ภาคที่ 4 บทที่ 208 เสนอแนะ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 208 เสนอแนะ

อานู๋ปี่ไม่เพียงพูดลอย ๆ

หลังจากได้ซูเฉินช่วยวิเคราะห์นิสัยใจคอใจสีเลือดแล้ว เขารู้สึกจริง ๆ ว่าจะสามารถล้อมจับศัตรูได้ในคราวเดียว

ดังนั้นเมื่อเดินทางมาถึง อานู๋ปี่จึงตัดสินใจทันที

“อะไรนะ ? สร้างวงล้อมหรือครับ ?! ฝ่าบาท ไม่มีความจำเป็นสักนิด ! ให้ข้านำทัพบุกเข้าไปเลยก็ได้ !”

ภายในกระโจมหลักของคนเถื่อน ลี่เค่อเอ้อร์หลงกำลังใช้เสียงแหบอันเป็นเอกลักษณ์ตะโกนขึ้น คนเถื่อนศีรษะล้านผู้นี้ในสมองมีแต่กล้าม เป็นแม่ทัพที่อานู๋ปี่ไว้วางใจที่สุด และยังเป็นนักรบชั้นยอดของชนเผ่าเพลิงด้วย

วิถีการต่อสู้ของเขาสอดคล้องกับหน้าตามาก เรียบง่าย ตรงไปตรงมา และหยาบโลน ส่วนสาเหตุที่เขาไม่เห็นด้วยกับอานู๋ปี่เป็นเพราะรู้สึกว่าคำสั่งดูมากเรื่องเกินไปก็เท่านั้น เหตุผลเช่นนี้อานู๋ปี่ยอมรับได้ง่าย เพราะมันทำให้เขาดูฉลาดขึ้นกว่าเดิม

แต่ท่าทีของคนเถื่อนคนอื่นทำให้เขาไม่พอใจ

“ปราการสามเขาปิดล้อมไม่ง่าย ถูกล้อมรอบด้วยภูมิประเทศที่เป็นภูเขาที่ซับซ้อนและคดเคี้ยวทุกด้าน พวกทหารต้องใช้เวลากระจายตัวมาก และแม้จะทำได้ แต่ผลลัพธ์ก็ถูกลดลงอยู่ดี” ซินป้ายเค่อโต้

ซินป้ายเค่อคือขุนนางด้านการเคลื่อนพลของอานู๋ปี่ มีหน้าที่ดูแลการเดินทัพ แม้คนเถื่อนขาดเหตุผลและการจัดการที่ดี อย่างน้อยซินป้ายเค่อก็ทำหน้าที่ได้ดี หมายความว่าไม่ได้แย่มากมาย เขาเติบโตมาถึงตำแหน่งนี้ได้หมายความว่าก็มีสติปัญญาพอสมควร ดังนั้นจึงเป็นหนึ่งในขุนนางมันสมองของอานู๋ปี่

แท้จริงแล้วเป็นเพราะฐานะ อานู๋ปี่จึงได้มีปฏิสัมพันธ์กับคนเถื่อนที่ชาญฉลาดอยู่หลายครั้ง เพราะคนที่ไม่ฉลาดพอของไม่สามารถเป็นลูกน้องอานู๋ปี่ได้นาน ใครที่สามารถไต่ตำแหน่งมาจนถึงขั้นนี้ได้ย่อมไม่ธรรมดา

ซินป้ายเค่ออายุ 200 ปีแล้ว ไม่ใช่คนหนุ่มอีกต่อไป เขาจึงรอบคอบมาก

ในขณะที่ซินป้ายเค่อเพียงทำให้อานู๋ปี่ไม่พอใจ แต่คำของคนถัดไป เทียบกันแล้วกลับทำให้เขาโกรธเกรี้ยวเป็นยิ่งนัก

