บทที่ 209 ศึกสุดท้าย (1)
ความเร็วเป็นสิ่งจำเป็นในสงคราม
คนเถื่อนจึงลงมือตามคาด
เมื่อคิดจะสู้แล้วก็ไม่มีลังเล
พักวันเดียว เช้าวันถัดมาก็เคลื่อนทัพเลย
รูปทัพของคนเถื่อนแสดงให้เห็นถึงอุปนิสัยได้ดี ทหารชนเผ่าเพลิง 120,000 คนรวมกลุ่มอยู่ตรงกลาง เป็นทัพหลักของชนเผ่าเพลิง ที่เหลือ 80,000 คนมาจากเผ่าเล็กเผ่าน้อยที่สนับสนุนชนเผ่าเพลิง ทหารกลุ่มนี้กระจัดกระจายไปทั่ว คล้ายกับถูกสุนัขกัด ‘ปีก’ ทำให้ทัพแหว่งไปอย่างส่งเดช
ทัพใหญ่รุดหน้ามั่นคง พร้อมกับรถม้าหลวงขนาดใหญ่ของอานู๋ปี่นำหน้า อานู๋ปี่บนบัลลังก์อย่างเปิดเผย ถือไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดด้วยมือขวา ถือโทเทมแห่งพลังชีวิตด้วยมือซ้าย
แน่นอนว่าไม่ใช่อานู๋ปี่ตัวจริง
คือเล่อเฟิงต่างหาก
หลังถกเถียงกันนาน ก็ตัดสินใจว่าจะใช้แผนของซูเฉิน
คำกล่าวที่มีมาช้านานยังถูกต้อง แผนการซึ่งนำหายนะทั้งหลายนั้น เริ่มต้นเดิมทีก็ดูจะสมบูรณ์แบบดีทั้งนั้น ก่อนที่มันจะกลายเป็นแผนหายนะ
แผนของซูเฉินก็เช่นกัน เหมือนไม่ใช่แผนที่เลวร้ายอะไร
ไม่ว่าใจสีเลือดจะตกหลุมพรางหรือไม่ ก็ไม่กระทบคนเถื่อนมาก
ฝ่ายสัตว์อสูรก็ไม่ได้ตั้งรับอยู่ภายในเช่นกัน เพราะปราการสามเขาไม่ใช่ปราการสำคัญ กำแพงเมืองจึงค่อนข้างต่ำ แค่ใช้แรงปะทะก็ถล่มได้แล้ว มีก็เหมือนไม่มี อย่างไรคนสร้างก็คิดเรื่องหากโดนตีแตกแล้วต้องตีชิงคืนมาแล้ว จึงไม่คิดจะสร้างกำแพงสูงไว้ป้องกันพวกตนเอง
รูปทัพของสัตว์อสูรเรียบง่ายกว่ามาก ฝูงอสูรกายมารวมกันวุ่นวายไม่เป็นระเบียบ จ้องคนเถื่อนด้วยสายตาเย็นเฉียบ พวกมันไร้ความสร้างสรรค์ ดังนั้นจึงไม่รู้วิธีการจัดทัพ แต่ก็มีกายแข็งแกร่ง พลังชีวิตทรงพลัง มีเขี้ยวเล็บแหลมคม และสามารถใช้พลังต้นกำเนิดได้
พวกมันเป็นเจ้าครองทวีปมานับหมื่นปี แม้เผ่าอื่นจะเริ่มเรืองอำนาจขึ้นมาในช่วงหลัง แต่พวกมันก็ยังครองทวีปเป็นหลักอยู่ดี
พวกมันติดตามเจ้าเหนือหัวมานาน โจมตีเมืองทั้งหลาย ได้เสบียงมามากมาย อีกทั้งความกระหายเลือดโดยธรรมชาติยังถูกกระตุ้นขึ้นมา ทำให้ยิ่งอยากฆ่าฟันยิ่งขึ้น
ในฐานะที่เป็นจักรพรรดิอสูรกาย ใจสีเลือดสมควรต้องคอยดูแลเรื่องเช่นนี้ หากในครั้งนี้ ใจสีเลือดกลับเลือกที่จะปลดปล่อยสันดานดิบของสัตว์อสูรออกมา
ในตอนนี้ ทั้งสองฝ่ายถึงทางตันแล้ว ด้วยกำลังเผชิญหน้ากัน ส่งเสียงร้องคำรามลั่น
อากาศเริ่มเย็นลงอย่างกะทันหัน ความตึงเครียดสัมผัสได้ชัดเจน
“วู่วววว !”
ในที่สุดเสียงแตรก็ดังทำลายความเงียบ ดังก้องไปทั่วท้องฟ้า
“โจมตี !”
“โจมตี !”
“โจมตี !”
