จิ่งเหิงปัวหิ้วน้ำแกงบำรุงโถหนึ่งไปส่งความรักให้แฟนหนุ่ม 

 

 

แต่นางกลับถูกองครักษ์ขวางไว้ตรงปากประตูจิ้งถิง 

 

 

“กราบทูลฝ่าบาท” องครักษ์ขวางนางไว้นอกประตูข้างอย่างมีมารยาททว่าหนักแน่น เอ่ยว่า “ราชครูกำลังจะต้อนรับแขกสำคัญ ไม่สะดวกรับเสด็จ กราบทูลเชิญพระองค์เสด็จกลับไปทรงพักผ่อน เขาเอ่ยว่าหากมีเวลาว่างจะไปเข้าเฝ้าพระองค์เองพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“วาจานี้ข้าฟังนับไม่ถ้วนครั้งแล้ว” จิ่งเหิงปัวขมวดเรียวยาวขึ้น กล่าวว่า “ข้าจะไม่รบกวนเขา ข้าจะไม่หวังให้เขาที่งานยุ่งอย่างยิ่งแล้วยังต้องหาเวลาว่างมาเข้าเฝ้าข้าเช่นกัน ข้าเพียงนั่งอยู่ฝั่งหนึ่ง ไม่เอ่ยวาจา ไม่รบกวน ไม่ได้หรือ?” 

 

 

“ฝ่าบาท โปรดอย่าทรงทำให้พวกเราลำบากใจเลยพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ไม่ขยับเขยื้อน เอ่ยกลับไปเอ่ยกลับมาเพียงประโยคหนึ่งนี้ 

 

 

จิ่งเหิงปัวเขย่งปลายเท้าขึ้น มองข้ามผ่านหัวไหล่ขององครักษ์ไปยังห้องหนังสือของจิ้งถิง เห็นศีรษะคนเคลื่อนไหวอยู่รำไร เขายังคงยุ่งอยู่จริงๆ ด้วย หมู่นี้นางมีโอกาสพบเจอเขาน้อยมาก บางครั้งไม่ใช่เพราะเขาไม่เต็มใจ ทว่าเพราะโอกาสมากมายหลายครั้งต่างมีขุนพลทหารคั่งหลงกับเหล่าขุนนางใต้บัญชาของเขาอยู่ด้วย หลังจากมีครั้งหนึ่งที่ขุนพลทหารคั่งหลงคนหนึ่งควบคุมอารมณ์ไว้ไม่ได้ คิดที่จะยั่วยุนาง กงอิ้นพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้นางปะทะกับคนเหล่านั้นอีกครั้ง 

 

 

จิ่งเหิงปัวถอนหายใจออกมา หิ้วโถไว้แล้วเดินกลับไปอย่างหดหู่ 

 

 

องครักษ์ปิดประตูข้างลงอย่างเงียบกริบ หันหน้ากลับมามองดูระเบียงห้องหนังสือข้างหน้า เหมิงหู่เดินออกมาจากในห้องพอดี มองมาทางฝั่งนี้ 

 

 

องครักษ์พยักหน้าลง เหมิงหู่เองก็พยักหน้าเล็กน้อย หันกายกลับเข้าห้องหนังสือไป 

 

 

องครักษ์หลายนายที่เดินไปเดินมาในห้องหนังสือนั้น เมื่อเห็นเขาเข้ามาก็ถอยลงไปอย่างเงียบเชียบ ภายในห้องพลันไร้ผู้คน 

 

 

เหมิงหู่เดินไปยังหลังโต๊ะเขียนหนังสือที่กงอิ้นนั่งเป็นประจำ ยื่นมือลูบไล้แผ่วเบาตรงใต้โต๊ะ จากนั้นผนังข้างหลังเขาก็ล้มลงอย่างเงียบเชียบ 

 

 

ครู่ที่ผนังล้มลงนั้น ไอเหน็บหนาวที่บีบคั้นผู้คนหอบหนึ่งก็เหินพุ่งออกมา เหมิงหู่สั่นสะท้านครั้งหนึ่ง ปิดประตูหน้าต่างทั้งหมดแล้วหันหน้ากลับมา 

 

 

ภายในห้องคือโลกผลึกน้ำแข็งผืนหนึ่ง เศษหยกกระจัดกระจายทั่วพื้น คล้ายเพียงก้าวข้ามผนังผืนหนึ่ง ข้ามผ่านจากสารทสู่เหมันต์แล้ว 

 

 

บนเศษน้ำแข็ง กงอิ้นนั่งท่าดอกบัว ชุดคลุมยาวสีขาวหิมะปะปนกับผลึกน้ำแข็งเล็กละเอียด สีหน้าขาวโพลนดุจหิมะเช่นกัน 

 

 

เหมิงหู่ปิดประตูลับลง โค้งกายนั่งยอง กดฝ่ามือลงบนพื้นผิวผลึกน้ำแข็ง เหน็บหนาวสั่นระริก 

 

 

ยามเงยหน้าอีกครั้ง ในสายตาเขาฉายแววกังวลลึกล้ำ 

 

 

กงอิ้นค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ชั่วพริบตาหนึ่งเหมิงหู่รู้สึกว่ามองเห็นเงาแดงในแววตาเขาอย่างรำไร ทว่าเงานั้นกลับหายไปในทันใด รวดเร็วดุจภาพลวงตา 

 

 

“นางไปแล้ว?” 