“นี่เป็นความคิดที่โง่เง่าและเลวร้ายมาก แค่การตีวงล้อมก็ใช้เวลาไปวันหนึ่งแล้ว ในระหว่างนี้พวกสัตว์อสูรอาจโจมตีเมื่อไหร่ก็ได้ ช่วยโอกาสจากการป้องกันที่มีรูโหว่ และถึงแม้จะหยุดยั้งไว้ได้ก็ไร้ประโยชน์ ภูมิประเทศรกร้างกว้างขวางมาก กองทัพจึงต้องแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ แต่พวกสัตว์อสูรใช้ประโยชน์จากภูมิประเทศเข้าโจมตีในแต่ละพื้นที่ได้เต็มกำลัง การทำวงล้อมจะยิ่งทำให้ทัพเราต้องแยกออกเป็นกลุ่มน้อย และถูกโจมตีเป็นกลุ่มแทน”

ในฐานะที่เป็นแม่ทัพนำทหาร 2 แสนกู่ฉาจึงสามารถเอ่ยวาจาเช่นนี้ได้

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถมีอิทธิพลต่อแผนการรบจริงได้

“มันเป็นแผนของข้า ข้าจะจับตัวมันทั้งเป็น !” อานู๋ปี่กรีดเสียงขึ้น

ความหมายโดยนัยคือ หากกู่ฉาบอกว่าแผนนี้โง่เง่าอีกครั้งหนึ่ง อานู๋ปี่ก็จะถลกหนังเขาเสียตรงนี้

แต่กู่ฉาก็มีนิสัยเช่นคนส่วนมาก นั่นคือหัวรั้น เด็ดเดี่ยว ไม่ยืดหยุ่น

เขาตอบ “แผนการนี้ทำเช่นนั้นไม่ได้ สุดท้ายจะทำให้กลายเป็นพ่ายแพ้อย่างโง่เง่า”

“หุบปากเดี๋ยวนี้ไอ้บัดซบนี่ !” อานู๋ปี่คำรามลั่นแล้วพุ่งข้ามไป “ข้าจะฆ่าเจ้า !”

เขาปล่อยหมัดแล้วพุ่งเข้ามา

โชคร้ายที่กู่ฉาไม่ใช่อาเลี่ยวซา หมัดของอานู๋ปี่ถึงไม่อาจสังหารอีกฝ่ายได้ ได้แต่ส่งคลื่นพลังขนาดใหญ่เป็นริ้วพุ่งออกรอบทิศทางขึ้นเท่านั้น

“ถึงจะเป็นราชา ก็ใช่ว่าจะทำตามอำเภอใจได้ !” กู่ฉาคำรามลั่นแล้วโต้กลับ

เขาสู้กลับด้วย !

เป็นครั้งแรกที่ซูเฉินเคยเห็นอะไรเช่นนี้ แม้จะเตรียมตัวมาแล้วว่าคนเถื่อนเป็นพวกไร้สมอง แต่ก็ยังไม่คุ้นชินกับสถานการณ์อย่างนี้

แต่นี่คือนิสัยที่แท้จริงของคนเถื่อน สิ่งที่เคยเห็นก่อนหน้าไม่ใช่ตัวแทนคนเถื่อนที่แท้จริง

การต่อสู้ระหว่างราชาและแม่ทัพจึงเริ่มต้นขึ้น ทหารคนเถื่อนไม่ตื่นเต้นตกใจ กลับเข้ามาล้อมวงดูการต่อสู้แล้วส่งเสียงให้กำลังใจด้วยซ้ำ

ในด้านพละกำลัง กู่ฉามีอักขระโทเทมอยู่ในขั้นสุด เจิมน้ำมนต์มาแล้วถึง 6 ครั้ง มีประสบการณ์การต่อสู้ของจริงมายาวนาน ทำให้เหนือกว่าอานู๋ปี่ แต่อานู๋ปี่เป็นราชา ที่หมายจะสำแดงพลังอำนาจ

ระหว่างที่โจมตีก็ร้องว่า ‘นี่ไม่ใช่ทาคุชา ข้า อานู๋ปี่แห่งเผ่าเพลิงผู้ยิ่งใหญ่กำลังลงโทษคนบัดซบนี้ เจ้าไม่อาจตอบโต้ได้ และหากทำร้ายข้า… ก็จะถือว่าเป็นการก่อกบฏ !’

