ภาคที่ 4 บทที่ 210 ศึกสุดท้าย (2)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 210 ศึกสุดท้าย (2)

“บุก !”

สิ้นเสียงตะโกนซูเฉิน ทหารบนหลังอีกัวน่า 5,000 นายก็พุ่งเข้าใส่สัตว์อสูรโดยมีซูเฉินนำทัพอยู่ด้านหน้า

คนเถื่อนสู้กับสัตว์อสูรด้วยกลยุทธ์เรียบง่าย แต่ไม่ใช่ว่าอ่อนแอ แท้จริงแล้วความเรียบง่ายกลับทำให้โหดร้ายกว่าปกติเสียอีก

เป้าหมายใกล้เข้ามา ขณะที่กำลังรุดหน้าไปอย่างช้า ๆ ซูเฉินก็พลันโบกมือ เกิดเป็นคลื่นเพลิงพุ่งออกไป

มันคือระเบิดเหยี่ยวเพลิงแบบง่าย คนเถื่อนสู้ง่าย ๆ ใช้พลังต้นกำเนิดก็เรียบง่ายเช่นกัน ดังนั้นซูเฉินจึงปรับวิชาด้วยการตัดลำตัวเหยี่ยวออก เหลือไว้เพียงปีก กลายเป็นกรวยเพลิงแทน

ซึ่งแกร่งพอ ๆ กับเหยี่ยวเพลิง แต่ไม่ปราดเปรียวและโจมตีได้ไม่ไกลและไล่ตามศัตรูไม่ได้ แต่ผลทั้งสองใช้ในสนามรบใหญ่ไม่ได้เท่าไหร่นัก

เปลวเพลิงพุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่ลดละ อสูรกายสองสามตัวที่พุ่งเข้ามาร่างติดไฟ ร้องโหยหวนเสียงเกรี้ยวกราดทันที

หลังซึมซับพลังต้นกำเนิดไฟและทะลวงสู่ด่านสู่พิสดาร ความคุ้นเคยต่อพลังต้นกำเนิดประเภทนั้นก็สูงขึ้นจนน่ากลัว แต่เมื่อปล่อยพลังไปในตอนนี้ กลับทำได้แค่สร้างบาดแผลตื้น ๆ เท่านั้น ไม่ใช่เพราะอสูรกายทรงพลังอะไร แต่เป็นเพราะการไหลอันบ้าคลั่งของพลังต้นกำเนิดลดพลังโจมตีลงต่างหาก

ซูเฉินไม่คิดอะไร จุดมุ่งหมายไม่ใช่เพื่อฆ่าสักหน่อย เขาเพียงมุ่งทำตามแผนและทดลองทฤษฎีใหม่ก็เท่านั้น

เสียงคำรามของอสูรที่ถูกเผายิ่งเรียกอสูรกายเข้ามาอีก สัตว์อสูรนับพันหันเข้าหาซูเฉินทันที

ซูเฉินเคลื่อนตัวช้าลง คนเถื่อนจำนวนมากปรากฏข้างกาย พุ่งเข้าปะทะสัตว์อสูรอย่างกล้าหาญ

ความกล้าของคนเถื่อนและความโกรธที่บ้านเกิดถูกรุกรานทำให้ไร้ซึ่งความเกรงกลัว มีแต่ความโกรธแค้นดุดัน เปลี่ยนผันให้เลือดในกายเดือดพล่าน

แน่นอนว่าซูเฉินไม่ได้คลั่งตาม แม้จะลงมือรุนแรง แต่ใจยังสงบ เลือดในกายยังเย็นเฉียบ

การคงความนิ่งในสงครามทำไม่ง่าย แม้จะไม่ได้อยู่ฝั่งใด แต่ท่ามกลางศึกดุเดือดเช่นนี้ก็ทำให้คนเราเสียสติไปได้ไม่ยาก

แต่ซูเฉินก็คุมตนเองไว้ได้ เขาใช้ผลึกวิญญาณเปลี่ยนรอบกายเป็นตัวเลขแล้วเริ่มคิดคำนวณ

100 จั้งทางด้านซ้าย คนเถื่อน 3 คนกำลังปะทะอสูรกายตัวหนึ่ง พวกเขาสู้สุดใจ ด้านขวา คนเถื่อน 5 คนปะทะอสูรกาย 2 ตัว แต่ไม่รู้ว่าอินทรีมงกุฎเหล็กกำลังลอบโจมตีจากฟ้า ด้านหน้าคือแรดหลังดำที่กำลังรวมพลังในร่างภายใน สาม สอง หนึ่ง……

ตู้ม !

