บทที่ 486 หญิงสาวจากตำหนักหอมรัญจวน

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

ในระหว่างที่พวกเขาสนทนากันไปเรื่อย ๆ ในที่สุดหลิงตู้ฉิงก็เดินมาถึงหอการค้าเชื่อมสวรรค์

หอการค้าเชื่อมสวรรค์ของเมืองวิญญาณโลหิตตั้งอยู่ที่ใจกลางเมืองอย่างพอดิบพอดี สถาปัตยกรรมของมันนั้นเป็นอาคารสูงกว่าร้อยเมตรตั้งตระหง่านอยู่กึ่งกลางจัตุรัสของเมือง ซึ่งมันยิ่งใหญ่อลังการกว่าหอการค้าเชื่อมสวรรค์ของเมืองหยูหลันอยู่หลายเท่า

หลังจากเข้าไปในหอการค้าเชื่อมสวรรค์แล้ว หลิงตู้ฉิงก็พูดกับหนึ่งในคนของหอการค้าเชื่อมสวรรค์ “ข้าต้องการพบผู้ดูแลของเจ้า ข้ามีเรื่องสำคัญมากที่จะต้องพูดคุยกับเขา”

“ไม่ทราบว่าท่านมีเรื่องสงสัยใด ถึงต้องการจะพบผู้ดูแลของเรา?” คนของหอการค้าเชื่อมสวรรค์ถามกลับ

มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไปตามผู้ดูแลของเขาให้มาพบกับคนธรรมดาทั่วไปหากไม่มีเหตุอันควร ดังนั้นเขาจึงต้องสอบถามรายละเอียดเสียก่อนจากนั้นค่อยประเมินว่าผู้ที่มาขอพบกับผู้ดูแลของเขานั้นมีเหตุผลพอที่จะให้เขาไปสอบถามกับผู้ดูแลของเขาไหม

หลิงตู้ฉิงยิ้ม “ข้าต้องการขายโอสถรัศมีธาตุศักดิ์สิทธิ์หนึ่งเม็ด และข้าก็ยังต้องการซื้ออะไรบางอย่างจากหอการค้าเชื่อมสวรรค์ของเจ้าด้วย”

เมื่อได้ยินว่าหลิงตู้ฉิงต้องการขายโอสถรัศมีธาตุศักดิ์สิทธิ์ คนของหอการค้าเชื่อมสวรรค์ผู้นั้นก็รีบพูดขึ้นทันที “แขกผู้มีเกียรติกรุณารอสักครู่ ข้าจะรีบไปแจ้งผู้ดูแลทันที”

แน่นอนว่าการขายแค่โอสถรัศมีธาตุศักดิ์สิทธิ์เพียงเม็ดเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะมีสิทธิ์เข้าพบกับผู้ดูแล

ตงฟางจุน ซึ่งได้ยินอยู่ข้างหลังเกิดความรู้สึกขัดแย้งและพูดทันที “พี่ชาย นี่ท่านมีโอสถรัศมีธาตุศักดิ์สิทธิ์อยู่กับตัวทำไมถึงไม่บอกข้าสักหน่อยเล่า! ข้ามั่นใจว่าข้าสามารถจ่ายให้ท่านในราคาที่เหมาะสมแน่นอน!”

หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “ข้าเหลือมันเพียงเม็ดเดียวเท่านั้น!”

“พี่ชายโอสถรัศมีธาตุศักดิ์สิทธิ์นี้…” ตงฟางจุนพูดอย่างไม่เต็มใจ

“จุ๊ ๆๆ มีคนต้องการชิงโอสถรัศมีธาตุศักดิ์สิทธิ์ไปจากหอการค้าเชื่อมสวรรค์ของข้างั้นเหรอ?” เสียงหนึ่งดังลอยขึ้นพร้อมกับกลิ่นหอมอันเย้ายวนใจ จากนั้นหญิงสาวในชุดสีแดงก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าทุกคนด้วยรอยยิ้ม

เมื่อมองไปที่หญิงสาวในชุดสีแดง ตงฟางจุนก็รีบโค้งคำนับและพูดว่า “มิกล้า ๆ ผู้น้อยขอคารวะผู้อาวุโส! สำนักกระบี่วิญญาณไม่กล้าตัดหน้าการค้าของท่านผู้อาวุโสหรอก เพียงแต่ผู้น้อยคุ้นเคยกับพี่ชายของข้าเป็นอย่างดี ดังนั้นข้าเลย…ข้าเลยแค่ล้อเล่นกับพี่ชายของข้าเท่านั้นเอง”

หญิงสาวชุดแดงพยักหน้าและหัวเราะ “อ๋อ เจ้าเป็นคนจากสำนักกระบี่วิญญาณนี่เอง ข้าเองก็มีน้องสาวคนหนึ่งที่แต่งงานกับคนของสำนักกระบี่วิญญาณของเจ้า! อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าข้าจะมีสัมพันธ์อันดีกับสำนักของเจ้า แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะสามารถตัดหน้าการค้าของข้าในถิ่นของข้าได้ เว้นแต่แขกผู้มีเกียรติท่านนี้จะเปลี่ยนใจคืนคำไม่ยอมแลกเปลี่ยนกับข้าเอง จากนั้นมันถึงจะเป็นตาของเจ้า เจ้าเข้าใจที่ข้าพูดใช่ไหม?”