 

 

“ขอรับ” 

 

 

กงอิ้นค่อยๆ หลับตาลง ข้อมือวางอยู่ตรงหัวเข่า ปลายนิ้วกลางมีเส้นโลหิตเรียวบางสายหนึ่งแพร่กระจายสู่ชีพจรข้อมือรำไร 

 

 

เหมิงหู่มองเห็นในปราดเดียว ในใจตื่นตระหนก โพล่งปากถามด้วยความสับสนอลหม่านว่า “นายท่าน หรือว่านั่น…” 

 

 

มือของกงอิ้นยกขึ้น หยุดยั้งหัวข้อสนทนาของเขาไว้ 

 

 

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องตื่นตกใจเพียงนั้น” เขาลุกขึ้น แขนเสื้อสีขาวราวหิมะสะบัดผ่านบนผลึกน้ำแข็งเล็กละเอียด เปล่งเสียงแตกร้าวเล็กน้อย เอ่ยว่า “น้ำแข็งในห้องน้ำแข็งนี้คือน้ำแข็งหนาพันปีบนทุ่งฮวงหลง ช่วยให้ปราณแท้ปัญญาหิมะเสถียรได้ เจ้าเฝ้าให้ดี” 

 

 

“แม้สิ้นชีพข้าน้อยจะไม่ยอมให้ผู้ใดก้าวเข้ามาแม้แต่ก้าวเดียว” 

 

 

“ไม่เป็นไร” กงอิ้นกลับหัวเราะแผ่วเบาครั้งหนึ่ง เอ่ยว่า “ผ่านไปอีกไม่นาน น้ำแข็งหนานี้อาจจะไม่มีประโยชน์แล้วเช่นกัน…” 

 

 

เหมิงหู่แหงนหน้ามองเขา ท่ามกลางลำแสงมืดมัวภายในห้อง เขายืนอยู่ห่างไกล คล้ายว่ายังคงเป็นผู้อ่อนวัยที่เดินบนภูเขาหิมะโดยลำพังในยามนั้น กระบี่เดียวสะบั้นบุญคุณความแค้น นับแต่นั้นใช้น้ำแข็งหิมะผนึกรักษาไว้ 

 

 

“คั่งหลงเป็นอย่างไรบ้าง” กงอิ้นถาม 

 

 

“คล้ายมีความเคลื่อนไหวผิดปกติ ผู้บัญชาการชายแดนที่เลื่อนตำแหน่งใหม่หลายนายถูกบีบคั้นยิ่งนัก” 

 

 

กงอิ้นหลุบขนตาหนาดกลงคล้ายกำลังครุ่นคิด ผ่านไปชั่วครู่เอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “ลิขิตฟ้า…” 

 

 

เหมิงหู่เม้มปาก สีหน้าเจ็บปวดรวดร้าว 

 

 

เหตุสุดวิสัยที่เกิดขึ้นฉับพลันบางอย่างทำลายแผนการที่เจ้านายคิดไว้แล้วแต่ก่อนโดยสิ้นเชิง สถานการณ์ดุจรถม้าที่ลงเนินแล่นตะบึงไปข้างหน้า พาให้คนตกตะลึงว่าเบื้องหน้าลิขิตฟ้า แผนการที่รอบคอบเพียงใด การใคร่ครวญที่ถี่ถ้วนเพียงใดต่างไร้หนทางต่อต้าน ซีดเผือดไร้เรี่ยวแรง 

 

 

กงอิ้นเงยหน้าขึ้นมาคล้ายตัดสินใจแน่วแน่แล้ว เอ่ยว่า “นับแต่วันพรุ่งนี้ รวบรวมหน่วยจูหว่างของคั่งหลงใหม่ ส่งสายลืบจูหว่างที่เป็นความลับที่สุดยามแรกกลุ่มนั้นออกไปจากตี้เกอให้หมด” 

 

 

“ขอรับ” 

 

 

“สมุหราชองครักษ์อิงไป๋แห่งอวี้จ้าวหลงฉี หมู่นี้เริ่มอาลัยอาวรณ์บ่อนพนันร้านสุราอีกแล้วใช่หรือไม่” 

 

 

“นายท่านท่านย่อมรู้ว่า…” มุมปากของเหมิงหู่ผุดเผยรอยยิ้มจำใจสายหนึ่ง เอ่ยว่า “นี่เป็นนิสัยเสียที่แก้ไม่หายของเขา ไม่มีบิดามารดาสตรีได้ ไม่มีสุราและการพนันไม่ได้ ทว่าหลายปีมานี้ เขาไม่เคยได้ขัดขวางเรื่องของท่านเช่นกันเช่นกัน ท่านจำใจยอมรับตั้งนานแล้วแล้วไม่ใช่หรือขอรับ?” 

