ภาคที่ 4 บทที่ 211 ศึกสุดท้าย (3)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 211 ศึกสุดท้าย (3)

ซูเฉินเดินเตร่ในสนามรบ สัมผัสถึงการค้นพบใหม่และพัฒนารูปแบบการต่อสู้ที่มีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แต่ไม่นานการคำนวณอย่างสุดขีดก็ทำให้พลังงานจิตเขาหมด ทำให้เขารู้สึกว่าดำเนินต่อไปคงไม่ได้

“ต้องมีข้อเสียบ้างสินะ ?” ซูเฉินถูขมับ กระทั่งพลังงานจิตในปัจจุบันของเขายังรั้งไว้ได้ไม่นานจนรู้สึกเหนื่อย เห็นได้ชัดว่าคิดคำนวณมากเกินไปเป็นภาระต่อร่างกายมาก

“คำนวณสภาพแวดล้อมรอบกายใช้พลังจิตมากทีเดียว จะรองรับเครือข่ายจิตของมั่วเนี่ยลาซือหรือแดนฝันต้องใช้พลังจิตเท่าไหร่กัน ? อ่า ใช่แล้ว พวกเขาไม่ใช่ตัวคนเดียวนี่ ยังมีคนอื่นช่วยอีก แต่คิดว่าจำนวนพลังงานจิตนั่นที่ต้องใช้จากของคนทั้งเผ่ามาสร้างคงจะมากจนน่าตกใจ” ซูเฉินพึมพำกับตัวเองอย่างครุ่นคิด

ยิ่งมีพลังจิตมาก เขายิ่งชื่นชมพวกที่อยู่สูงยิ่งกว่า เทียบกันแล้วรู้สึกว่าตนด้อยกว่านัก

การตอบสนองแรกของซูเฉินต่อกลยุทธ์การต่อสู้ใหม่คือการชี้จุดอ่อนของตนเอง อันเป็นตัวบ่งชี้การเติบโตของเขา

ซึ่งก็เป็นเรื่องดี มีแต่ตั้งเป้าหมายไว้ตรงหน้าเขาจึงจะสามารถทำงานหนักและมุ่งหน้าต่อไปได้

เขายืนครุ่นคิดอยู่ด้านข้าง แต่สถานการณ์ในสนามรบกลับเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

วังสีเลือดลอยฟ้าที่อยู่ด้านหลังทัพหน้าเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว

วังสีเลือดลอยฟ้าขนาดใหญ่หมุนไปในอากาศขณะที่มุ่งหน้าเข้ามาอย่างรวดเร็ว แรงกดดันไร้รูปร่างเข้าห่อหุ้มสนามรบและแผ่กระจายออกไป คนเถื่อนใจกล้าทั้งหลายเริ่มสั่นกลัว ไม่กล้าขยับตัวเอง อสูรกายจึงฉวยโอกาสจัดการเสีย

กระนั้นนี่ก็เป็นเพียงผลข้างเคียงเท่านั้น ตัววังลอยฟ้าเองคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด พระราชวังสีเลือดยังคงปล่อยพลังปราณสีแดงก่ำออกมา โคจรไปราวกับกลุ่มลมสีแดง เมื่อมันไปถูกตัวคนเถื่อน ก็จะทะลวงเข้าร่างและทำลายร่างจากภายใน

นักรบคนเถื่อนที่แข็งแกร่งกว่าหน่อยไม่ได้รับผลกระทบจากแรงกดดัน แต่กลับถูกลมสีแดงนี่สังหาร

แต่หากเห็นปราสาทอสูรแล้วช่วยอะไรไม่ได้เลยก็ไม่ใช่คนเถื่อนแล้ว

แรดสายฟ้า 36 ตัวที่กำลังลากรถมาหลวงเองก็พุ่งออกมา เล่อเฟิงที่อยู่ด้านหน้ารถม้าชูโทเทมแห่งพลังชีวิตขึ้นสูง ส่งคลื่นพลังสีส้มถูกปล่อยออกมาจากตัวโทเทม ส่องไปทางไหน คนเถื่อนที่ถูกแสงก็ราวกับได้รับการปกป้องศักดิ์สิทธิ์ ทำให้สามารถต่อสู้ต่อไปได้ ได้รับพลังแห่งความดุดันมา ที่น่ากลัวกว่าคือบาดแผลทั้งหลายล้วนหายดีไม่ว่าจะหนักหนาเพียงไหน

โทเทมแห่งพลังชีวิตประทานพลังชีวิตอันทรงพลังแก่พวกเขา พลังชีวิตแก่กล้ารักษาแผลส่วนใหญ่ได้เกือบทั้งหมด

