GGS:บทที่ 795 ท้าทาย

 

หลังจากออกจากสำนักงานคณะกรรมการพรรคฯซูจิ้งก็ได้ส่งข้อมูลพร้อมบอกกับเหว่ยเสี่ยวหยวนว่า

“ตอนนี้เธอไปที่ว่าการเมืองแล้วให้ผู้ว่าเซ็นซะ หลังจากนั้นค่อยไปให้ผู้เกี่ยวข้องคนอื่นเซ็นต่อให้ครบ

พอครบแล้วก็เริ่มจัดการก่อสร้างโรงไฟฟ้าฯของเราได้เลย ฉันอยากให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้นะ”

 

เหว่ยเสี่ยวหยวนเองเมื่อได้เห็นลายเซ็นของผู้แทนฯชิที่อยู่ในเอกสารก็ถึงกับตกใจจนพูดไม่ออกไปพักหนึ่งก่อนที่เธอจะถามออกมาว่า

“ไม่ใช่ว่าผู้แทนฯชิยังต้องคุยกับไอ้คนหยาบคายนั่นก่อนหรอ ชื่ออะไรนะ โอใช่ไม๊อ่ะ ไม่ใช่ว่าเขาเลือกโอนั่นหรอกหรอ ถ้าเขาเลือกเจ้าโอนั่นแล้วเราจะทำยังไงกันล่ะ”

 

ซูจิ้งยิ้มก่อนที่จะพูดออกมาว่า “ไม่มีทางหรอก ผู้แทนฯชินั้นเอาจริงๆเขาน่ะไม่อยากจะได้โครงการของเจ้านามสกุลโอนั่นซักเท่าไหร่ เพียงแต่ตอนแรกมีเจ้าเดียวถึงตั้งใจจะเรียกไปคุยเขาไม่คิดว่าเราเองก็สนใจโครงการแบบนี้เหมือนกัน ทำให้เขาเองก็รู้สึกเกรงใจเจ้าโอนั่นอยู่บ้าง

จะไล่ไปเลยก็กระไรอยู่ก็เลยเลือกที่จะให้เขาเข้าพบหลังเรา เพื่อที่จะไม่ให้เจ้าโอเสียหน้าต่อหน้าเรามากนัก ฉันเลยต้องรีบออกมานี่ไง”

 

เหว่ยเสี่ยวหยวนพยักหน้ารับพลางยิ้มกว้างแล้วบอกออกมาว่า “ตกลงค่ะ” เธอนั้นไม่ได้รู้สึกประหลาดใจอะไรอีกต่อไป

เพราะหลังจากเหตุการณ์ที่ผู้แทนฯชิปฏิบัติต่อซูจิ้งอย่างดีก่อนหน้านี้ตอนแรกก็ทำให้เธอแปลกใจอยู่ไม่น้อย

เพราะเธอเองก็พอรู้ภูมิหลังของผู้แทนฯชิอยู่บ้างว่าไม่ใช่คนของตระกูลหวังทำไมถึงดูเกรงใจซูจิ้งขนาดนั้นแต่เมื่อฟังเหตุผลแล้วเธอก็หายสงสัยในเหตุการณ์ทั้งหมด

“อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีและประสบการณ์ของชาวญี่ปุ่นในด้านโรงไฟฟ้าพลังงานขยะค่อนข้างจะสูงอยู่เหมือนกัน ถ้ายังไงเราไม่จ้างพวกนั้นให้ทำงานแบบนี้แทนเราล่ะ” เสียวหยวนถามออกมาด้วยความสงสัย

 

“เรื่องเทคโนโลยีที่ใช้ในโรงไฟฟ้าอะไรนั่นไม่ต้องกังวลไปหรอกน่า

พอถึงเวลาจริงๆก็ใช้เทคโนโลยีที่ดีที่สุดซะ แล้วค่อยจ้างพนักงานที่มีความสามารถด้านนี้มาก็พอ

อย่าได้ดูแคลนเหล่าผู้มีสามารถในประเทศเรามากนักสิ” ซูจิ้งได้ส่ายหัวไม่ยอมรับข้อเสนอของเสี่ยวหยวน