เมื่อได้รับคำสั่ง ทัพคนเถื่อนก็เริ่มเคลื่อนตัว
ตึง ตึง ตึง ตึง !
เสียงฝีเท้าดังสะเทือนเลื่อนลั่น เมื่อทหารนับไม่ถ้วนเงื้อหอกยาว ขวานรบ หรือโล่ขึ้น ก่อกำเนิดเป็นกำแพงที่ไม่อาจทำลายได้ รุดหน้าเข้าไปด้วยกำลังไร้ขอบเขต
สัตว์อสูรยังรักษาตำแหน่งตนเองไว้
ทว่าคนเถื่อนไม่ใช่เผ่าพันธุ์ที่ทำเพียงแต่เดิน ไม่นานการเคลื่อนไหวก็เปลี่ยนแปลงไป
เมื่อระยะห่างระหว่างสองทัพย่นลงเรื่อย ๆ เสียงแตรก็เปลี่ยนจากลากยาวเป็นจังหวะสั้น ๆ ซ้ำไปมา
“บุก !”
“บุก !”
“บุก !”
เสียงร้องตะโกนดังขึ้นอีกครั้ง
เสียงร้องลั่นเป็นดั่งไม้ขีดไฟถูกโยนเข้าหม้อที่เต็มไปด้วยน้ำมันร้อน พริบตาเดียว ในใจคนเถื่อนทั้งหลายก็เกิดเพลิงโหมลุกขึ้น
กองทัพคนเถื่อนที่รุดหน้าออกไปช้า ๆ แต่มั่นคง เปลี่ยนผันเป็นปลดปล่อยพลังทั้งหมดแล้วพุ่งออกไปอย่างเต็มกำลัง
ในจังหวะนั้น เลือดในกายเริ่มเดือดพล่าน ความกระหายสงครามและเพลิงแห่งความแค้นที่ลุกโชนถูกเปลี่ยนเป็นพลังเสริมความดุดันในความเคลื่อนไหว
พวกเขาคำรามลั่นแล้วบุกเข้าไปยังปราการสามเขา
ในเวลาเดียวกันนั้น เสียงกรีดร้องแหลมก็ดังออกมาจากวังสีเลือด
มันดังก้องไปทั่ว สัตว์อสูรทั้งหลายต่างแหงนศีรษะแล้วหอนขึ้นฟ้า จากนั้นบุกตะลุยไปข้างหน้า มีพละกำลังเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
คลื่นกองกำลังทั้งสองโหมกระหน่ำ ใกล้เข้ากันเรื่อย ๆ จนกระทั่งเข้าปะทะกัน
ตู้ม !
เลือดสดเจิ่งนองดั่งสายน้ำ
พริบตาที่ 2 กองทัพเข้าปะทะกัน เกือบร้อยชีวิตก็สูญเสียไป
พลังชีวิตอันสูงส่งของทั้งสองฝ่ายกลายเป็นเรื่องน่าขันไป ไม่ว่าจะแกร่งแค่ไหน ต่อหน้าศัตรูนับหมื่นที่ปล่อยพลังต้นกำเนิดออกมาดั่งคลื่นยักษ์ เจ้าก็เป็นแค่คนอ่อนแอคนหนึ่งเท่านั้น
ตู้ม ตู้ม ตู้ม ตู้ม !
เกิดการระเบิดขึ้นท่ามกลางกองทัพทั้งสอง
ผู้เชี่ยวชาญพลังของทั้งสองฝ่ายเข้าปะทะ ปลดปล่อยพลังทั้งหมดอัดเข้าหากันเต็มกำลัง
ไม่มีการยั้งมือ ไม่เหลือไพ่ตายไว้ใช้ หมายสังหารศัตรูเต็มกำลัง เพราะไม่รู้ว่าต่อไปจะยังมีชีวิตรอดอยู่หรือไม่ การปลดปล่อยพลังออกไปให้มากที่สุดก่อนตายจึงเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุดแล้ว
พลังต้นกำเนิดหลั่งไหลปั่นป่วนอยู่ที่แนวหน้าทัพ
คลื่นพลังรุนแรงราวกับจะเดือดพล่านไปด้วยไอสังหาร ทั้งสองฝ่ายต่างเข้าปะทะกันไม่หยุดยั้ง
ความสามารถในการใช้พลังของทหารจากทั้งสองฝั่งถูกจำกัดลงอย่างมากก็เพราะเหตุนี้
พลังต้นกำเนิดไม่เหมือนกับอากาศ แม้จะมีอยู่ทุกที่ แต่ความหนาแน่นก็มีจำกัด เมื่อพลังต้นกำเนิดถูกนำไปใช้เป็นจำนวนมาก ผลก็คือเกิดความขาดแคลน แม้จะใช้วิชาออกมาแล้วแต่ผลของวิชาก็จะได้รับผลกระทบจากเหตุนี้
เช่นนี้แล้ว การต่อสู้ที่ยังผลดีที่สุดนั่นคือให้ทหารที่ใช้พลังทั้งหลายใช้กำลังให้มากที่สุด
ดังนั้นผู้ใช้พลังจึงตายได้ง่าย สาเหตุไม่ใช่เพียงเพราะมีศัตรูจำนวนมาก หรือเพราะศัตรูสามารถรวมกลุ่มกันสังหารพวกเขาได้ แต่เป็นเพราะสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปนั่นเอง
ตู้ม !