ตงฟางจุนยิ้มอย่างขมขื่น เขารู้ว่าหญิงสาวชุดแดงคนนี้เป็นใคร เขาจึงไม่กล้าเอ่ยอะไรขึ้นมาอีก เขามองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยหางตาเพื่อส่งสัญญาณให้ช่วยพูดแทนเขาที

หลิงตู้ฉิงส่ายหัวอย่างจนใจและพูดกับหญิงสาวชุดแดงว่า “ข้ามาที่นี่เพราะต้องการคุยอะไรบางอย่างกับเจ้าตามลำพัง”

ในขณะที่พูด หลิงตู้ฉิงหันหลังบังตงฟางจุน จากนั้นเขาทำ ‘มุทรา’ เหมือนกับในตอนที่เขาเจอกับลั่วหยุนครั้งแรก

หญิงสาวชุดแดง เมื่อเห็น ‘มุทรา’ ที่หลิงตู้ฉิงแสดงขึ้น นางก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นนางพูดกับหลิงตู้ฉิงว่า “แขกผู้มีเกียรติ โปรดเชิญเข้าไปด้านในก่อน!”

โม่เอ๋อมองไปที่หญิงสาวชุดแดง ซึ่งนางไม่สามารถมองเห็นระดับการบ่มเพาะได้อย่างชัดเจน นางจึงไม่แน่ใจว่านางควรตามหลิงตู้ฉิงเข้าไปหรือไม่?

“โม่เอ๋อตามข้ามา!” หลิงตู้ฉิงเรียกขึ้น

เมื่อได้ยินคำสั่ง โม่เอ๋อยิ้มทันที และรีบเดินตามหลิงตู้ฉิงเข้าไปด้านใน ส่วนตงฟางจุนที่ไม่ถูกเรียกเข้าไปด้วยก้ได้แต่มองตามหลังหลิงตู้ฉิง และโม่เอ๋อด้วยสายตาผิดหวังพลางถอนหายใจ จากนั้นเขาก็พาคนรับใช้ของเขาเดินวนดูสินค้าต่าง ๆ ที่มีอยู่ในหอการค้าเชื่อมสวรรค์เพื่อฆ่าเวลา

หลังจากที่หญิงสาวชุดแดงนำหลิงตู้ฉิงและโม่เอ๋อเข้าไปด้านในแล้ว นางก็โค้งคำนับให้หลิงตู้ฉิง และพูดว่า “ตำหนักหอมรัญจวน หงเยว่ ขอคารวะ นายท่านแห่งตำหนักเทพโชคลาภ!”

หลิงตู้ฉิงพยักหน้าเล็กน้อย “ข้าต้องการรู้ข้อมูลเกี่ยวกับสำนักวิญญาณโลหิต ข้าเข้าใจว่าพวกเจ้าที่อยู่ไม่ไกลจากสำนักวิญญาณโลหิต จะต้องรู้ข้อมูลของพวกเขาเป็นอย่างดีจริงไหม?”

หงเยว่ที่มาจากตำหนักหอมรัญจวน ดังนั้นนางจึงไม่สามารถระบุตัวตนของคนในตำหนักเทพโชคลาภได้ ดังนั้นนางจึงไม่เป็นเหมือนลั่วหยุนที่สามารถบอกได้ทันทีว่าหลิงตู้ฉิงเป็นเพียงผู้ที่แอบอ้างมาเท่านั้น

แน่นอนว่าหลิงตู้ฉิงเองก็ไม่อธิบายกับหงเยว่เช่นกัน

หงเยว่หัวเราะและพูดว่า “แน่นอนว่าเรารู้ข้อมูลหลายอย่างเกี่ยวกับสำนักวิญญาณโลหิต แต่ถ้าข้าบอกท่าน โอสถรัศมีธาตุศักดิ์สิทธิ์ต้องเป็นของข้า!”