ซี่งความจริงแล้วเขาเองก็เคยนึกแบบนั้นเช่นเดียวกัน เทคโนโลยีของทางญี่ปุ่นนั้นสำหรับในเรื่องโรงไฟฟ้าพลังงานขยะถือได้ว่าล้ำหน้ากว่าประเทศอื่นๆ หากได้มาใช้ก็ถือได้ว่าเบาแรงขึ้นเยอะ

 

แต่พอเขาเห็นพวกญี่ปุ่นก็พลันนึกถึงเรื่องเหตุการณ์ขโมยภาพเขียนเทพธิดาจีนเสียเกือบทุกครั้ง

ทำให้เขานั้นยังรู้สึกโกรธคนชนชาตินี้อยู่พอสมควรเลยไม่ยากจะให้ชาวญี่ปุ่นมาร่วมในธุรกิจของเขาซักกระเบียดนิ้วก็ไม่อยากจะพูดถึง

“เธอก็ไปจัดการเรื่องรายเซ็นพวกนั้นไปละกัน ถ้ามีปัญหาหรือคำถามอะไรก็ถามเฉิงหนานก่อนละกัน ถ้าไม่ได้จริงๆค่อยโทรหาผม” ซูจิ้งพูดออกมา

“ได๋ค่า….” เหว่ยเสี่ยวหยวนขับรถแยกออกไปยังที่ว่าการเมืองฯในทันที

 

ซูจิ้งก็ได้ขึ้นรถของตัวเอง หลังจากนั้นก็เปิด QQ และส่งข้อความไปหาซูฉือว่า “ลูกแมวน้อยว่างรึเปล่า”

“ถ้าเป็นนายว่างเสมอ อยากให้ทำอะไรหรอ”

“ฉันอยากได้ข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวเทคโนโลยีเตาเผาผลิตพลังงานไฟฟ้าของญี่ปุ่น พอจะหาให้ได้ไม๊?”

“ถ้าแค่ข้อมูลเบื้องต้นน่ะไม่ยากหรอก แต่ถ้าเป็นข้อมูลเชิงลึกนี่ก็อีกเรื่องนึง ฉันจะลองพยายามดูละกัน”

“แล้วถ้าฉันหาผู้ช่วยที่สามารถเข้าถึงคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์ทั้งหมดได้นี่น่าจะช่วยได้รึเปล่า คนๆนี้สามารถเจาะระบบของอุปกรณ์ไฟฟ้าได้ทุกอย่างเลย ขอเพียงเธอบอกพวกสเปคอย่างไอพีแอดเดรสหรือที่ตั้งอะไรพวกนั้นน่ะ”

“ถ้าทำได้ล่ะก็บอกได้เลยว่าไม่มีอะไรจะสามารถหยุดฉันได้อีกแล้วในโลกนี้ ว่าแต่มันเป็นไปได้ด้วยหรอ

 

ปกติแล้วการเข้าไปแฮคข้อมูลในระบบพวกนี้จะต้องพิถีพิถันนะ

ถ้าเขาทำได้ขนาดนั้นล่ะก็เจ๋งกว่าสุดยอดสายลับอีกนะ เพราะว่าสุดยอดสายลับที่ฉันรู้จักยังทำไม่ได้ขนาดนั้นเลย”

“เอาน่า…ฉันมีคนที่ทำแบบนั้นได้ก็แล้วกัน เดี๋ยวฉันจะแนะนำให้รู้จักแล้วให้เขาเป็นลูกมือเธอก็แล้วกัน”

คนที่ซูจิ้งจะแนะนำให้ซูฉือรู้จักนั้นก็คือหลัวฉือหลิน คนที่มีสแตนด์กระแสไฟฟ้านั่นเอง

ถ้าพูดถึงงานด้านโจรกรรมข้อมูลแล้วถือได้ว่าไร้เทียมทานอย่างแน่นอน ตราบใดที่เป้าหมายมีไฟฟ้ามาเกี่ยวข้องก็ไม่มีอะไรจะหยุดเขาได้

ด้วยการที่คนธรรมดานั้นไม่มีทางเห็นสแตนด์ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลที่ปกปิดหมกเม็ดป้องกันดีปิดตายแค่ไหน

 

เขาก็สามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้นได้ในพริบตา สิ่งเดียวที่จะเป็นปัญหาของเขาก็คือเรื่องการเข้ารหัสข้อมูลของข้อมูลดิจิตอลเท่านั้นที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยกระแสไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว

ซึ่งเรื่องนี้ซูฉือเองก็ถนัดในการแก้ไขปัญหานี้ยิ่งกว่าใครๆ หากจับคู่ทำงานถือได้ว่าเป็นคู่หูชั้นยอดเลยทีเดียว

 

หลังจากที่หลัวฉือหลินทำความรู้จักกับซูฉือแล้วทั้งคู่ก้ได้เริ่มทำงานร่วมกันในทันที

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง ข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับเทคโนโลยีเตาเผาผลิตพลังงานไฟฟ้าจากขยะที่โอฉิงซงและชาวญี่ปุ่นที่มาด้วยกันเก็บรักษาไว้อย่างดีก็โดนจะเอาออกไปอย่างหาที่มาไม่ได้

ต่อให้เจ้าหน้าที่ด้านเทคนิตของโอฉิงซงมาดูก็ต้องทำได้แต่นั่งทำตาปริบๆ

แต่ยังไงซะซูจิ้งก็ยังไม่เชื่อว่าข้อมูลเทคโนโลยีเตาเผาที่ได้มานี้จะเป็นข้อมูลที่ดีที่สุด

เพราะเขารู้ดีว่าคนพวกนี้ไม่มีทางยอมให้เทคโนโลยีที่ดีที่สุดหลุดรอดออกจากบ้านตัวเองอย่างแน่นอน

ซูจิ้งจึงให้หลัวฉือหลินไปหาข้อมูลในญี่ปุ่นเพิ่มเติม

 

หลังจากแจกแจงงานเสร็จแล้ว ซูจิ้งก็ได้ขับรถออกไป

แต่ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงคนกำลังร้องโวกเวกโวยวายลั่นจากที่อื่นที่ไม่น่าจะไกลจากเขามากนักดังว่า

“เกินไปแล้ว นี่มันเกินไปแล้วโว้ยยยย”

เมื่อเขามองไปยังต้นเสียงจากภายในรถ เขาได้เห็นโอฉิงซงกำลังตะโกนโวยวายและมีชายชาวญี่ปุ่นเดินตามมาด้วยสีหน้าที่ดูน่ารังเกียจจนเขาเองเมื่อเห็นแล้วก็ถึงกับพูดไม่ออก

 

แทบไม่ต้องเดาเลยว่าต้องเป็นเพราะชิหยินเฮานั้นปฏิเสธโครงการของพวกเขาอย่างแน่นอน

เอาจริงๆเหตุผลที่โอฉิงซงและชายญี่ปุ่นรับไม่ได้ที่สุดคือพวกเขานั้นรับไม่ได้ที่ชิหยินเฮานั้นเป็นฝ่ายติดต่อหาพวกเขาและทำเหมือนให้ค่ากับพวกเขาอย่างมากจนทำให้พวกเขาเตรียมการมาเป็นอย่างดี

ประกอบกับพวกเขาได้เตรียมตัวที่จะจัดตั้งโรงงานผลิตไฟฟ้าพลังงานขยะนี้มาตั้งนานแล้วจนเรียกได้ว่ามีข้อมูลสมบูรณ์พร้อมทุกอย่าง เหลือเพียงแค่การเลือกที่ตั้งที่คุ้มค่าที่สุดเท่านั้นเอง

 

แต่อยู่ๆก็เหมือนลมเปลี่ยนทิศแม้แต่ฟังพวกเขาพูดซักคำก็ยังไม่ยอม

เหตุผลเดียวที่โอฉิงซงคิดได้นั้นก็มีเพียงแต่ซูจิ้งที่มาปาดหน้าเค้กทั้งๆที่ยังไม่มีอะไรพร้อมเลยซักอย่าง อย่างแน่นอนโดยไม่ต้องสงสัย

“ไอ้เด็กนั่นยังอยู่นี่นี่นา ต้องไปเจอกันหน่อยแล้ว” ชาวญี่ปุ่นคนนั้นเมื่อเห็นซูจิ้งที่อยู่ในรถไม่ห่างไปจากจุดที่พวกเขาอยู่มากนักก็ได้ตรงไปยังซูจิ้งด้วยความโกรธเกรี้ยวในทันที