คลื่นกระแทกของพลังงานม้วนตัวผ่านกองทัพ ริ้วดาบตระการตาทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า แต่มันมุ่งหน้าไปได้ไม่ไกลก็ถูกคลื่นพลังต้นกำเนิดดูดเข้ามาจนสลายไป
โดยปกติสามารถใช้วิชาต้นกำเนิดซับพลังโจมตีมหาศาลได้ไกลกว่าพันลี้ แต่ด้วยเกิดความปั่นป่วนของพลังต้นกำเนิดในสนามรบเช่นนี้ ความแกร่งจึงเหลือเพียง 10 ส่วนเท่านั้น
เรื่องเช่นนี้เกิดทั่วทั้งสนามรบ
บางครั้ง พวกที่โชคดีกว่าหน่อยก็จะรู้สึกว่าพลังโจมตีตนเองมากขึ้นกว่าเดิม
ตู้ม !!!
เกิดพลังระเบิดรุนแรง คลื่นกระแทกขยายไปรอบรัศมี 100 ลี้ สิ่งมีชีวิตทั้งหลายรอบข้างต่างถูกพลังโอบล้อม พวกที่อ่อนแอก็สิ้นใจในทันที
ผู้ที่ปลดปล่อยพลังโจมตีอันน่าเกรงขามนี้เป็นเพียงนักรบอารามที่มีกำลังต่ำต้อยที่สุดเท่านั้น เขาทำการปล่อยลูกบอลเพลิงที่ศูนย์กลางของกระแสพลังต้นกำเนิดวน แต่ก็ประหลาดใจที่เขาสามารถโจมตีจุดที่พลังมาบรรจบกันได้ และด้วยเกิดการปะทะกันของพลังต้นกำเนิดอย่างรุนแรงรอบกระแสพลัง จุดพลังบรรจบจึงอยู่ได้เพียงไม่กี่อึดใจ โอกาสที่จะโจมตีมันได้มีน้อยนัก
แต่หากมีโอกาส ก็มีความเป็นไปได้ และความเป็นไปได้ในครั้งนี้ก่อให้เกิดการระเบิดของพลังอย่างน่าเหลือเชื่อ หากแต่ผู้ ‘โชคดี’ ไม่อาจหลบหนีระยะระเบิดได้ทัน จึงถูกแรงระเบิดร่างกระจายเป็นชิ้นทันที
ซูเฉินยืนอยู่ที่ด้านหลัง สังเกตสถานการณ์ รับรู้ทุกเรื่องราวที่เกิด แม้เขาจะเคยต่อสู้กับกองทัพกำลังสวรรค์มาหลายครั้ง แต่ก็มักใช้กลยุทธ์ เช่นเป็นฝ่ายพวกเขาที่มีกำลังเหนือกว่า และมีจำนวนมากกว่าคู่ต่อสู้ ดังนั้นจึงหาได้ยากที่จะได้เห็นการไหลเวียนของพลังต้นกำเนิดที่ดุดันและรุนแรงเช่นนี้
หากความผันผวนของพลังในตอนนี้นับได้ 10 ส่วน เช่นนั้นตอนที่กองทัพกำลังสวรรค์เข้าโจมตีเมืองแสงเหนือก็สร้างความผันผวนของพลังเพียง 1 ส่วนเท่านั้น
ความผันผวนพลังต้นกำเนิดที่เกิดจากการต่อสู้ขนาดใหญ่เช่นนี้ทรงพลังมาก กระทั่งมีผลกระทบต่อจักรพรรดิอสูรกาย ทำให้ไม่อาจแสดงกำลังที่แท้จริงออกมาได้
แต่หากสามารถควบคุมหลักการที่อยู่เบื้องหลังได้แล้ว ก็มีโอกาสใช้ประโยชน์จากมันได้กระมัง ? ซูเฉินเริ่มคิดสงสัย
กระแสพลังวุ่นวายเป็นผลจากพลังโจมตีที่อยู่ใกล้เคียงผู้เชี่ยวชาญพลัง ดังนั้นจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอยู่ทุกเวลา หรือก็คือ มันไม่มีรูปแบบตายตัว และถึงแม้จะมี แต่ก็หายไปในพริบตา ทำให้ไม่สามารถฉวยจังหวะได้ทันท่วงที
แต่ซูเฉินไม่ได้กังวลเรื่องนั้น เขามีผลึกวิญญาณ ความสามารถในการคำนวณจึงสูงมาก ทั้งยังมีเนตรมองโลกจุลภาค จึงมั่นใจความสามารถในการสังเกตการไหลเวียนพลังของตนเองยิ่ง และเมื่อมีพื้นฐานเช่นนี้แล้ว แม้จะไม่อาจจับจังหวะหรือเก็บรายละเอียดได้ทั้งหมด แต่เขาก็ยังพอควบคุมสถานการณ์ได้
รู้อย่างนี้แล้ว ซูเฉินจึงไม่อาจอยู่เฉยได้อีก
เมื่อเกิดความคิด ซูเฉินจึงหันไปบอกกล่าว “ปู้ลาฉี บอกให้พวกทหารเตรียมตัว !”