“ถ้าข้อมูลของเจ้ามีค่าพอข้าย่อมจะตอบแทนเจ้าโดยเท่าเทียมกันแน่นอน” หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและเอ่ยตอบ

แต่แล้วจู่ ๆ หงเยว่กลับส่ายหัวอย่างรุนแรง จากนั้นนางตะคอกขึ้นว่า “ไอ้คนตายด้าน! นี่เจ้าไม่มีความรู้สึกอะไรกับสาวงามอย่างข้าเลยเหรอไง! เจ้าไม่เห็นเหรอไงว่าข้าสวยขนาดไหน! ทำไมเจ้าถึงไม่รีบมอบโอสถเวรนั่นให้ข้าซะ แล้วข้าจะนอนกับเจ้าหนึ่งเดือนเต็มเป็นการตอบแทนเลยเป็นไง!”

เมื่อเห็นอาการอันแปลกประหลาดที่เกิดขึ้น หลิงตู้ฉิงมองไปที่หงเยว่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย

ทางด้านของหงเยว่ที่ตะคอกจบ นางก็รีบเอามือกุมหัวของตัวเองและพูดว่า “ขะ ขะ ข้าขออภัย เมื่อครู่ข้าเลอะเลือนไปโปรดอย่าถือสา…”

เมื่อเอ่ยจบ หงเยว่นั่งปรับสติอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนางก็หยิบแผ่นหยกที่เก็บข้อมูลทั้งหมดของสำนักวิญญาณโลหิตไว้ในนั้นส่งให้หลิงตู้ฉิงและพูดว่า “โปรดท่านลองตรวจสอบดูก่อนว่ามันพอจะคุ้มค่าไหม?”

หลิงตู้ฉิงรับแผ่นหยกมาทันทีและอ่านข้อมูลอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเขาดูพวกมันคร่าว ๆ จนหมด เขาส่ายหัวและพูดว่า “ไม่คุ้ม!”

หากเป็นก่อนหน้านี้ เขาจะตอบตกลงแน่นอน แต่หลังจากที่เขารู้ว่าในปัจจุบันเต๋าแห่งโอสถตกต่ำลงไปเป็นอย่างมาก ดังนั้นมูลค่าของโอสถรัศมีธาตุศักดิ์สิทธิ์จึงเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม เขาจึงยังคงไม่ตกลงและต้องการเรียกราคาเพิ่มอีก

“แล้วเราจะทำยังไงดี!?” หงเยว่มองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสายตาเป็นกังวล “เอางี้ไหมเดี๋ยวข้าจะมอบลูกศิษย์สองคนของข้าให้กับท่าน ข้ามีลูกศิษย์อยู่สองคนที่ยังคงบริสุทธิ์และมีความงดงามที่เหนือล้ำหาได้ยากยิ่ง!”

หลิงตู้ฉิงส่ายหัวพลางโยนโอสถรัศมีธาตุศักดิ์สิทธิ์ให้หงเยว่ และพูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ถ้างั้นนำข้อมูลเกี่ยวกับอาณาเขตสุสานกระบี่มาให้ข้าเพิ่ม ข้าคิดว่าพวกเจ้าทุกคนน่าจะมีข้อมูลของที่นั่นไม่น้อยจริงไหม?”

หงเยว่ รีบรับโอสถรัศมีธาตุศักดิ์สิทธิ์มาทันทีด้วยรอยยิ้ม “อันที่จริง หากข้าบอกท่านเกี่ยวกับข้อมูลของอาณาเขตสุสานกระบี่นั้นมันเป็นการละเมิดข้อตกลงกับเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ ของข้า แต่ว่าสำหรับครั้งนี้ข้าจะมองข้ามมันไปก็แล้วกันในฐานะที่ท่านอุตส่าห์มอบโอสถรัศมีธาตุศักดิ์สิทธิ์ให้ข้า! เอาล่ะ โปรดรอข้าสักครู่ ข้าขอเตรียมตัวบันทึกทุกอย่างที่ข้ารู้ลงในแผ่นหยกก่อนก็แล้วกัน”

เมื่อพูดจบ หงเยว่ก็หยิบแผ่นหยกอันใหม่ออกมาแตะไปที่หน้าผากของนางเพื่อเป็นการบันทึกสิ่งที่นางรู้เกี่ยวกับสุสานกระบี่ลงไป จากนั้นนางก็ส่งมันให้กับหลิงตู้ฉิง

“เจ้ามีหอประมูลอยู่ในอาณาเขตสุสานกระบี่ด้วยงั้นเหรอ?” หลิงตู้ฉิงเอ่ยถามขึ้นหลังจากตรวจสอบข้อมูลในแผ่นหยกอันใหม่เสร็จ

หงเยว่หัวเราะคิกคัก “ที่นั่นถูกดูแลโดยไอ้คนขี้เมาผู้หนึ่ง ซึ่งไอ้คนผู้นั้นมันวางแผนล่อลวงข้ามานานแล้ว แต่ข้าก็รู้ทันแผนการมันได้ตลอดนั่นแหละ ว่าแต่ท่านพอจะมีโอสถรัศมีธาตุศักดิ์สิทธิ์อีกไหม? ถ้าท่านมอบมันให้ข้าอีก ข้าจะยอมติดตามท่านไปทั่วทุกหนทุกแห่งเลยทีเดียว!”