คนเถื่อนนับสิบถูกกระแทกปลิวไป

แต่ซูเฉินไม่พอใจ เขาไม่ได้พยายามทำนายการโจมตีของคู่ต่อสู้ แต่เป็นการไหลเวียนพลัง สิ่งที่เขาเห็นก่อนหน้านี้ไม่ใช่รายละเอียดสำคัญ

เนตรมองโลกจุลภาคเห็นแม้รายละเอียดปลีกย่อย เห็นลึกถึงแก่นแท้ของวัตถุส่วนใหญ่ ใช้มานานเข้ายิ่งคล่องขึ้น ตอนนี้เขาใช้มันเต็มกำลังได้แล้ว รอบกายพลันเปลี่ยนเป็นภาพงดงาม

สิ่งมีชีวิตรอบตัวเบลอเป็นเงาดำ การไหลของพลังต้นกำเนิดเห็นชัดเป็นเส้นแสง สีที่แตกต่างบอกถึงประเภทพลังที่ต่างกัน ความเข้มของสีลอกความเข้มข้นของพลัง เส้นแสงขยับไปมาหมุนเวียนวน แสดงให้เห็นว่าเป็นกรไหลเวียนพลังยามใช้วิชา

จู่ๆ โลกก็กลายเป็นโลกหลากสีสันตระการตา

หากเป็ยคนอื่นจู่ ๆ โลกรอบข้างกลายเป็นเช่นนี้คงปรับตัวยาก แต่ซูเฉินพัฒนาเนตรไปใช้มันไปด้วย แต่ก่อนไม่อาจเห็นพลังไหลเวียนผ่าน แต่ตอนนี้เห็นเป็นหลากสี หนทางนี้ช่างยากลำบากนัก

ตอนนี้เมล็ดที่หว่านเริ่มผลิดอกและออกผล ไม่แปลกที่ซูเฉินจะชินชากับมัน

เขาดึงอีกัวน่าด้านล่างเบา ๆ เจ้าอีกัวน่าขยับไปด้านข้างตอบ ริ้วแสงรูปจันทร์เสี้ยวพุ่งผ่านเขาไป

เมื่อซูเฉินเริ่มขยับ ริ้วแสงรูปจันทร์เสี้ยวยังไม่ถูกยิงออกมา

แต่ท่ามกลางการไหลเวียนพลังปั่นป่วน เขากลับเห็นแสงที่รวมตัวกัน ราวกับกำลังจะระเบิดออกมาทางเขา

ดังนั้นจึงหลบก่อนที่อีกฝ่ายจะใช้วิชาด้วยซ้ำ

แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ

เขาอยากได้มากกว่านี้ !

ลำแสงจำนวนนับไม่ถ้วนผสานเข้าด้วยกัน ปรับเปลี่ยนรวมร่างเข้าด้วยกัน กลายเป็นเส้นวิถีพลังใหม่

สีปรากฏขึ้นและหายไปอย่างต่อเนื่อง บ้างผสมกันบ้างปะทะกัน เกิดเป็นระเบิดพลังกลางอากาศ

การใช้วิชาก็เหมือนกับการปลดปล่อยพลังในรูปแบบหรือในวิถีหนึ่ง แต่ความเป็นเอกลักษณ์ขึ้นอยู่กับสีและพลังที่ผสมจนกลมกลืนกัน

นี่เป็นความเข้าใจในระดับจุลภาคที่ซูเฉินก้าวถึง

หากต้องการควบคุมการไหลเวียนพลัง ก็ต้องเข้าใจหลักการเบื้องหลังการใช้เสียก่อน

เช่นสิ่งนี้

เขาจ้องมองอย่างจดจ่อไปที่ลำแสงเส้นหนึ่ง

เป็นลำแสงผสมด้วยสีส้มและแดง

สีแดงคือพลังต้นกำเนิดไฟ สีส้มคือพลังต้นกำเนิดกำลังชีวิต

เป็นการต่อสู้ของนักรบอารามและผีเสื้อเพลิง อักขระโทเทมส่องแสงสีส้ม ถูกกลั่นจนแน่นเพื่อเข้าปะทะกับเพลิงคลั่งของผีเสื้อเพลิง นักรบอารามและผีเสื้อเพลิงต่างก็เป็นทหารชั้นเลวของแต่ละฝั่ง ใช้เป็นทหารเดนตายเท่านั้น การต่อสู้จึงเรียบง่าย ด้วยเหตุนี้สีของพลังจึงแยกได้ง่าย

พลังงานดูสลายไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าพลังใดที่เข้ามาในเพจนี้ต่างก็ถูกผลกระทบทั้งสิ้น

ถูกผลกระทบ แต่ไม่ได้ทำให้อ่อนแอลง

ซูเฉินค้นพบโดยเร็ววิถีพลังเป็นตัวแปรที่สำคัญที่สุด พลังต้นกำเนิดที่ไหลไปตามสายทรงพลังกว่าพลังที่ไหลสวนกัน

“เป็นเช่นนี้ แท้จริงแล้วเรียบง่ายจนน่ากลัว” ซูเฉินหัวเราะน้อย ๆ

พลังของวิชาจะต่ำลงเมื่อมีพลังต้นกำเนิดไหลเวียนปั่นป่วนอยู่รอบข้าง ทำให้ผลสลายไปอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ว่าจะมีพลังปั่นป่วนมากขนาดไหน ก็ยังมีจังหวะที่พลังต้นกำเนิดไหลไปในทางเดียวกัน นั่นเป็นจังหวะที่เมื่อวิชาไหลผสานไปกับพลังก็จะช่วยเสริมความรุนแรง แต่หากวิชาไหลสวนกับพลัง การโจมตีก็จะเบาลงเป็นอย่างมาก

เมื่อจับทางวิถีพลังต้นกำเนิดได้ทุกอย่างก็เป็นเรื่องง่าย หากไม่รีบร้อนละโมบ ก็คงหาจังหวะได้อยู่บ้าง

ซูเฉินกะพริบตา กลับคืนสู่โลกจริง แต่กลับพบกับภาพน่าตกตะลึง ที่ศูนย์กลางสายตา เห็นเป็นแสงสีอ่อนกำลังเริงระบำไปมา

แสงที่ปรากฏอยู่ในสายตาของซูเฉินเหล่านี้คือพื้นที่ที่พลังต้นกำเนิดรวมกันหนาแน่นที่สุด แสงแต่ละเส้นแทนวิชาที่กำลังจะถูกปล่อยออกมา

พริบตาเดียว ริ้วเพลิงสีน้ำเงินก็พุ่งเข้าใส่ซูเฉิน ซูเฉินจึงสวนกลับด้วยท่าหมัดที่เรืองไปด้วยแสงอักขระ แน่นอนว่ามันไม่ใช่อักขระโทเทมของจริง แต่เป็นผลจากเครื่องมือนำพลังที่ซูเฉินสร้างขึ้น เครื่องมือนำพลังนี้บางมาก เป็นชั้นใส เขาแปะมันไว้บนผิวกาย สามารถเปิดใช้ได้ หรือก็คือมันคล้ายกับถุงมือเพลิงเงาในรูปแบบที่ละเอียดอ่อนและมีรูปลักษณ์ไม่โดดเด่น

เมื่อก่อน ซูเฉินสร้างเครื่องมือนำพลังขึ้นเพียงหนึ่งชิ้น เมื่อเวลาผ่านไปก็ไม่ได้สร้างตัวที่ทรงพลังกว่าเดิมขึ้นมาอีก แต่กลับนำของเดิมมาปรับเปลี่ยนเพื่อนเรียนแบบอักขระโทเทมของคนเถื่อน แม้จะไม่ทรงพลังเท่า แต่ก็ใช้เลียนแบบความสามารถได้ดี

หมัดถูกกระแทกออกไป เพลิงสีน้ำเงินก็ดูเราจะถูกหยุดไว้ก่อนจะหายไป

พลังงานมองไม่เห็น ถ้าเห็นก็มองเห็นได้ยาก และวิเคราะห์ไม่ได้ แต่ในสายตาของเขา เขาเห็นมันชัดเจน สามารถคำนวณวิถีพลังได้ เมื่อเห็นทั้งตัวพลังและวิถีของมันแล้ว จึงสามารถรับมือกับการไหลเวียนของพลังได้ดี ทำให้เขาสามารถนำมันมาใช้ประโยชน์ได้อย่างถึงที่สุด

แน่นอนว่าต้องเป็นศัตรูที่ไม่ส่งพลังนัก หรือก็คือ จะใช้ความสามารถนี้ช่วยโอกาสได้ก็ต่อเมื่อใช้รังแกคู่ต่อสู้ที่อ่อนแอกว่าก็เท่านั้น

