TB:บทที่ 327 นิวยอร์กซิตี้ (1)

 

ในฐานะตัวป่วน ลิลิธไม่ยอมอยู่เฉยๆบนเครื่องบินเลยแม้แต่วินาทีเดียว เธอเอาแต่ขยับตัวไปมาบนเครื่องอย่างกับเด็กสมาธิสั้นคนหนึ่ง พนักงานต้อนรับจึงเพ่งเล็งไปที่เธอ

สุดท้าย บอร์แมนที่พยายามทำเป็นไม่รู้จักเด็กคนนี้ อดไม่ที่จะพูดกับลิลิธว่า “ สาวน้อย อย่าเดินเพ่นพ่านได้ไหม นี่เธอรู้ไหมว่าตัวเองอยู่เหมือนเด็กบ้านนอกขนาดไหน”

 

เมื่อได้ยินคำตำหนิจากบอร์แมน ลิลิธจึงหันไปจ้องเขาแล้วนั่งลงด้วยความโมโห

พนักงานต้อนรับรู้สึกโล่งใจขึ้นเมื่อเห็นลิลิธยอมนั่งประจำตำแหน่งแล้วจริงๆ

เมื่อเครื่องบินลงจอด ที่นี่ก็ฟ้ามืดแล้ว

ในตอนที่มีผู้โดยสารออกมาจากเครื่องบิน รถหลายคันก็ได้มาจอดรอรับพวกเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สภาแห่งศาสตร์มืดและสำนักศักดิ์สิทธิ์นั้นเหมือนกันยกเว้นสำหรับคนจีน

 

ภายในรถ เฉินหลงและแอนเดสกำลังสนทนากัน ในขณะที่สกายกับพี่น้องของเขากำลังชะโงกศีรษะออกมานอกหน้าต่าง พวกเขาต่างร้องตะโกนและส่งจูบให้หญิงงามที่เดินอยู่บนท้องถนน ส่วนเต่ากวงหานและบอร์แมนนั่งนิ่งอยู่ในรถ พวกเขาลงเรือลำเดียวกันและเป็นพวกเดียวกันแล้ว แต่พวกเขากลับไม่คิดว่าทิวทัศน์ข้างนอกนั้นจะสวยงามเท่าไหร่นัก

 

จี้โม่ซีและลิลิซกำลังพูดคุยกันเรื่องผู้คนตามข้างทาง เสื้อผ้าแฟชั่น ผู้หญิงสวย ๆ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ในตอนนี้ พวกธอได้สนใจเรื่องช็อปปิ้ง แฟชั่นและเรื่องอื่นๆอีกมากมาย..

ในท้องฟ้าที่ไกลออกไปหนึ่งพันเมตร ฝูงค้างคาวหลายร้อยตัวกำลังพยายามกระพือปีกบินตามรถที่อยู่ตามท้องถนน

แวมไพร์ระดับแนวหน้าตนหนึ่งบ่นพึมพำว่า “ทำไมการที่พวกเราได้รับคำสั่งให้มาปกป้องเจ้าหญิงถึงได้น่าสมเพชยิ่งนัก ตอนแรก ฉันคิดว่าจะพวกเราออกมาได้เที่ยวเล่นกันให้เต็มที่  คิดไม่ถึงเลยว่าเราจะต้องเบียดกันอยู่ในลังบนเครื่องบิน แถมตอนนี้พวกเราก็ไม่ได้รับอนุญาตให้นั่งบนรถและต้องบินด้วยตัวเองอีก มันช่างเจ็บปวดจริงๆ “

 

“ฉันเห็นด้วย คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าหญิงจะตระหนี่ได้ขนาดนี้ รู้งี้ฉันยอมจ่ายเงินขึ้นเครื่องบินแล้วก็เรียกแท็กซี่เองยังจะดีซะกว่า”

“ไม่เห็นเหมือนกับตอนที่เจ้าหญิงอยู่ที่ปราสาทวิคเตอร์ดเลยอ่ะ”

“ที่เจ้าหญิงทำแบบนี้ต้องเป็นเพราะหนุ่มจีนคนนั้นแน่ๆ”

จากนั้น ค้างคาวที่น่าสงสารกว่าร้อยตัวก็เริ่มแบ่งความเกลียดชังของตนไปถึงเฉินหลงที่จู่ๆก็กลายเป็นแพะรับบาปโดยไม่รู้ตัว

แต่แวมไพร์พวกนี้คิดผิด เฉินหลงเป็นคนเสนอความคิดให้พวกเขาขึ้นเครื่องบินไปด้วยกัน แต่ลิลิธกลับบอกเขาว่า ถ้าจะให้แวมไพร์กว่าร้อยตัวขึ้นเครื่องบินไปด้วยเธอต้องใช้เงินเป็นจำนวณมาก เธอจึงเป็นคนคิดวิธีนี้ขึ้นมา เมื่อได้ยินลิลิธพูดอย่างนั้นแล้ว เฉินหลงจึงไม่มีทางเลือก

 

ระหว่างการสนทนาของเฉินหลงและแอนเดส รถที่จอดกะทันหัน ทำให้แอนเดสรู้สึกพอใจเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมาถามคนขับรถว่า “เกิดอะไรขึ้น ทำไมคุณถึงได้หยุดรถละ?”

คนขับรถที่นั่งอยู่ด้านหน้าคนนั้นเป็นชายผิวสีและเป็นเพียงแค่มนุษย์ธรรมดาเท่านั้น ถึงอย่างไรแอนเดสก็ยังคงมีคนงานที่เป็นมนุษย์จำนวนมาก 

คนขับรถผิวสีหันกลับมาตอบเขาว่า “รถติดครับ ตอนนี้เป็นช่วงที่มีการจราจรหนาแน่น ผมต้องขอภัยด้วยครับ”

สิ่งที่น่ากลัวมากที่สุดในการขับรถก็คือ การจราจรติดขัด โดยเฉพาะนิวยอร์กซิตี้ มหานครระดับโลก

 

ตอนนี้เป็นเวลาที่เศรษฐีในแมนฮัตตันต้องขับรถกลับบ้านหลังเลิกงาน รวมถึงลูกจ้างก็ต้องขับรถกลับบ้านหลังเลิกงานเช่นกัน ถ้าหากรัฐบาลสามารถเปิดอุโมงค์ใต้ดินได้อีกสองแห่ง ปัญหารถติดนี้ก็จะคลี่คลาย

เมื่อได้รับคำตอบจากคนขับรถที่อยู่ด้านหน้า แอนเดสจึงหันไปมองรถที่ติดเป็นพรืดแล้วพูดอย่างหมดหนทางว่า “พระเจ้า ทำไมถนนหนทางของที่นี่ถึงได้เป็นแบบนี้ไปได้? โชคดีที่ฉันไม่ใช่คนรับผิดชอบเรื่องนี้ ไม่งั้นฉันคงบ้าตายเสียก่อน ฉันไม่มีทางนั่งรถผ่านมาแถวนี้อีกเด็ดขาด!”

 

ส่วนเฉินหลงไม่ได้อยากมีส่วนร่วมในเรื่องนี้เท่าไหร่นัก เขาคิดว่าน่าจะมาจากปัจจัยด้านต้นทุนในประเทศนี้ถูกจำกัด ปรากฏการของนิวเวิร์ลอาจช่วยให้สถานการณ์นี้ดีขึ้นได้บ้าง

“แล้วเมื่อไหร่จะได้ไปสักที” หลังจากนั่งรออยู่ประมาณหนึ่ถึงสองนาที แอนเดสก็ได้พบว่ารถของเขายังคงจอดสนิทอยู่กับที่ นี่มันบ้ามาก!

คนขับรถที่กำลังโยกหัวและฮัมเพลงไปพร้อมกับเพลงแร็ปที่เล่นอยู่ในรถหันกลับมายักไหล่ให้แล้วรีบเขาเป็นทำนอง 

 

“ท่านครับ ท่านทราบไหมครับว่าตอนนี้เป็นชั่วโมงเร่งด่วน เป็นเวลาที่รถติดสุดๆ ต่อให้ท่านอยากออกไปจากตรงนี้มากขนาดไหน ท่านก็ต้องรอเวลาอยู่ดี อันที่จริง หลังจากที่เครื่องแล้ว ท่านควรรออยู่ในอาคารสักชั่วโมงสองชั่วโมงก่อน พวกเราจะได้ไปถึงที่หมายโดยที่การจราจรไม่ติดขัดขนาดนี้ครับ”

จากนั้นก็มีรถคันหนึ่งขับผ่านไป ทันใดนั้นคนขับรถผิวสีก็บีบแตรและตะโกนใส่รถที่ขับผ่านไป “เห้น แกตาบอดเร๊อะ เห็นไหมว่ารถติดขนาดไหน นายอยากถูกรถชนไหม?”