ปู้ลาฉีถามด้วยความตกใจ “เราจะลงมือตอนนี้เลยหรือ ?”
เพราะความโปรดปรานในลูกน้องคนนี้ อานู๋ปี่จึงวางซูเฉินและทัพไว้ใกล้ปีกซ้าย เพื่อจะไม่ต้องเข้าร่วมการรบตั้งแต่เริ่มต้น
แต่ความคิดที่พลันผุดขึ้นมากลับทำให้ซูเฉินเต็มไปด้วยความกระหาย อยากลงสนามรบเพื่อทดสอบทฤษฎีในหัว ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นลักษณะนิสัยของนักทดลองคลั่ง ที่เมื่อเกิดความคิดใหม่ขึ้นมา ก็อยากลงมือทดลองในทันที
โชคดีที่ซูเฉินคิดจะลงสนามรบมาตั้งแต่แรก เพียงแต่ลงมือก่อนเวลา แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา และหากทำได้สำเร็จ แผนการของเขาก็จะราบรื่นเกินคาด
ภายใต้คำสั่งของซูเฉิน กองทัพปีกซ้ายจึงเริ่มเคลื่อนทัพ
พวกเขาเริ่มขนาบข้างกองกำลังหลัก เข้าใกล้สนามรบมากขึ้นเรื่อย ๆ
อานู๋ปี่สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวน่าสนใจอย่างรวดเร็ว
ในตอนนี้ อานู๋ปี่ย่อมไม่ได้นั่งอยู่บนบัลลังก์ที่แนวหน้า
เขากำลังยืนอยู่บนแท่นสูงด้านหลัง สังเกตการรบจากที่สูง บางครั้งก็จะออกคำสั่ง ซึ่งส่วนมากถูกปรับเปลี่ยนหรือถูกเมินเฉยโดยกู่ฉา
แต่นั่นก็ไม่อาจทำให้อานู๋ปี่หมดสนุกกับตำแหน่ง ‘ผู้บัญชาการอัจฉริยะ’ ได้
เมื่อเห็นว่ากองทัพของซูเฉินเริ่มลงมือ กระทั่งอานู๋ปี่ยังอึ้งไปก่อนที่จะหัวเราะ “เห็นไหม ? หลงถูสั่งทัพร่วมรบแล้ว เขาคิดจะโจมตีรุนแรงจากด้านข้าง เป็นเด็กที่กล้าหาญไม่น้อยเลยใช่หรือไม่ ? ยังมีใครที่คิดว่าเขาเอาแต่ประจบประแจงทั้งที่ไร้ความสามารถอีกหรือไม่ ?”
“เขาโจมตีเร็วเกินไป ฝ่าบาท” กู่ฉาตอบ
“แล้วอย่างไร ? สัตว์อสูรก็จะแพ้อยู่แล้วใช่ไหมเล่า ? อย่างไรพวกเราก็คือคนเถื่อน ไม่ใช้ความอดทนแต่ใช้กำลังใจและความกล้าหาญ เขาเป็นคนเถื่อนที่แท้จริงไม่ใช่หรือ ? ฮ่า ๆ!” อานู๋ปี่หัวเราะร่วน
“เขาเป็นคนเถื่อนที่แท้จริง” กู่ฉาตอบ
กระทั่งกู่ฉายังไม่คิดว่าการที่โจมตีเร็วเกินไปเป็นเรื่องผิดปกติ โอกาสที่จะเกิดความผิดปกติในการรบครั้งนี้มีน้อยเกินไป มีแต่ต้องเสียหายเท่าไหร่เท่านั้น
ใจสีเลือดไม่สนว่าเขาจะชนะได้หรือไม่ สนแต่จะเอาสมบัติคืนมาก็เท่านั้น
เมื่อความสนใจถูกอีกฝ่ายควบคุมไว้ได้มั่น กระทั่งคนที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังถูกจูงจมูกไปได้ !!!