บทที่ 485 มือกระบี่ขี้กลัว

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

เมื่อตงฟางจุนจากไป หลิงตู้ฉิงและคนของเขาก็พากันเดินไปที่ห้องพักพิเศษขนาดใหญ่ที่ภายในถูกแบ่งแยกออกเป็นห้องอีกหลายห้องที่ถูกตกแต่งอย่างหรูหรา

“สามี พวกเราจะเข้าไปสำรวจที่สำนักวิญญาณโลหิตงั้นเหรอ?” เย่ชิงเฉิงถามขึ้น

นางติดตามหลิงตู้ฉิงมานาน ดังนั้นนางจึงสามารถบอกได้ทันทีว่า หลิงตู้ฉิงอาจเกี่ยวข้องกับเทพกระบี่ หรือเขาอาจจะเป็นเทพกระบี่เสียเอง แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรนางก็แน่ใจว่าเขาจะต้องมีความเข้าใจต่อเหตุการณ์ในอดีตที่เกิดขึ้นกับสำนักวิญญาณโลหิต

ดังนั้นหากเมื่อไหร่ที่พวกเขาเข้าไปสำรวจสำนักวิญญาณโลหิต พวกเขาจะต้องได้รับผลประโยชน์กลับมามากมายแน่นอน

นั่นเป็นเพราะความมั่งคั่งที่ทิ้งไว้เบื้องหลังโดยสำนักมหาอำนาจในอดีตนั้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถจินตนาการได้ หรือต่อให้สมบัติส่วนใหญ่ที่ถูกทิ้งไว้จะถูกค้นพบไปในช่วงหลังที่ผ่านมา สมบัติที่ยังคงเหลืออยู่มันก็ยังถือได้ว่าเป็นความโชคดีอย่างยิ่งหากค้นพวกมันพบ

“ในเมื่อพวกเรามาถึงที่นี่แล้ว พวกเราก็ต้องเข้าไปสำรวจกันสักหน่อยสิ” หลิงตู้ฉิงพยักหน้าช้า ๆ “แต่ก่อนที่เราจะเข้าไปที่สำนักวิญญาณโลหิต ข้าต้องเข้าใจบางสิ่งก่อน จากนั้นข้าก็ต้องเตรียมการอะไรบางอย่างด้วยเช่นกัน”

เสี่ยวเยว่เฟิงยิ้มและพูดว่า “ถ้าเช่นนี้ นายท่าน โปรดรอสักครู่ ข้ากับหลงเฉินจะออกไปหาข้อมูลของเมืองแห่งนี้ก่อน จากนั้นจะรีบกลับมารายงานทันที”

หลิงตู้ฉิงพยักหน้าช้า ๆ “จงไปตรวจสอบดูด้วยว่า เมืองวิญญาณโลหิตแห่งนี้มีหอการค้าเชื่อมสวรรค์หรือไม่? ถ้ามี ก็จงกลับมาแจ้งข้าโดยเร็วที่สุด ข้าจะได้ไปขอข้อมูลผ่านทางหอการค้าเชื่อมสวรรค์ด้วยตัวเอง”

หลังจากเสี่ยวเยว่เฟิงและหลงเฉินจากไปแล้ว หลิงตู้ฉิงก็มองไปที่เย่หยูหลัน และพูดว่า “ส่วนเจ้า ในตอนนี้เจ้าสามารถกินโอสถรัศมีธาตุศักดิ์สิทธิ์ได้ จากนั้นก็จงเตรียมตัวที่จะทะลวงระดับไปยังระดับนภาคราม ส่วนเรื่องของทัณฑ์สวรรค์นั้น ข้าจะพาเจ้าไปที่สำนักวิญญาณโลหิตเพื่อใช้พลังของที่นั่นช่วยให้เจ้าผ่านมันไป ภายในสำนักวิญญาณโลหิตมีสถานที่บางแห่งที่เจ้าสามารถใช้ประโยชน์ได้ หลังจากผ่านทัณฑ์สวรรค์สำเร็จ เจ้าจะต้องสร้างยันต์สั่งสวรรค์ให้ข้าสองชิ้น”

“ขอบคุณ นายท่าน!” เย่หยูหลันพยักหน้า

นางรู้ดีว่าการสร้างยันต์สั่งสวรรค์สองชิ้นให้กับหลิงตู้ฉิงนั้นคือราคาของการที่เขาช่วยให้นางผ่านทัณฑ์สวรรค์