แต่ก็ยังเป็นความสามารถที่น่าตกใจอยู่ดี

ทว่านี่ยังไม่ใช่สิ่งที่เขาตามหา

อสูรกายระดับสูงส่งเสียงคำรามแล้วพุ่งเข้ามา อ้าปากเขี้ยวคมปลดปล่อยพลังลมรุนแรง แต่กลับไม่ได้เร่งไปทางซูเฉินอย่างเดียว แต่เป้าหมายคือเขาและคนเถื่อนโดยรอบทั้งหมด

จังหวะเดียวกันกับที่มันอ้าปาก ซูเฉินก็ออกท่าโจมตี หมัดทรงพลังถูกกระแทกออกไป แต่ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังคือความเข้าใจในการควบคุมพลังต้นกำเนิด พริบตาต่อมา พลังลมรุนแรงก็เปลี่ยนทิศ หันไปพัดอสูรกายระดับต่ำจนกระเด็นไป

อสูรกายระดับสูงถึงกับชะงักไปเมื่อเห็นท่าโจมตีถูกเปลี่ยนทิศ มันไม่รู้เลยว่าถูกซูเฉินควบคุมการโจมตีเอาไว้ได้

“ยังไม่พอ !” ซูเฉินพึมพำ

เขาต้องการรักษาความแข็งแกร่งของตัวเองไว้ท่ามกลางการต่อสู้ในขณะที่ควบคุมความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายได้อย่างอิสระ เขาอยากได้มากกว่านี้ ดังนั้นจึงใช้วิธีแตกต่างจากเดิม

การโจมตีมากมายพุ่งเข้าใส่เขามาจากทุกทิศ รุดหน้าเข้ามายังสนามพลังที่ปั่นป่วน

ซูเฉินท่าทางเหมือนกับเดินอยู่ในสวนดอกไม้บ้านตนเอง เดินผ่านสนามพลังรุนแรง แต่กลับไม่บาดเจ็บสักนิด

คล้ายจะรอดพ้นเงื้อมมือการโจมตีไปได้ หลบเลี่ยงอันตรายไปอย่างเฉียดฉิวได้ทุกครา บางครั้งก็มีที่หลบไม่ได้บ้าง แต่แค่ขยับเพียงนิดเดียว การโจมตีก็ถูกเบี่ยงไปยังทิศอื่น

ตอนแรก ซูเฉินเดินเชื่องช้ามาก แต่เมื่อเริ่มวิเคราะห์การไหลของพลังได้แม่นขึ้น ก็เริ่มเร่งฝีเท้า จนกระทั่งอยู่ท่ามกลางกองทัพสัตว์อสูร

พวกมันร้องคำรามแล้วปล่อยการโจมตีมาทางเขาพร้อมกัน

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ลองความเข้าใจใหม่ของข้าสักหน่อยเป็นไร” ซูเฉินพึมพำเสียงเบา

เขาเก็บมือขวาแล้วผลักออกไปด้านหน้า เมื่อฝ่ามือถูกกระแทกออกไป กระแสสายฟ้าและเสียงฟ้าคำรามก็พุ่งออกไปด้วย และด้วยมีการโจมตีจากสัตว์อสูรเข้ามาทุกทิศทาง พลังต้นกำเนิดที่ปั่นป่วนจึงเกิดเป็นหลุมพลังวนขนาดใหญ่ ลดกำลังของวิชาที่พุ่งเข้ามาในอาณาเขตเป็นอย่างมาก

ทว่าการโจมตีของซูเฉินกลับไม่ถูกลดพลังลง แต่กลับขยายใหญ่ขึ้น โดยมีตัวเขาอยู่ตรงกลาง ก่อตัวเป็นกระแสฟ้าผ่าขนาดมหึมาขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วเริ่มกระจายไปทั่วทุกทิศทุกทาง

ตู้ม !!!

สายฟ้าทรงพลังขยายตัวออกไปในรัศมี 50 จั้งโดยมีเขาอยู่ตรงกลาง มีเพียงจุดที่เขายืนเท่านั้นที่เป็นจุดปลอดภัย แม้จะเกิดระเบิดพลังขนาดใหญ่ ริ้วสายฟ้าสีขาวก็ยังเริงระบำไปตามอากาศราวกับงูสีเงิน เป็นเวลานานกว่าจะสลายไป

ไม่มีใครรู้ว่ากระแสพลังสายฟ้าแรงนี้เป็นการโจมตีของซูเฉิน หากเขาออกท่าเต็มกำลัง แรงระเบิดก็อัดทรงพลังมากกว่านี้หลายเท่า

รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปาก “อย่างนี้สิถึงจะเป็นสิ่งที่ข้าใฝ่หา”