“อย่าคิดจะโยนความผิดน่าขันให้ข้า”กู่ฉาคำรามเสียงทรงพลัง การโจมตีไม่ยับยั้งมือแม้แต่น้อย

ทั้งสองสู้กันอย่างนี้ต่อไป สุดท้ายกู่ฉาก็ถูกอานู๋ปี่เตะกระเด็นหลายครั้ง ส่วนอานู๋ปี่ก็ถูกหมัดของกู่ฉา

เสยเข้าที่หน้า !

ระหว่างที่คนทั้งสองฟาดมือฝ่าเท้าใส่กันอยู่นั้น การประชุมก็ดำเนินต่อ

อานู๋ปี่เบ้ปากไม่พอใจ “ซ่าเค่อเอ่อร์ตายไปแล้วแต่ข้ายังไม่เป็นอิสระอีก”

“ความประมาทเลินเล่อของท่านจะนำความล่มจมมาสู่คนเถื่อน ท่านรู้จักควบคุมตนเองให้มากหน่อยจะดีกว่า” น้ำเสียงแก่ชราเอ่ยขึ้นมาจากมุม

ผู้พูดมีผมสีขาว คือชายชราที่ยืนถือไม้เท้าคนหนึ่ง

แม้จะชราภาพมากแล้ว แต่ก็ไม่มีใครกล้าดูถูก

ก็เพราะเขาเป็นผู้นำบรรพชนแห่งอารามศักดิ์สิทธิ์กงกู๋เอ่อร์ถู เป็นตัวแทนแห่งศรัทธาของทั่วทั้งอาณาจักรเหล็กเลือด ผู้ซึ่งมีจิตใจของคนทั้งเผ่าเป็นพลัง

อาจกล่าวได้ว่ากงกู๋เอ่อร์ถูคือราชาไร้มงกุฎของคนเถื่อน หากไม่มีแรงสนับสนุนจากเขา ไม่ว่าศึกใดของคนเถื่อนก็จะกลายเป็นเรื่องไม่น่าชมชอบและถึงขั้นมีคนสบถด่าได้

หากการตอบโต้ของกู่ฉา 1 ใน 3 มาจากกำลังตนเอง และ 2 ใน 3 มาจากอารมณ์ เช่นนั้นคำสั่งสอนของกงกู๋เอ่อร์ถูก็นับว่าชอบธรรม เหมือนกับเมื่อครั้งที่ซ่าเค่อเอ่อร์สั่งสอนเขา ดั่งผู้ใหญ่สั่งสอนผู้น้อย

เมื่อถูกกงกู๋เอ่อร์ถูตำหนิ คนที่โหดร้ายป่าเถื่อนหยาบโลนอย่างอานู๋ปี่ยังได้แต่ก้มหัวยอมจำนน

“ก็ได้ แล้วท่านคิดว่าเราควรทำอย่างไร ? ตีป้อมโดยตรงอย่างนั้นหรือ ?” อานู๋ปี่ถามขึ้น ดูเหมือนยั้งอารมณ์

“ข้าว่าเป็นความคิดที่ดี” ลี่เค่อเอ้อร์หลงเอ่ยขัดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มซื่อ

“เจ้าโง่ สัตว์อสูรยังมีจำนวนนับแสน อย่างน้อยมี 30 ตัวที่เป็นอสูรกาย คิดหรือว่าเราจะตีมันได้ง่าย ๆ?” ซินป้ายเค่อเอ่ยคำ “เราต้องหาวิธีรับมือ”