แม้ว่านางจะต้องจ่ายราคามหาศาลเพื่อสร้างมัน แต่เมื่อเทียบกับการได้ทะลวงไปยังระดับนภาครามมันก็นับได้ว่าคุ้มค่า นางจึงเต็มใจที่จะทำข้อตกลงดังกล่าว

ยิ่งไปกว่านั้นนี่น่าจะเป็นโอกาสที่หลิงตู้ฉิงจะใช้เพื่อทดสอบนางเป็นครั้งสุดท้าย หากนางไม่ทะนุถนอมโอกาสนี้เอาไว้ ครั้งต่อ ๆ ไปนางอาจจะไม่มีโอกาสได้แลกเปลี่ยนกับเขาอีกต่อไป

เย่ชิงเฉิงยิ้มและพูดว่า “สามี ข้ายังมียันต์สั่งสวรรค์สองอัน ท่านต้องการไหม?”

“อืม เอาพวกมันมาไว้ที่ข้า พวกมันมีประโยชน์มากกว่า” หลิงตู้ฉิงตอบกลับ

เย่ชิงเฉิงพยักหน้าและส่งยันต์สั่งสวรรค์ให้หลิงตู้ฉิงทันที จากนั้นนางก็เอาของทั้งหมดที่อยู่ในแหวนมิติของนางออกมาวางไว้เพิ่มเติม “สามี ท่านลองดูพวกมันสักหน่อย เผื่อว่าพวกมันจะมีประโยชน์อะไรกับท่านบ้าง!”

หลิงตู้ฉิงมองไปยังสิ่งของอื่น ๆ ที่เย่ชิงเฉิงนำออกมาจากแหวนมิติ แต่เขาก็ไม่ได้เก็บพวกมันไป เขาทำเพียงแค่จดจำเอาไว้ในหัวว่ามันมีอะไรบ้างเผื่อไว้ในอนาคตหากเขาต้องการใช้พวกมัน เขาจะได้มาขอจากเย่ชิงเฉิงอีกที

ไม่นานต่อมา เสี่ยวเยว่เฟิงและหลงเฉินก็กลับมา

การสอบถามผู้คนในเมืองเกี่ยวกับหอการค้าเชื่อมสวรรค์นั้นง่ายมาก เพราะมันไม่ใช่ความลับอะไรแถมหอการค้าเชื่อมสวรรค์มันก็มีชื่อเสียงอันโด่งดังด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว

“นายท่าน ที่นี่มีหอการค้าเชื่อมสวรรค์อยู่จริง ๆ” เสี่ยวเยว่เฟิงเอ่ยขึ้น “ขณะนี้แม่นางโม่ ได้ออกไปตรวจสอบที่ตั้งของหอการค้าเชื่อมสวรรค์แล้ว ข้าคิดว่านางน่าจะกลับมาเร็ว ๆ นี้”

หลิงตู้ฉิงพยักหน้าเพื่อแสดงความเข้าใจ ตราบใดที่เมืองนี้มีหอการค้าเชื่อมสวรรค์ การสืบหาข้อมูลต่าง ๆ ก็จะง่ายขึ้นเป็นอย่างมาก เพราะหอการค้าเชื่อมสวรรค์นั้นไม่เพียงแต่จะขายสินค้าของวิเศษเพียงอย่างเดียว พวกเขายังทำธุรกิจเกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารอีกด้วย

จากนั้นไม่นาน โม่เอ๋อก็กลับมาพร้อมกับตำแหน่งที่ตั้งของหอการค้าเชื่อมสวรรค์ที่อยู่ในเมืองนี้

“โม่เอ๋อ เจ้าพาข้าไปที่หอการค้าเชื่อมสวรรค์ ส่วนเฟิงและหลงเฉิน พวกเจ้าสองคนเตรียมพร้อมทะลวงระดับการบ่มเพาะอยู่ที่นี่ เมื่อไหร่ที่ข้าพร้อมจะเข้าไปด้านในสำนักวิญญาณโลหิต ข้าจะมาตามพวกเจ้าไปกับข้าอีกที” หลิงตู้ฉิงสั่งขึ้น

