัวเองเป็นนักหนาของหลินเป่ยเฉิน ที่ทำให้ชาวเมืองแน่ใจว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จะต้องมีหนทางพาพวกเขาอพยพออกไปจากที่นี่ได้สำเร็จแน่นอน

ด้วยเหตุนี้ ความศรัทธาของทุกคนจึงเพิ่มพูนมากขึ้น

พลังศักดิ์สิทธิ์จากตัวหลินเป่ยเฉินจึงไหลทะลักออกมาไม่หยุดยั้ง

แววตาของนักบวชหรงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่มุมปากของนางจะปรากฏรอยยิ้มเยาะหยัน

“พลังศักดิ์สิทธิ์เพียงเท่านี้ คิดว่าจะเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้หรือ ถ้าการที่เจ้าสามารถนำชาวเมืองมารวมตัวกันได้ จะทำให้เจ้ามั่นใจว่าจะสามารถอพยพทุกคนออกไปได้สำเร็จ ข้าก็ขอบอกเอาไว้เลยว่าเจ้าไร้เดียงสาเกินไปแล้ว”

ได้ยินดังนั้น หลินเป่ยเฉินก็แค่นหัวเราะในลำคอ

“ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่ ขอแค่ข้าออกคำสั่งเพียงคำเดียว เจ้าก็ต้องคุกเข่าให้กับข้าแล้ว อยากลองดูไหมล่ะ?”

เขาพูดเสียงเรียบ

“ต่อให้เจ้าใช้พลังของเทพีกระบี่ แต่สิ่งที่เจ้าพูดก็ไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด”

นักบวชหรงจ้องมองหลินเป่ยเฉินที่ยังคงลอยอยู่ในอากาศด้วยปีกกระบี่บนแผ่นหลัง ต่อจากนั้น หญิงชราก็แสยะยิ้ม “ในสายตาของพวกเราชาวทะเล เจ้าเป็นเพียงเศษขยะข้างถนนเท่านั้น หาได้มีค่าให้พวกเราเชื่อฟังไม่”

หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะออกมาแล้ว

เป็นเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข

เป็นเสียงหัวเราะด้วยความภาคภูมิใจ

เป็นเสียงหัวเราะที่ฟังดูชั่วร้ายอย่างยิ่ง

“จริงหรือ?”

ทันใดนั้น เด็กหนุ่มก็ชูมือขึ้นมาเปิดเผยให้เห็นถึงวัตถุบางอย่างที่อยู่ในมือของเขา

มันเป็นเครื่องรางดาวทะเลสีเหลือง

เครื่องรางส่องประกายระยิบระยับ

เมื่อสายลมโชยพัด เสียงของหลินเป่ยเฉินก็กังวานไปทั่วแผ่นฟ้า

“เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าเมื่อสักครู่นี้พูดคำใดออกมา?”

หลินเป่ยเฉินถามกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

บัดนี้ สีหน้าที่มีแต่ความเย็นชาของนักบวชหรงได้แข็งค้างไปแล้ว

ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ

แม้แต่เสาอากาศที่อยู่บนหน้าผากทั้งสองข้างของหญิงชราหลังค่อมก็ยังหยุดการเคลื่อนไหว

“เป็นไปไม่ได้…”

นักบวชหรงอุทานออกมาในที่สุด

หลินเป่ยเฉินยิ้มมุมปากและออกคำสั่ง “คุกเข่าซะ”

“เจ้าไปเอามาจากไหน…”

นักบวชหรงยังคงไม่อยากเชื่อสายตาของตัวเอง

“ข้าบอก…”

หลินเป่ยเฉินพูดเน้นย้ำทีละคำ “ให้… คุก… เข่า… ลง!”

ดาวทะเลในมือของเขาเพิ่มแสงสว่างมากขึ้น

มวลพลังที่แปลกประหลาดได้แผ่กระจายไปรอบบริเวณ

ระหว่างพื้นดินและผืนฟ้าเต็มไปด้วยคลื่นพลังที่แผ่ออกมาจากเครื่องรางดาวทะเล

นักบวชหรงต้องคุกเข่าลงไปโดยทันที

ห่างออกไปประมาณหนึ่งลี้

สูงขึ้นไปบนท้องฟ้า

องค์หญิงเค่อเอ๋อร์ที่ยืนอยู่บนก้อนเมฆเคียงข้างเจ้าชายอวี้ชินหวังผู้เป็นบิดา ก็อดอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจไม่ได้ว่า “ของสิ่งนั้นคืออะไรกันนะ?”