รอบข้างรถม้าหลวงคือราวขนาดใหญ่ที่แข็งแรง ด้านหลังซึ่งมีหัวหอกโลหะแวววาวโผล่ออกมา หอกสังหารเทพเหล่านี้สร้างขึ้นจากแร่ซิเดอไรต์ทองดารา มีอักขระคนเถื่อนอยู่ทั่ว ทำให้มีกลิ่นอายลึกล้ำน่าเกรงขาม และที่ซ่อนอยู่หลังราวเหล่านี้คือหน้าไม้สังหารปีศาจ พลังทำลายล้างของอาวุธเหล่านี้จินตนาการได้ไม่ยาก

แม้คนเถื่อนจะมีสติปัญญาต่ำที่สุดในเผ่าพันธุ์อัจฉริยะทั้งห้า แต่ก็ยังมีความคิดสร้างสรรค์มากกว่าสัตว์อสูร

เมื่อราวลูกกรงเปิดออก หอกสังหารเทพก็เพิ่งออกไป หมายจะสังหารอสูรกายที่กำลังรุดหน้าเข้ามา พวกมันถูกหอกฉีกร่างกระจายด้วยเมื่อหอกถูกร่างก็จะระเบิดพลังออก

ไม่ว่าหอกสังหารเทพจะพุ่งไปทางไหน ก็ส่งการโจมตีดุดันออกไปได้ทุกเมื่อ กวาดเอาชีวิตมาเหมือนกับถางหญ้า กระทั่งโทเทมแห่งพลังชีวิตยังไม่อาจช่วยไว้ได้

ไม่นานก็เหลือทหารอยู่รอบวังลอยฟ้าและรถม้าหลวงไม่เท่าไหร่ ทั้งสองฝ่ายยังเคลื่อนตัวเข้าหากันไม่หยุด ลมสีเลือดและหอกสังหารเทพเพิ่งออกโจมตีศัตรูไม่หยุดยั้ง เข้าปะทะเกราะป้องกันเกิดเป็นแสงกระจายไปทั่ว

และเมื่อเริ่มเข้าใกล้กันมากเข้า ด้านบนวังลอยฟ้าก็มีเงาดำปรากฏขึ้นมา

เงาเหล่านี้คือเจ้าอสูรกายในหลายรูปร่างและหลายขนาด แต่ละตัวหน้าตาดุดันเผยพลังน่ากลัวจนแทบจับต้องได้ อสูรกายตัวสุดท้ายทั้ง 3 ตัวดูท่าจะอยู่ในระดับราชันอสูรกายเมื่อนำมาเทียบกับอสรพิษสายฟ้าที่เคยเข้าโจมตีเมืองกลืนธาราในวันนั้น

วังลอยฟ้าสีเลือดดูท่าจะมีอีกแดนอยู่ภายใน ในเมื่อราชันอสูรกายทั้ง 3 มีร่างกายใหญ่โตจนแทบกดบังแสงอาทิตย์ได้ พวกมันยืนแล้วก็เกิดเป็นเงาดำขนาดใหญ่ลงบนพื้น

ในเวลาเดียวกันทหารคนเถื่อนจำนวนมากก็พุ่งออกมาจากรถม้าหลวง ต่างเป็นนักรบที่ดุดันที่สุดของชนเผ่าเพลิง บรรพชนชนเผ่าเพลิงนับสิบก็เข้าร่วมด้วย แต่ละคนถือไม้เท้ากระดูกและร่ายคาถาดูน่าประหลาด

คาถาเหล่านี้ทำให้ร่างกายทหารคนเถื่อนขยายใหญ่ขึ้น อักขระโทเทมบนร่างสว่างจ้า ร่างกายแผ่พลังออกมาอย่างบ้าคลั่งราวกับจับต้องได้ ออกมาเป็นกลิ่นอายดุร้ายป่าเถื่อน

แม้จะตัวไม่ใหญ่เท่าอสูรกาย แต่หากอสูรกายเป็นศิลาใหญ่ พวกเขาก็เป็นเหล็กกล้า

ภายใต้ชั้นผิวเหล็กกล้าคือพลังเกินหยั่ง คนเถื่อนผู้หนึ่งพุ่งเข้าชนเจ้าอสูรกายทันทีที่ปรากฏตัวขึ้นมา ในขณะที่หยุดเจ้าอสูรกายไว้ได้ แขนทั้งสองก็ยังขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนใหญ่เท่าขามนุษย์ แผ่กำลังออกมาไม่มีที่สิ้นสุด

“สวรรค์…… มีแต่พวกตัวประหลาด !” ซูเฉินถอนหายใจอย่างเหลือเชื่อเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า

คลื่นพลังร้อนระอุปรากฏขึ้นตรงหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้เลือดในกายเขาเริ่มเดือด