“สัตว์อสูรไม่เก่งเรื่องวางแผน” ลี่เค่อเอ้อร์หลงพึมพำ

“หากล่อให้มันเข้าวงล้อมมาเองเล่า ?” ซูเฉินพลันขัดขึ้น

ในฐานะหัวหน้าฝ่ายจัดการภายใน ตำแหน่งเขาต่ำสุด ในฐานะทหารม้าระดับกลาง ตำแหน่งก็ยังต่ำสุดอยู่ดี แต่ด้วยเป็นขุนนางคนสนิทของราชา ซูเฉินจึงมีอำนาจพูดอยู่บ้าง

“หุบปากไปเลยไอ้บัดซบนี่ ใช้วาจาหว่านล้อมฝ่าบาท” กู่ฉาคำราม

หากซูเฉินไม่ใช่ผู้ชาย เขาคงด่าว่าเป็นนางปีศาจจิ้งจอกไปแล้ว

“ให้เขาพูดเถอะ คนฉลาดไม่ห้ามคนอื่นพูดหรอก” กงกู๋เอ่อร์ถูเอ่ยช้า ๆ พร้อมความนัย

พูดกับกู่ฉา และพูดให้อานู๋ปี่ได้ยินด้วย

ซูเฉินยักไหล่ “เรียบง่ายมาก เรารู้ว่าใจสีเลือดไม่ยอมถอย เขาหมายตาไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดไว้ ดังนั้นหากเปิดโอกาส เขาย่อมบุกมาแน่… และหากเขามา ทัพก็ต้องเข้าวงล้อมมาด้วย”

กู่ฉาชะงักไป “เจ้าจะบอกว่าให้ฝ่าบาท……”

“เป็นเหยื่อ ? ใช่ หมายความเช่นนั้น” ซูเฉินเอ่ยเสียงหนักแน่น “หากให้ฝ่าบาทนั่งรถม้าส่งไปแนวหน้า ใจสีเลือดย่อมรู้สึกว่ามีโอกาส”

“เช่นนั้นฝ่าบาทจะตกอยู่ในอันตราย !” ซินป้ายเค่อร้องขึ้น ฉวยโอกาสแสดงความภักดี

“ไม่อันตราย” ซูเฉินตอบ “เราใช้ตัวแทนได้ แต่ตัวแทนต้องมีไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดและโทเทมแห่งพลังชีวิตของจริง”

ใช้ตัวแทนหลอกใจสีเลือด ?

ทุกคนเหลือบมองกัน

“จะบอกว่าแม้ใจสีเลือดรู้ว่ามีซุ่มโจมตี แต่ก็ยังจะบุกมาหรือ ?” ซินป้ายเค่อถาม

“ถูกต้อง หากมีสมบัติ เขาไม่สนว่ามีทหารเท่าไหร่หรอก การกระทำก่อนหน้าก็พิสูจน์ให้เห็นแล้ว” ซูเฉินเอ่ยมั่นใจ

“แต่หลอกใจสีเลือดไม่ง่ายหรอก ใช้วิชาลวงธรรมดาไม่มีทางได้” กู่ฉาเอ่ยขึ้น

“มนุษย์มีวิชาพิเศษทำให้เปลี่ยนรูปร่างหน้าตาได้ พวกเจ้ารู้ใช่ไหม ?” ซูเฉินถาม

“รู้ แต่น้อยคนจะทำได้” กู่ฉาว่า แต่ในใจเขารู้ว่าเรื่องนี้ไม่เป็นปัญหาสำหรับซูเฉิน หรือก็คือยามเสนอคำ เขาก็มีทางแก้ไว้ให้แล้ว

แน่นอนว่าซูเฉินตอบกลับพร้อมรอยยิ้มบาง “ท่านทราบหรือไม่ว่าข้ามีทหารมนุษย์ 73 คนอยู่ บังเอิญว่ามีคนหนึ่งที่ทำเช่นนั้นได้พอดี”

กลุ่มชนชั้นสูงคนเถื่อนชะงักไป

นับว่าเป็นเรื่องบังเอิญจริง

ซึ่งในความจริงมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ซูเฉินได้ใช้วิชาพรางตนเองมาแล้ว จึงไม่แปลกที่จะสอนให้คนอื่นได้

กงกู๋เอ่อร์ถูจึงถาม “แล้วเหตุใดมนุษย์ผู้นั้นไม่ใช้วิชาพรางตนแล้วหลบหนีไปเล่า ?”

