บทที่ 603 แค่คุกเข่ายังไม่พอ

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 603 แค่คุกเข่ายังไม่พอ

เดิมทีนั้น องค์หญิงเค่อเอ๋อร์มั่นใจว่าเมื่อตนเองนำผ้าเช็ดหน้าปักลายมอบให้แก่หลินเป่ยเฉิน เด็กหนุ่มผู้นี้จะต้องเกิดความสับสนและทำทุกวิถีทางเพื่อเข้าหานางให้ได้

แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหลินเป่ยเฉินกลับไม่สนใจผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นสักนิด

เหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

นั่นทำให้องค์หญิงเค่อเอ๋อร์เกิดความหงุดหงิดใจมากกว่าเก่า เพราะนี่เป็นการบอกให้รู้ว่าหลินเป่ยเฉินไม่ได้เห็นนางอยู่ในสายตา

แต่ภายหลัง เมื่อเด็กสาวได้มีเวลาคิดไตร่ตรองอย่างจริงจัง องค์หญิงเค่อเอ๋อร์ถึงได้รู้ว่าทั้งหมดในหัวใจของหลินเป่ยเฉินขณะนี้ เขาทุ่มเทความสนใจให้แก่ชาวเมืองหยุนเมิ่งหมดสิ้น ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องส่วนตัวอีกแล้ว

นี่คือสิ่งที่เด็กหนุ่มต้องเลือกระหว่างเรื่องส่วนรวมกับเรื่องส่วนตัว

ดังนั้น หลินเป่ยเฉินผู้ถูกเรียกว่าเป็นความหวังของเมืองหยุนเมิ่ง จึงไม่สามารถละทิ้งชาวเมืองได้เด็ดขาด

ผลก็คือ องค์หญิงเค่อเอ๋อร์ยิ่งเกิดความรู้สึกอยากครอบครองหลินเป่ยเฉินมากขึ้นและมากขึ้น

ในความคิดของเด็กสาว มีแต่เอาชนะใจหลินเป่ยเฉินให้ได้ และทำทุกวิถีทางเพื่อให้เขายอมศิโรราบอยู่ใต้ชายกระโปรงของนางเท่านั้น ถึงจะเป็นการพิสูจน์ว่าองค์หญิงเค่อเอ๋อร์ผู้นี้ คือบุคคลทรงเสน่ห์ที่แท้จริง

นับเป็นภารกิจที่ยากพอสมควร

แต่ยิ่งมีความยากลำบากมากเท่าไหร่ องค์หญิงเค่อเอ๋อร์ก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นมากเท่านั้น

วันนี้ นางตั้งใจมารับชมการสังหารหมู่ชาวเมืองหยุนเมิ่ง

แต่ในเวลาเดียวกันนั้น เด็กสาวก็ตั้งใจเอาไว้ว่าหากหลินเป่ยเฉินตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายถึงชีวิต ตนเองก็จะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ

นี่คือแผนการขั้นตอนแรกในการเอาชนะใจเขาให้ได้

องค์หญิงเค่อเอ๋อร์มั่นใจมากว่าตนเองจะสามารถพิชิตใจหลินเป่ยเฉินได้ในท้ายที่สุด

ดังนั้น เด็กสาวจึงคิดไม่ถึงเลยว่าเพียงขั้นตอนแรก แผนการของนางก็ล้มเหลวเสียแล้ว

องค์หญิงเค่อเอ๋อร์ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าหลินเป่ยเฉินจะมีเครื่องรางรูปดาวทะเลสีเหลืองนั้นอยู่ในการครอบครอง และเห็นได้ชัดว่ามันต้องเป็นเครื่องรางที่มีสถานะสูงส่งมากพอ มิฉะนั้นแล้ว นักบวชหรงผู้ยิ่งใหญ่ของชาวทะเลและเป็นผู้ที่บงการแผนการตลอดระยะเวลาหลายวันที่ผ่านมา คงไม่คุกเข่าลงไปเช่นนั้น