หลังจากนั้นเขาก็พาโม่เอ๋อออกจากห้อง

ทันทีที่ทั้งสองคนออกจากห้องไปยังห้องโถงรับรองของโรงเตี๊ยม ตงฟางจุนที่อยู่แถวนั้นพอดี เมื่อเห็นพวกของหลิงตู้ฉิงกำลังจะออกไปข้างนอก เขาก็รีบวิ่งเข้ามาหาพร้อมกับรอยยิ้มและพูดว่า “พี่ชาย! พวกท่านกำลังจะออกไปข้างนอกงั้นเหรอ ข้าไปด้วยได้รึเปล่า ข้าเองยังไม่เคยมาที่เมืองวิญญาณโลหิตนี้เลย ข้าอยากออกไปดูข้างนอกบ้าง!”

หลิงตู้ฉิงรู้ดีว่าตงฟางจุนอยากจะติดตามเขาเพราะว่า ตงฟางจุนคงหวังจะได้รับโอกาสอะไรดี ๆ เหมือนเช่นในอดีตตอนอยู่ในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ ซึ่งเขาเองก็แสร้งทำเป็นว่าไม่รู้เรื่อง เขายิ้มและตอบกลับว่า “ข้ากำลังจะไปที่หอการค้าเชื่อมสวรรค์เพื่อซื้อของ!”

“จริงเหรอ งั้นก็ดีเลยข้าเองก็อยากจะไปดูเหมือนกันว่าที่นั่นมีอะไรน่าสนใจให้ข้าซื้อรึเปล่า!” ตงฟางจุนหัวเราะ

ที่ด้านหลังตงฟางจุนยังมีชายชราระดับนักบุญยืนอยู่ไม่ห่าง ซึ่งคนผู้นี้เป็นคนรับใช้ของตระกูลตงฟาง หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “อืม ข้าอนุญาตให้เจ้าไปกับข้าได้”

จากนั้นทั้งสี่คนก็มุ่งหน้าไปยังหอการค้าเชื่อมสวรรค์

ระหว่างทาง หลิงตู้ฉิงเหลือบมองไปที่ตงฟางจุนและถามขึ้นผ่านทางโทรจิต “ทำไมเจ้าถึงอยากตามข้ามา?”

ตงฟางจุนยิ้มและตอบกลับทางโทรจิตว่า “ก็เพราะตั้งแต่หลังออกจากเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ ข้าก็รู้ได้ทันทีว่าถ้าข้าติดตามผู้อาวุโส ข้าจะต้องได้รับอะไรดี ๆ เสมอยังไงล่ะ! ดังนั้นผู้อาวุโสโปรดดูแลข้าด้วย!”

หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดกลับไปว่า “เจ้าบอกว่าอยากได้รับสิ่งดี ๆ แต่พอข้าจะให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่เจ้า เจ้ากลับไม่กล้ารับมัน!”

“นอกเหนือจากวิชาดาราโลหิตประสานกระบี่ หากเป็นอย่างอื่นข้ายินดีรับมันจากผู้อาวุโสทั้งหมด!” ตงฟางจุนหัวเราะพลางตอบกลับอย่างไร้ยางอาย

หลิงตู้ฉิงมองไปที่ตงฟางจุนด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ แต่ไม่ได้พูดอะไร

จากนั้นพวกเขาก็คุยกันด้วยปากเปล่า ตงฟางจุนพูดคุยกับหลิงตู้ฉิงดั่งพี่น้องและเริ่มเล่าเกี่ยวกับความเข้าใจของเขาที่มีต่ออาณาเขตวิญญาณโลหิตแก่หลิงตู้ฉิง

หลิงตู้ฉิงก็รับฟังแบบผ่าน ๆ ไม่ได้สนใจสักเท่าไหร่ เพราะเมื่อพวกเขาไปถึงหอการค้าเชื่อมสวรรค์ หลิงตู้ฉิงก็จะรู้ข้อมูลเหล่านี้อยู่แล้วแถมเป็นข้อมูลที่ถูกต้องและยังละเอียดยิ่งกว่าแม้ว่าเขาจะต้องจ่ายราคา

อย่างไรก็ตาม เมื่อฟังไปได้สักพัก หลิงตู้ฉิงก็ตัดบทเปลี่ยนเป็นเริ่มสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับอาณาเขตสุสานกระบี่

“อาณาเขตสุสานกระบี่เป็นสถานที่ที่น่าสนใจสำหรับบรรดาผู้ฝึกฝนกระบี่ พูดได้ว่าผู้ฝึกฝนกระบี่ทุกคนหากมีโอกาส พวกเขาล้วนแต่ต้องการเดินทางไปที่อาณาเขตสุสานกระบี่อย่างน้อยครั้งหนึ่งในช่วงชีวิตของพวกเขา รวมไปถึงสำนักวิญญาณกระบี่ของข้าเช่นกัน แม้ว่าสำนักของเราจะอยู่ห่างจากอาณาเขตสุสานกระบี่ แต่เราก็ยังให้ความสนใจกับข้อมูลที่เกิดขึ้นในอาณาเขตสุสานกระบี่มาโดยตลอด”

“ปัจจุบันในอาณาจักรเขตสุสานกระบี่นั้นมีขุมกำลังหลัก ๆ อยู่ทั้งหมด 10 ฝ่าย ซึ่งข้าได้ยินมาว่าหนึ่งในขุมกำลังเหล่านั้นมีลูกหลานของเทพกระบี่รวมอยู่ด้วย”

ตงฟางจุนอดไม่ได้ที่จะมองไปที่หลิงตู้ฉิง เมื่อเขาพูดจบ

หลิงตู้ฉิง ในเวลานี้เมื่อได้ยินว่าเทพกระบี่มีทายาท เขาก็แสดงสีหน้างุนงงและถามขึ้นทันที “เทพกระบี่มีทายาทด้วยงั้นเหรอ?”

เขางุนงงเป็นอย่างมาก หลังจากที่เขาจากไปแล้ว เทพกระบี่มีทายาทสืบทอดสายเลือดด้วยจริง ๆ งั้นหรือ? เท่าที่เขาจำได้ ชายผู้นั้นเอาแต่อุทิศชีวิตของตนเองให้กับกระบี่มาโดยตลอด มันเป็นไปได้ยังไงที่เขาจะสนใจเรื่องการมีทายาท? หรือว่าในช่วงวาระสุดท้ายเขาบังเอิญได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่งที่พิเศษมาก ๆ จนถึงขนาดหันเหความนสนใจของเขาได้?

ตงฟางจุนมองไปที่สีหน้างุนงงของหลิงตู้ฉิง แล้วหัวเราะ “พี่ชาย มันก็เป็นแค่คำกล่าวอ้างเท่านั้นแหละ ใครมันจะไปพิสูจน์ได้จริง ๆ ว่าตัวเองเป็นลูกหลานของเทพกระบี่ที่แท้จริง แต่มันก็มีบางตระกูลที่สามารถใช้รูปแบบกระบี่ของเทพกระบี่ได้สองถึงสามกระบี่อยู่เหมือนกัน ซึ่งอันที่จริงมันก็พิสูจน์อะไรไม่ได้มากนักต่อให้จะใช้รูปแบบกระบี่ได้ เพราะในสุสานกระบี่เองก็มีด่านทดสอบที่ใคร ๆ ก็สามารถเข้าไปศึกษาเต๋ากระบี่ของเทพกระบี่ได้แล้วมันก็เปิดมานานมากแล้วด้วย ดังนั้นการที่จะมีใครบางคนที่สามารถใช้รูปแบบกระบี่ของเทพกระบี่ได้มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกสักเท่าไหร่”

หลิงตู้ฉิงพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับคิดในใจว่า เขาคงจะต้องไปเยี่ยมตระกูลเหล่านั้นสักหน่อยเมื่อไปถึงอาณาเขตสุสานกระบี่

ทาสกระบี่ติดตามเขามานานกว่าสามพันปี แต่เขากลับไม่รู้จักชื่อของทาสกระบี่ด้วยซ้ำ ซึ่งในตอนนี้มันเป็นอะไรที่คาใจเขามาก ๆ ถ้าหากทาสกระบี่ทิ้งลูกหลานของเขาเอาไว้ข้างหลังจริง ๆ หลิงตู้ฉิงก็ตั้งใจว่าจะช่วยดูแลพวกเขาให้เพื่อตอบแทนความภักดีที่ทาสกระบี่เคยมีให้ต่อเขาครั้งยังมีชีวิต