ซูเฉินตอบ “เขาไม่อาจหลบเลี่ยงสายตาผู้มีตาทิพย์ได้ วิชาเช่นนี้ได้ผลเฉพาะคนที่ไม่ทันเตรียมตัวเท่านั้น”

กงกู๋เอ่อร์ถูว่า “นั่นก็นับเป็นปัญหา หากหลอกผู้มีตาทิพย์ไม่ได้ ก็หลอกใจสีเลือดไม่ได้”

“แต่หากได้รับความช่วยเหลือจากท่านก็คงไม่เป็นปัญหากระมัง ?” ซูเฉินโต้กลับ “ไม่จำเป็นต้องให้หลอกใจสีเลือดได้อย่างสมบูรณ์แบบก็ได้ ให้มองจากไปไกล ๆ แล้วไม่รู้ก็พอ”

“เช่นนั้นเราจะส่งไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดและโทเทมแห่งพลังชีวิตให้มนุษย์งั้นหรือ ?”กู่ฉาชี้ปัญหาใหญ่ที่สุดออกมา

“มีทัพคนเถื่อนกว่า 2 แสนล้อมกายมนุษย์ผู้นั้นไว้” ซูเฉินตอบเสียงเรียบ “ข้าก็เพียงแนะนำเท่านั้น หากพวกท่านมีแผนที่ดีกว่านี้ข้อเสนอแนะมาได้เลย”

ณ ปราการสามเขา

ใจสีเลือดนั่งอยู่บนบัลลังก์ที่ทำจากกองกระดูกอยู่ในวังลอยฟ้าสีเลือด ซึ่งกำลังถูกลากไปโดยจระเข้หุ้มเกราะ 8 ตัว

บัลลังก์ถูกสร้างจากกะโหลกศีรษะ 999 ชิ้นจากคนเถื่อน เผ่าปักษา เผ่าท้องสมุทร และเผ่าทั้งหลาย รวมถึงของจักรพรรดิอสูรกาย 2 กะโหลก และราชันอสูรกาย 20 กะโหลก โดยกะโหลกทั้งหมดยังไม่สิ้นชีพเสียทีเดียว ดวงตาส่องประกายไฟประหลาด บางครั้งก็จะเคลื่อนไหวไปมาแล้วกระแทกกับเกราะล่องหน ส่งเสียงร้องด้วยความไม่พอใจ

ใจสีเลือดนั่งอยู่บนบัลลังก์ด้วยร่างกายที่เป็นมนุษย์วัยกลางคน ท่วงท่าสง่างาม แต่มีหมอกดำออกจากร่าง เป็นกลิ่นอายลึกลับน่าพิศวง

นัยน์ตาปิดสนิท ศีรษะเอนไปข้างหนึ่ง คล้ายกับกำลังหลับอยู่ ในมือคือคทาซึ่งมีพลอยฝังอยู่ในเนื้อคทาที่เป็นไม้เรียงกันเป็นแถว เป็นสีแดง สีน้ำเงิน และสีดำ

เขาใช้นิ้วมือคลึงมันเบา ๆ ก่อนจะเคาะนิ้วเป็นจังหวะ เผยให้เห็นว่าแท้จริงแล้วไม่ได้กำลังหลับ อสูรกายที่ตัวเล็กกว่ากำลังคุกเข่าอยู่เบื้องล่าง ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว

ทันใดนั้นเขาก็ลืมตาขึ้น

พริบตานั้น ราวกับว่าพื้นที่สว่างขึ้นในพลัน

สายตาจ้องทะลุกำแพงวังตนเองออกไปแล้วมองไปไกล

เอ่ยคำว่า “ข้าสัมผัสได้… ถึงสมบัติของข้า !”