 

จากนั้น คนขับรถผิวสีจึงหันไปหาเฉินหลงกับแอนเดสที่อยู่ด้านหลังแล้วพูดว่า “เห็นไหมครับ ถึงรถจะติดขนาดไหน แต่พวกเด็กผิวขาวกลุ่มนั้นก็ไม่สนว่ารถติดขนาดนี้ ยังกล้าขับรถแซงชาวบ้านอยู่อีก ถ้าเป็นคุณ คุณจะจัดการพวกเขายังไงล่ะครับ อะไรกัน เด็กสมัยนี้ไม่ยอมปฏิบัติตามกฎจราจรเลย…”

คนขับรถผิวสีส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้

 

เฉินหลงกระตุกยิ้มและเงยหน้าขึ้นไปมองอาคารสูงใหญ่ที่อยู่ทั้งใกล้และไกล จากนั้นก็หันไปถามแอนเดสว่า “แอนเดส คุณว่าในหนึ่งวันนิวยอร์กจะมีรายได้เท่าไหร่ครับ อ้อ..ยกเว้นจากการจราจรนะครับ”

“เอ่อ… เรื่องนั้นผมจะรู้ได้ยังไงละครับ” แอนเดสส่ายหน้า

เขาอาศัยอยู่ในยุโรปมาโดยตลอด จึงไม่ค่อยรู้เรื่องในนิวยอร์กซิตี้สักเท่าไหร่

ในทำนองเดียวกัน คนขับรถผิวสีหันกลับมาพูดว่า “คนเอเชีย คำถามที่คุณถามอาจจะไม่ชัดเจนสำหรับชูเหลียน ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล เอกชน หรือประชาชน ทั้งที่ปฏิบัติตามกฎหมายและผิดกฎหมาย ผมคิดว่ามีรายได้อย่างน้อยหนึ่งหมื่นล้านต่อวัน พระเจ้า หมื่นล้าน แบ่งเงินมาให้ผมบ้างสิ ผมจะได้ไม่ต้องมาทำงานเป็นคนขับอยู่แบบนี้”

 

ทันทีที่คนขับรถผิวสีพูดจบ เฉินหลงและแอนเดสก็มองอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจ ทั้งสองต่างคิดไม่ถึงว่าคนขับรถจะกล้าพูดแบบนั้นออกมา

“ท่านครับ ผมไม่ใช่คนที่มีเงินมากขนาดนั้น ผมแค่กลัวว่าแวมไพร์พวกนั้นจะเขมือบหัวผมแล้วขโมยเงินที่ผมหามาทั้งชีวิตไป คุณก็รู้ว่าผมอยู่ไม่เหมือนคนรวย” คนขับรถผิวสีกล่าวด้วยรอยยิ้ม

หลังจากที่ได้ฟังคำอธิบายจากคนขับรถผิวสี เฉินหลงและแอนเดสก็รู้สึกโล่งใจทันที

ในขณะเดียวกัน จู่ๆที่กระจกหน้ารถก็เกิดเสียงดังขึ้น ค้างคาวดำตัวหนึ่งตกลงมาจากบนฟ้ากระแทกกับกระจกหน้ารถ ค้างคาวตัวนั้นจ้องมองเข้าไปในรถด้วยดวงตาสีแดงเป็นประกาย จากนั้นก็กระพือปีกบินขึ้นใบบนฟ้า

 

เมื่อเห็นค้างคาว คนขับรถก็ตกใจและสาปแช่งค้างคาวตัวนั้นเสียงดัง “พระเจ้าช่วย! ซวยแล้วไง! พวกคุณรู้ไหมครับว่าค้างคาวดำเป็นตัวนำโชคร้าย!”

แต่เฉินหลงกลับตอบเขาด้วยรอยยิ้มว่า “โชคยังคุณยังดีอยู่ครับ คุณรู้ไหมครับว่าในประเทศจีน ค้างคาวหมายถึงความโชคดีครับ ในอดีต อาคารมากมายถูกประดับด้วยสัญลักษณ์ค้างคาวครับ”

“จริงเหรอครับ? ช่างเป็นประเทศที่น่าพิศวงจริงๆ…” คนขับรถผิวสีจ้องมองเฉินหลงด้วยสายตาคาดหวัง