โอฉิงซงเองก็หรี่ตาลงเล็กน้อยเพราะเขาเองก็โกรธซูจิ้งไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันโดยตอนนี้เขาเองก็ได้มองซูจิ้งด้วยสายตาเย็นยะเยียบในทันที

ก่อนหน้านี้เขาเองก็ยังเกรงกลัวซูจิ้งอยู่บ้างเพราะว่าปูมิหลังซูจิ้งมีตระกูลหวังหนุนหลังอยู่ ต่อให้เขาโกรธเกลียดซูจิ้งยังไงเขาก็ไม่มีทางกล้าลงมีอย่างแน่นอน

 

แต่ยังไงซะคิมูระคนนี้ไม่ได้มีความต้องการที่จะแสดงตนต่อตระกูลหวังที่เมืองหลวงแต่อย่างใด

นั่นทำให้แม้เขาจะรู้ว่าซูจิ้งมีตระกูลหวังอยู่แต่เขาก็ไม่ได้เกรงกลัวซูจิ้งแม้แต่น้อย

โอฉิงซงจึงเลือกที่จะไม่หยุดเขาแม้แต่น้อย เขายังเดินตามไปเพื่อหวังที่จะได้ดูฉากเด็ดที่เขาคิดไว้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับซูจิ้งเพื่อจะได้ทำให้อารมณ์ของเขาดูขึ้นมาบ้าง

เพราะตัวคิมูระเองก็ถือได้ว่าเป็นยอดฝีมือด้านคาราเต้อยู่เหมือนกัน เขาจึงก็เข้าไปเผชิญหน้ากับซูจิ้งได้โดยตรง

“เฮ้ซู แกรู้บ้างรึเปล่าว่าแกขโมยงานของคนอื่นไปต่อหน้าต่อตาน่า หัดรู้สึกละอายใจบ้างนะ” คิมูระตรงเข้าไปที่รถของซูจิ้งพร้อมทำการด่าไปหนึ่งชุดพร้อมหน้าตาเย็นยะเยียบ

 

“มันก็แค่การแข่งขันเองน่า โรงไฟฟ้าพลังงานขยะที่จะเปิดในเมืองจงหยุนที่ผมอยู่นี่จะไปให้คนชาติญี่ปุ่นแบบนายมาเปิดได้ยังไงกัน” ซูจิ้งพูดตอบไปพร้อมมองกลับไปแบบยียวน

“เฮ้อะ แข่งกันกับผีน่ะสิ เห็นชัดๆว่าแกใช้เส้นน่ะ ฉันบอกได้เลยนะว่าถ้าแกเล่นอย่างนี้ล่ะก็ฉันเองก็มีเส้นสายไม่น้อยเหมือนกัน

ตอนนี้ยังบอกไม่ได้หรอกนะว่าใครจะเป็นคนได้สร้างโรงไฟฟ้าฯนี้กันแน่ แกแน่ใจว่ายังจะสู้กับฉันต่อ” น้ำเสียงเย็นยะเยือกยังคงพ่นออกมา

“หัวแกเน่าไปแล้วรึไง” ซูจิ้งสบถออกมา เขานั้นไม่ได้อยากยุ่งกับชายโง่คนนี้อีกต่อไป เขาสตาร์ทรถและขับออกไป

 

จากเรื่องที่ซูจิ้งกระทำต่อพวกเขานั้นเปรียบได้ดั่งคนตัดฟืนโดนห้ามตัดไม้ยังไงก็ไม่ปานจะโกรธก็ไม่แปลก

แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่มีวันยอมแพ้อย่างแน่นอน พวกเขาได้ตรงไปยังที่ว่าการเมือง สำนักงานพิทักษ์สิ่งแวดล้อม และสำนักงานอื่นของรัฐที่เกี่ยวข้อง แต่กลายเป็นว่าเหมือนพวกเขากำลังตอกย้ำตัวเองว่าการคิดจะสู้กับซูจิ้งช่างเป็นเรื่องไร้สาระ

ไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ไหนก็ตาม ผู้มีอำนาจของหน่วยงานเหล่านี้เหมือนจะเป็นคนของซูจิ้งเลยทีเดียวเพราะพวกเขาล้วนแทบจะลงนามอนุญาตในทันที