หลิงตู้ฉิงส่ายหัวเล็กน้อย จากนั้นเขาก็แสดงท่าทีกำลังจะจากไป

“ช้าก่อน!” หงเยว่รีบพูด “ข้าอยากบอกความจริงกับท่านไว้สักหน่อย อันที่จริงแล้วมูลค่าของโอสถรัศมีธาตุศักดิ์สิทธิ์ของท่านนั้นสูงกว่าข้อมูลที่ข้าให้กับท่าน ซึ่งข้าเองก็ไม่ได้เป็นเหมือนไอ้พวกตาแก่ขี้เหนียวที่ต้องการแต่ผลประโยชน์พวกนั้น ข้าจะปล่อยให้ท่านเสียเปรียบไม่ได้ ดังนั้นข้าขอมอบหนึ่งในลูกศิษย์อันงดงามของข้าให้กับท่านเพื่อชดเชยมูลค่าของโอสถท่านก็แล้วกัน ท่านเองก็ปฏิบัติต่อนางดี ๆ หน่อยก็แล้วกัน เอาล่ะ หมิงยู่ เจ้าออกมาหาอาจารย์ที!”

เมื่อได้เห็นหน้าตาอันงดงามของหมิงยู่เช่นนี้ โม่เอ๋อก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้ากังวล ขณะนี้หลิงตู้ฉิงกำลังจะมีผู้หญิงคนใหม่ที่งดงามเป็นอย่างมากเพิ่มมาอีกคน ซึ่งมันทำให้นางเริ่มกังวลแทนนายหญิงของนางเอง

หญิงสาวคนนี้ที่มีชื่อว่า หมิงยู่ นางสวยเกินไป สวยจนขนาดที่แม้ว่าโม่เอ๋อจะเป็นผู้หญิงแต่ในใจของนางก็ยังตื่นตะลึงไปกับความงามของหมิงยู่อยู่ดี

จากนั้นโม่เอ๋อก็รีบหันหน้าไปมองที่หลิงตู้ฉิง ซึ่งนางก็ได้พบว่าทางหลิงตู้ฉิงเองก็มองไปที่หมิงยู่ด้วยความสนใจเช่นกัน

สิ่งนี้มันยิ่งทำให้โม่เอ๋อกังวลมากขึ้นไปใหญ่สำหรับนายหญิงของนาง

หมิงยู่เดินเข้ามาหาหงเยว่อย่างสบาย ๆ และพูดว่า “อาจารย์ ท่านช่างใจร้ายนักที่จะไล่ข้าออกไป”

หงเยว่หลับตาและพูดขึ้นด้วยสีหน้าน่าสงสารว่า “ศิษย์คนโปรดของข้า ความงามของเจ้ามันทำให้หัวใจของอาจารย์เต้นแรงทุกครั้งเมื่อได้เห็น เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นกับเรา อาจารย์จึงจำเป็นต้องสัญญามอบเจ้าให้กับนายท่านผู้นี้ แต่เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลไป นายท่านผู้นี้เป็นผู้ที่ร่ำรวยเป็นอย่างมากและเมื่อครู่เขาก็เพิ่งจะมอบโอสถรัศมีธาตุศักดิ์สิทธิ์ให้กับข้า ดังนั้นจากนี้ไปเจ้าควรรับใช้นายท่านคนนี้ให้ดีเข้าเข้าใจไหม?”

หมิงยู่มองหงเยว่ และพูดว่า “หากเป็นเช่นนั้น หมิงยู่จะทำตามคำสั่งของท่านอาจารย์!”

จากนั้นนางก็เดินไปหาหลิงตู้ฉิง และพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “นายท่าน ข้าชื่อ หมิงยู่ นับแต่นี้เป็นต้นไปข้าจะติดตามรับใช้ท่านเป็นอย่างดี โปรดนายท่านให้ความเอ็นดูแก่ข้าด้วย…”

หลิงตู้ฉิงพยักหน้าเล็กน้อยและพูดว่า “อืม พวกเราไปกันเถอะ!”

เมื่อพูดจบ หลิงต็ฉิงก็ลุกเดินจากไปในทันทีพร้อมกับโม่เอ๋อที่รีบเดินตามออกไปด้วยสีหน้าเป็นกังวล และหมิงยู่ก็เดินตามออกไปเช่นกัน