แต่เขาก็รีบดับสัญชาตญาณดุร้ายในตัวลงไป

ตอนนี้มันพึ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น

เขาหันมองรอบข้าง อสูรฟันเคียวกำลังพุ่งมา

“เจ้านี่น่าจะได้” ซูเฉินพึมพำแล้วกระโจนใส่อสูรฟันเคียว เครื่องมือนำพลังบนร่างส่องแสงเมื่อเขาเปิดใช้งานมันจนสุดกำลัง

เมื่อทั้งสองเข้าปะทะ เกราะป้องกันรอบกายซูเฉินก็หม่นแสงลง พริบตาต่อมา เขี้ยวรูปร่างคล้ายเคียวก็งานเข้ามาปะทะ เกิดสะเก็ดแสงกระจายไปทั่ว

เกราะแตกออก ฟันแหลมดั่งเขียวจมเข้าร่างซูเฉินจนเลือดกระฉูด แรงส่งรุนแรงจนร่างกระเด็น เลือดนองเต็มพื้น

“รีบช่วยท่านแม่ทัพเร็ว !” ปู้ลาฉีร้อง

ทหารคนเถื่อนจำนวนมากพุ่งเข้ามา หมายจะปกป้องเขาด้วยชีวิต ล้วนพุ่งเข้าใส่อสูรกายเพื่อปกป้องซูเฉินไม่ให้บาดเจ็บไปมากกว่าเก่า ใช้ร่างกายพวกตนบังการโจมตี ทหารมนุษย์ทั้งหมดที่ต้อนออกมาจากแนวหน้าแล้วต่างมาล้อมกายซูเฉิน

ซูเฉินเหลือบมองแผลบนร่าง เขี้ยวคมดั่งเคียวนั่นเฉือนทั่วร่าง หากไม่ใช่เพราะร่างกายอันแข็งแกร่งก็คงร่างแยกไปแล้ว

“ตอนนี้ข้าทำการต่อสู้ไม่ได้อีก ปู้ลาฉี จากตรงนี้ไปให้เจ้ารับมือ” ซูเฉินว่า “ข้าจะไปพบฝ่าบาท”

“ขอรับ !” ปู้ลาฉีตะโกนตอบ

“ทหารมนุษย์ทั้งหมด มาพบฝ่าบาทกับข้า” ซูเฉินตะโกนแล้วถอยออกไปพร้อมกับทหารมนุษย์ และในเมื่อเป็นคำสั่งของเขา คนเถื่อนคนอื่นจึงไม่มีข้อโต้แย้ง

ซูเฉินรีบถอยมาข้างกายอานู๋ปี่ เอ่ยละอายใจอย่างหาที่เปรียบมิได้ “ทำความเคารพฝ่าบาท หลงถูผู้นี้ไร้ประโยชน์ บาดเจ็บจากการต่อสู้ ตอนนี้ไม่อาจต่อสู้ได้อีกแล้ว”

อานู๋ปี่ว่า “ข้าเห็นการต่อสู้อันอาจหาญของเจ้าแล้วหลงถู เจ้าทำได้ดีมาก ถอยออกมาแล้วให้บรรพชนรักษาแผลเถอะ”

บรรพชนที่มาถึงแล้วจึงทำการรักษาบาดแผลให้ ด้วยร่างของเขาในตอนนี้เหมือนกับของคนเถื่อนจริง ๆ เมื่อได้บรรพชนระดับสูงมารักษา บาดแผลจึงหายดีอย่างรวดเร็ว

ในตอนที่กำลังอดทนรับการรักษาจากบรรพชนนั่นเอง ซูเฉินก็หยิบของสิ่งหนึ่งขึ้นมาเล่น

มันคือหินรูปร่างเป็นห่านขาวแหงนหน้าขึ้นท้องฟ้า เหมือนจริงอย่างมาก

“นั่นอะไร ?” บรรพชนถาม

“ของที่ได้จากการผจญภัย ดีไม่ใช่น้อยเลยใช่ไหมเล่า ?” ซูเฉินพูดยิ้ม ๆ

บรรพชนส่ายหน้าให้เห็นว่าไม่สนใจ

“หือ ?” กงกู๋เอ่อร์ถูพลันส่งเสียงประหลาดใจ

“อะไรหรือ ?” กู่ฉาถาม

“วังของใจสีเลือดกำลังเคลื่อนตัวหลบการปะทะกับรถม้าหลวง” กงกู๋เอ่อร์ถูพูดแล้วมองไปยังที่ไกล

กู่ฉาก็เห็นเช่นกัน สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย “แปลก ทำไมมาเปลี่ยนทิศทางเอาตอนนี้ ?”

ทัพที่อยู่ปีกซ้ายและขวายังเอาชนะพวกสัตว์อสูรไม่ได้ ยังไม่สามารถทำการปิดวงล้อมได้สมบูรณ์ หากใจสีเลือดคิดหนีในตอนนี้ ก็ไม่มีใครหยุดยังได้

ทว่าพริบตาต่อมาจึงรู้ว่าเกิดเรื่อง

วังลอยฟ้ากำลังมุ่งหน้ามาทางพวกเขา

พร้อมกับอสูรกายจำนวนมากที่เข้ามาแทนที่จุดตรงที่วังเคยอยู่ ไล่ล่ารถม้าหลวงสร้างระยะห่างมากขึ้น

“แย่แล้ว ! เราถูกพบตำแหน่ง !” กู่ฉาตะโกน

เพื่อหลอกล่อใจสีเลือดและหลีกเลี่ยงแรงกดดันที่จักรพรรดิอสูรกายแผ่ออกมา กู่ฉาและกงกู๋เอ่อร์ถูได้ส่งทหารชั้นดีออกไปปกป้องตัวปลอม เพื่อที่จะสามารถรับมือกับการโจมตีเต็มกำลังของศัตรูได้ ส่วนสถานที่ที่อานู๋ปี่อยู่ มีเพียงกู่ฉาและกงกู๋เอ่อร์ถูเท่านั้น ด้วยเมื่อต้องเผชิญหน้ากับอสูรกาย ราชันอสูรกายอีกเป็นโขยง และเจ้าอสูรกาย เท่านั้นก็ถึงมือแล้ว

“ไปตอนนี้เลย !” กู่ฉาตะโกนลั่นแล้วพากันส่งอานู๋ปี่ออกไปกับกงกู๋เอ่อร์ถู

แต่ในตอนที่กำลังไป วังก็พลันเปลี่ยนทิศทางอีกครั้งด้วยระยะที่ลดลง และเพราะพวกเขาเปลี่ยนทิศทางกะทันหัน จึงทำให้วังลอยฟ้าเคลื่อนที่มาเร็วกว่าเก่า

“พวกมันรู้ว่าเราอยู่ที่นี่ !” กู่ฉาสีหน้าเคร่งเครียด “เป็นไปได้ยังไง ? จะรู้ได้ยังไงกัน ?”

ปราสาทรอยสีเลือดพุ่งเข้ามาโดยตรง และเพราะคนเถื่อนส่วนมากไม่รู้ว่า ‘ราชา’ ในรถม้าหลวงเป็นตัวปลอม ทหารที่ไล่ตามวังมาจึงมีไม่มาก และแม้รถม้าหลวงจะเริ่มเปลี่ยนทิศแล้ว แต่ความเร็วอันต่ำเตี้ยเรี่ยดินของมันก็ยังถูกอสูรกายที่ไล่ตามหลังมาทำให้ช้าลงกว่าเดิม

ส่งผลให้มีการสู้รบที่เสียเปรียบด้วยกันสองครั้ง

ในมุมมองของการชนะศึกครั้งนี้ ส่วนที่แยกออกมาเป็นประโยชน์ต่อคนเถื่อน เพราะอย่างไรพวกสัตว์อสูรก็เป็นฝ่ายที่บุกเข้ามาในวงล้อมของคนเถื่อน สำหรับคนเถื่อน หากเกิดอะไรขึ้นกับราชาตน ก็นับว่าเป็นความสูญเสียอันน่าสะเทือนใจ แม้จะสามารถกวาดล้างพวกอสูรได้ก็ตาม

“เราต้องถอยทันทีฝ่าบาท” ซูเฉินเอ่ยขึ้นถูกจังหวะ

“ไม่ ! ถอยไม่ได้ !” กู่ฉาเอยลั่น “หากถอยตอนนี้ก็สูญสิ้นทั้งหมด ขวัญกำลังใจไม่เหลือแน่”

“พวกทหารไม่รู้หรอก” ซูเฉินตอบ “จะทำให้ฝ่าบาทตกอยู่ในอันตรายหรือ ?”

“นั่นก็เป็น……” กู่ฉาจ้องซูเฉินโกรธ “ความผิดเจ้าที่เราต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้”

“มันไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘ทำให้ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้’ หรอกท่าน ยังไงเราก็ชนะ เพียงแต่ต้องหยุดก่อนก็เท่านั้น หากรถม้าหลวงยังไม่แตก ทหารอื่นก็จะคิดว่าราชาอยู่กับพวกตนตลอด”

“แล้วไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดกับโทเทมแห่งพลังชีวิตเล่า ?” กงกู๋เอ่อร์ถูถาม

“ข้าจะไปนำมันมาเอง จะปะทะกับพวกมันเพื่อฝ่าบาท เพื่ออารามศักดิ์สิทธิ์ และเอาสมบัติล้ำค่าของเรากลับมา ไม่มีความสูญเสียใดแน่” ซูเฉินเสียงเอ่ยอย่างกล้าหาญเมื่อได้หินห่านขาวมา

วังลอยฟ้าสีเลือดเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