ถ้าหากซูจิ้งเรียกพวกเขาไปที่บ้านเพื่อไปเข้าแถวลงนามใบอนุญาตยังดูดีซะกว่าอีก

ทำให้พวกเขาไม่มีโอกาสที่จะสู้กลับทั้งๆที่เตรียมตัวมาดีแค่ไหนก็ตาม เหมือนพยายามสู้กับภาพลวงตาก็ไม่ปาน

 

ในคืนนั้นอยู่ๆก็ได้มีข่าวๆหนึ่งแพร่กระจายไปทั่วอินเตอร์เนต ไม่สิต้องบอกว่าสานส์ท้ารบมากกว่า เนื้อหามีอยู่ว่า

“เป็นที่เลื่องลือมานานว่าวิชาการต่อสู้ของจีนนั้นเป็นที่ยอมรับว่าดีเลิศกันอย่างกว้างขวาง และฉันก้ได้ยินมาว่าซูจิ้งเองก็เป็นหนึ่งในยอดยุทธ

วันนี้ฉันได้มีโอกาสเห็นวิดีโอการประลองยุทธ์ของซูจิ้งแล้วฉันก็คิดได้ว่าวิชาการต่อสู้จีนนี่ก็แค่นั้นจริงๆ

ถ้านายคิดว่าฉันพูดอะไรผิดไปล่ะก็ ซูจิ้งนายมาเจอกับฉันได้ที่จิงฮองหอสำนักเต๋าแล้วมาประลองกับฉันซะ”

 

ถึงแม้จะมีคนไม่มากที่รู้รื่องนี้ แต่ด้วยความหยาบคายของคนๆนี่ทำให้สร้างความโกรธแค้นให้ชาวเน็ตอย่างมากและเร่งกระจายข่าวเรื่องนี้ออกไป พวกเขาในตอนนี้ต้องการให้ใครซักคนมาสั่งสอนคิมูระให้หายอวดดี

“ไอ้ระยำนี่ใครกัน มันคิดว่ามันเป็นใคร”

“ไม่ว่าจะเป็นใครถ้าอยู่ในวงการล้วนฆ่ามันได้อย่างง่ายดายทั้งนั้น”

“ฉันหาข้อมูลมาแล้ว สถานที่ที่ไอ้หมอนี่บอกอยู่ในการดูแลของตระกูลเต๋า เหมือนจะเพิ่งได้มา

ส่วนหมอนั่นฉันก็หาข้ามูลมาแล้วว่าเขานั้นเป็นนักศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสานแต่ที่เด่นที่สุดคือเขานั้นเป็นคาราเต้ขั้นแปดที่เรียกอีกอย่างว่าสายดำ

เขามาที่นี่เพื่อที่จะมาลงทุนและต้องการใช้หอนั่นเป็นพิพิธภัณฑ์คาราเต้”

“ทำไมฉันถึงคิดได้แต่ว่าไอ้หมอนี่ทำแบบนี้ไม่เพียงแต่ต้องการเหยียบย่ำศิลปะการต่อสู้จีนอย่างเดียวแต่ยังต้องการเล็งเป้าไปที่ซูจิ้งด้วยล่ะ”

“ฮ่าฮ่า เป็นเรื่องดีนะฉันว่าที่เขากล้าไปหาเรื่องพี่จิ้งน่ะ”

 

เหล่าชาวเน็ตนั้นหาได้รู้ความจริงเบื้องหลังเรื่องนี้ไม่ พวกเขาเพียงคิดแต่จะให้มีนักศิลปะการต่อสู้ซักคนไปกระทืบปากคิตะมูระเท่านั้น

โดยบางคนยังหวังให้ซูจิ้งลงมือเองด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตามถึงแม้จะการคุยกันในวงการแต่ก็มีเรื่องหลุดรอดไปยังไมโครบลอกของซูจิ้งจนได้

จนเริ่มมีคนถามเขาในไมโครบลอกว่าเขาในตอนนี้กำลังถูกท้าทายอยู่รึเปล่า พวกเขาต่างก็หวังให้ซูจิ้งไปสั่งสอนชาวญี่ปุ่นจอมโอหังคนนี้ซักหน่อย แต่ก็ยังมีบางส่วนที่กลัวว่าซูจิ้งจะพ่ายแพ้เหมือนกัน