นั่นคือสิ่งที่ยืนยันว่าเครื่องรางดาวทะเลไม่ใช่ของธรรมดา

แม้แต่นักบวชระดับสูงจากมหาวิหารสมุทร ก็ยังต้องคุกเข่าแสดงความเคารพต่อหน้าหลินเป่ยเฉิน

แม้จะไม่เต็มใจเลยก็ตาม

ทันใดนั้น องค์หญิงเค่อเอ๋อร์ก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้

“หรือว่านั่นจะเป็นเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์จากเทพเจ้าแห่งท้องทะเล”

บรรดาองครักษ์ที่ยืนอยู่บนก้อนเมฆทางด้านหลังส่งเสียงถามออกมาด้วยความตกตะลึง “เหตุไฉนมนุษย์ธรรมดาถึงมีเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์นั้นอยู่ในการครอบครองได้ล่ะขอรับ?”

ดวงตาขององค์หญิงเค่อเอ๋อร์เป็นประกายระยิบระยับ

“เขาต้องได้มาจากอาจารย์ของตนเองแน่ๆ…”

เด็กสาวพูดออกมาได้เพียงเท่านั้น

บัดนี้ อาจารย์ของหลินเป่ยเฉินมีสถานะเป็นเจ้าเมืองคนใหม่แห่งเมืองหยุนเมิ่ง

ว่ากันว่าองค์หญิงแห่งท้องทะเลเป็นคนรักของเขา

เพื่อติงซานฉือ องค์หญิงแห่งท้องทะเลไม่ลังเลที่จะมีเรื่องขัดใจกับบิดาของตนเอง รวมไปถึงมีเรื่องขัดแย้งกับมหาวิหารสมุทรและชาวทะเลจำนวนมาก นางถึงกับยอมรับโทษทัณฑ์ถูกจองจำ 15 ปีเพื่อติงซานฉือ และยังคลอดลูกสาวของเขาออกมาอีกด้วย…

ดังนั้น ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่องค์หญิงแห่งท้องทะเลจะขโมยเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ออกมาจากวิหารใต้สมุทรและมอบมันให้แก่หลินเป่ยเฉิน

แต่ติงซานฉือต้องเป็นบุคคลที่ทรงเสน่ห์ขนาดไหนกันนะ องค์หญิงแห่งท้องทะเลผู้สูงส่งทั้งทางด้านสถานะและระดับพลัง ถึงยินดีทำเพื่อเขาขนาดนี้?

องค์หญิงเค่อเอ๋อร์ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย

“เป็นไปได้อย่างไรกัน?”

อีกด้านหนึ่งนั้น

ภายใต้การปกคลุมของกลุ่มก้อนเมฆขาว องค์หญิงแห่งท้องทะเลมีสีหน้าแตกตื่นตกใจยิ่งกว่าพวกขององค์หญิงเค่อเอ๋อร์เสียอีก

ติงซานฉือผู้ที่ยืนอยู่ข้างกายนางกระซิบถามออกมาว่า “ของที่อยู่ในมือเจ้าเด็กน้อยผู้นั้นคือสิ่งใด?”

องค์หญิงแห่งท้องทะเลตอบว่า “นั่นคือเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงของเทพเจ้าแห่งท้องทะเล”

“เครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ระดับสูง?”

“ถูกแล้ว ในวิหารใต้สมุทร นี่คือเครื่องรางที่มีความพิเศษมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์ไหน ถ้ามีเครื่องรางดาวนำโชคอยู่ในมือ ก็สามารถออกคำสั่งให้เผ่าพันธุ์ชาวทะเลทำทุกอย่างได้ตามที่ต้องการ ถึงแม้คนผู้นั้นจะเป็นนักบวชระดับสูงหรือเชื้อพระวงศ์ก็ตาม”

“มีของเช่นนี้ด้วยหรือ? แล้วเจ้าไปแอบหยิบยื่นให้เด็กนั่นตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“ไม่นะ ข้าไม่ได้มอบให้กับเขา…”

“หืม แต่นั่นคงหมายความว่าเจ้าเด็กแสบคงกลับมามีทางรอดแล้วสินะ?”

“คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราระบุเอาไว้ว่า ผู้ใดก็ตามที่ถือครองเครื่องรางดาวนำโชคจะสามารถสั่งงานได้ทุกอย่าง หากคำสั่งเหล่านั้นไม่ก่อให้เกิดการเสียผลประโยชน์ต่อเผ่าพันธุ์ชาวทะเล ดังนั้น หากลูกศิษย์ของท่านคิดจะสั่งให้กองทัพชาวทะเลถอนกำลังกลับไป นั่นก็ใช่ว่าจะเป็นไปได้”

“ถ้าเครื่องรางชิ้นนี้มาอยู่ในมือเจ้า เจ้าจะทำอย่างไร?”

“หากเครื่องรางชิ้นนี้มาอยู่ในมือข้า ข้าก็จะออกคำสั่งให้ชาวทะเลถอนกำลังกลับ แต่ทว่า… ท่านย่อมรู้ดี ข้าไม่สามารถทำเช่นนั้นได้อีก เพื่อท่านและลูกของท่าน ข้าต้องทำผิดต่อชาวทะเลมามากพอแล้ว”

“ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าลูกศิษย์ของข้าฉลาดมาก ที่ไม่มอบเครื่องรางชิ้นนั้นให้แก่เจ้า”

“ท่านคงสงสัยแล้วกระมังว่าลูกศิษย์ของตนเอง ไปเอาเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้าแห่งท้องทะเลมาจากไหน?”

“บอกตามตรง ข้าไม่เคยสงสัยในตัวหลินเป่ยเฉินอีกแล้ว… เพราะข้ารู้ดีว่าระดับความเข้าใจของตนเองยังต่ำต้อยมากเกินไป และหลินเป่ยเฉินก็สามารถทำให้อาจารย์คนนี้ประหลาดใจได้เสมอ”

“แค่คุกเข่าธรรมดามันไม่พอหรอกนะ”

หลินเป่ยเฉินกระพือปีกกระบี่บนแผ่นหลัง มวลอากาศเกิดความปั่นป่วน ในมือซ้ายของเขาชูเครื่องรางดาวนำโชคขึ้นสูงและพูดด้วยใบหน้าที่ยิ้มร่า “นักบวชหรง นี่คือเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงของเทพเจ้าที่พวกเจ้าเคารพรักไม่ใช่หรือ หากจะคุกเข่าลงไปทั้งที เอาให้มันดูนอบน้อมมากกว่านี้หน่อยได้ไหม?”

นักบวชหรงเกือบจะสบถคำหยาบออกมาแล้ว

สำหรับบรรดานักบวชแห่งอาณาจักรใต้ทะเล เมื่อพบเห็นเครื่องรางดาวนำโชคชิ้นนี้ ก็ไม่ต่างจากพบเจอท่านนักบวชเทวะ

นางต้องคุกเข่าทำความเคารพด้วยความนอบน้อม

ไม่มีโอกาสหลีกหนีหรือหลบเลี่ยง

หลินเป่ยเฉินบินเข้ามาใกล้ๆ อย่างแช่มช้าและใช้เท้าของเขาเหยียบลงไปบนศีรษะของหญิงชราหลังค่อม

นักบวชหรงประสานมือทั้งสองข้างออกมาข้างหน้า

ความโกรธแค้นและความอับอายทำให้ร่างกายหญิงชราสั่นเทา นิ้วมือของนางที่กำรวบเข้าหากันเกิดเสียงดังกร๊อบแกร๊บออกมาอย่างรุนแรง

เลือดสายหนึ่งไหลทะลักออกมาจากมุมปาก

นักบวชหรงกำลังกัดริมฝีปากตนเองด้วยความโกรธแค้น

หลินเป่ยเฉินเพิ่มแรงกดลงไปที่เท้าของตนเอง ศีรษะของนักบวชหรงจึงก้มต่ำลงไปใต้แขนทั้งสองข้างของนางมากขึ้นเรื่อยๆ

หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็หันมากวาดตามองกองทัพชาวทะเลที่อยู่ด้านล่าง

กองทัพกำแพงเหล็กของชาวทะเลปลดปล่อยรังสีอำมหิตออกมาด้วยความโกรธแค้น แต่บัดนี้ ก็จนใจที่พวกมันทำอะไรไม่ได้ นักรบชาวทะเลทุกตัวยืนนิ่งเฉยไม่ต่างจากรูปปั้นดินเหนียวอยู่ที่เชิงเขาต่อไป พวกมันไม่เคยพบเจอสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน จึงทำอะไรไม่ถูกอีกแล้ว

ในฐานะสาวกผู้ศรัทธาเทพเจ้าแห่งท้องทะเล พวกมันย่อมรู้ดีว่าของในมือหลินเป่ยเฉินคือสิ่งใด

เป็นเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ระดับสูง

เป็นเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ที่พวกมันยินดีเสียสละเลือดเนื้อและชีวิต เพื่อปกป้องสุดความสามารถ

ตั้งแต่ตอนที่เห็นเครื่องรางดาวทะเลปรากฏอยู่ในมือของหลินเป่ยเฉิน นักรบชาวทะเลเหล่านี้ ก็รู้สึกหัวสมองว่างเปล่าไปทันที

หลังจากนั้น นายทหารที่อยู่แถวหน้าสุด ก็คุกเข่าลงไปบนพื้นดิน

ตามมาด้วยนายทหารที่อยู่แถวหลังต่อๆ กันไป

พรึ่บพรั่บ!

เสียงคุกเข่า เสียงชุดเกราะกระทบกัน และเสียงโขกศีรษะกระทบพื้นดินคือสิ่งที่ดังขึ้นไล่เลี่ยกัน

การกระทำเหล่านี้เกิดเป็นระลอกคลื่นอย่างต่อเนื่อง

กองทัพชาวทะเลคุกเข่าลงไปหมดแล้ว

แม้แต่แม่ทัพใหญ่ของชาวทะเลสายพันธุ์ต่างๆ ไม่ว่าจะมาจากเผ่าพันธุ์ฉลามวาฬ เผ่าพันธุ์ฉลามเสือ หน่วยไล่ล่าของนักรบแมวน้ำ ลูกน้องเก่าของแม่ทัพฉลามอู๋หยาผู้เกลียดชังหลินเป่ยเฉินจับใจ ไปจนถึงนายทหารกุ้งทะเลซึ่งเป็นทหารระดับต่ำต้อย…

ทุกสายพันธุ์ ทุกหน่วยรบ

ต่างก็ต้องคุกเข่าลงไปกับพื้นดิน

โดยไม่จำเป็นให้หลินเป่ยเฉินออกคำสั่งแม้แต่คำเดียว

สีหน้าของพวกมันเต็มไปด้วยความศรัทธา สายตาที่มองเครื่องรางดาวทะเลในมือหลินเป่ยเฉิน เป็นสายตาแห่งความเคารพเทิดทูน ไม่ต่างจากได้พบเห็นเทพเจ้าแห่งท้องทะเลตัวจริง

พวกมันคุกเข่าลงไปบนพื้นดิน

โขกศีรษะลงไปบนพื้นดิน

เสียงชุดเกราะกระทบกันดังโกร่งกร่าง

กองทัพชาวทะเลหลายพันตัว ไม่ว่าจะเป็นแม่ทัพผู้นำหรือนายทหารผู้ติดตาม ต่างก็คุกเข่าลงไปและโขกศีรษะคำนับหลินเป่ยเฉินด้วยความเคารพนอบน้อม

ชาวเมืองหยุนเมิ่งที่ยืนอยู่บนภูเขาจ้องมองเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ด้วยความตกตะลึง

พวกเขาไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้น!