 

 

“ยามนี้เวลาหนึ่ง ยามนั้นเวลาหนึ่ง” กงอิ้นเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “ยามนี้ ข้าไม่คิดจะอนุญาตโดยนัยแล้ว” 

 

 

เหมิงหู่เบิกตาโพลง 

 

 

“สั่งให้สายสืบจูหว่างรวบรวมสะสมหลักฐานที่อิงไป๋ละเมิดกฎหมาย” 

 

 

“นายท่าน!” เหมิงหู่ตื่นตระหนก พุ่งไปคุกเข่าเบื้องหน้า ยามเงยหน้าขึ้นลักษณะท่าทางร้อนรนใจ เอ่ยว่า “ผู้บัญชาการเฉิงเอาใจออกห่างแล้ว ยามนี้สมุหราชองครักษ์อิงคือคนใกล้ชิดฝ่ายทหารเพียงหนึ่งเดียวข้างกายท่าน! ท่านไม่อาจ…” 

 

 

“เจ้ามาก้าวก่ายเรื่องฝ่ายทหารตั้งแต่ยามใด?” เสียงของกงอิ้นจืดจางดั่งไอควันไม่เจือด้วยความรู้สึกเหน็บหนาว ทว่าเหมิงหู่สั่นสะท้านครั้งหนึ่ง ก้มหน้าถอยไป 

 

 

“ถอยลงไปเถิด” กงอิ้นนั่งขัดสมาธิ หลับตาปรับปราณ เอ่ยว่า “ข้าปรับปราณอีกชั่วครู่ หากเถี่ยซิงเจ๋อมาแล้ว เรียกเขาเข้ามา” 

 

 

เหมิงหู่ถอยไปอย่างเงียบเชียบ เดินไปถึงข้างประตู หันหน้ากลับมาอย่างลังเล 

 

 

กงอิ้นไร้ซึ่งสีหน้า หน้าผากราบเรียบท่ามกลางไอเหน็บหนาวเบาบางของผลึกน้ำแข็ง 

 

 

“นายท่าน…” เหมิงหู่อดทนไม่ไหวในที่สุด เอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “เป็นความรักสลักฝังลึกในยามใด แลกมาซึ่งการพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินในยามนี้?” 

 

 

ท่ามกลางหมอกควันไอเหน็บหนาว บุรุษผู้ประหนึ่งภูผาหิมะนั้นตระหง่านไม่ขยับเขยื้อน ไม่เอื้อนเอ่ยวาจา 

 

 

เหมิงหู่ถอนใจยาวผลักประตูจากไป บานประตูค่อยๆ แนบผสาน แสงเงาค่อยๆ มืดมัว 

 

 

กงอิ้นลืมตาขึ้น เงาแดงในแววตากะพริบวูบผันผ่าน 

 

 

เขาก้มหน้าลง แบฝ่ามือออกอย่างเชื่องช้า เส้นสีแดงเลือนรางสายหนึ่งทะลุผ่านฝ่ามือมุ่งสู่บริเวณข้อมือ ส่วนที่เหลือถูกบดบังอยู่ในแขนเสื้อ ไม่รู้ความลึกของเส้นนั้น 

 

 

เส้นหนึ่งนั้นดุจดั่งลายมือที่เพิ่มเข้ามาใหม่เส้นหนึ่ง เผยโชคชะตาแห่งโลกมนุษย์อย่างแปลกประหลาด 

 

 

เขานิ่งเงียบ ผมดำขลับสยายพลิ้วดุจธารหลาก 

 

 

เป็นความรักสลักฝังลึกในยามใด แลกมาซึ่งการพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินในยามนี้? 

 

 

ผู้ใดจะรู้เล่า? 

 

 

อาจจะเป็นยามที่นางเลียเขาที่หอคณิกาในแคว้นต้าเยียน 

 

 

อาจจะเป็นยามที่ได้เห็นรอยยิ้มสว่างไสวถึงเพียงนั้นของนาง ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปยามที่มุ่งหน้าตลอดทาง 

 

 

อาจจะเป็นยามที่อยู่ร่วมกันทั้งทิวาราตรี ในขณะเดินเหินในป่าเขา 

 

 

อาจจะเป็นยามที่นางร่ายระบำในวังกษัตริย์เทียนหนาน 

 

 

อาจจะเป็นยามที่นางโถมกายเข้าเต็มแรง ยามที่นั่งเรือบนแม่น้ำภายในพระราชวัง 

 

 

อาจจะเป็นยามที่นางสละตนปกป้อง ยามที่เหยียลี่ว์ฉีลอบสังหารในกระโจมพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จร้อยลี้ 

 

 

อาจจะเป็นยามที่นางใช้เล่ห์ปฏิเสธการหลอกล่อของเหยียลี่ว์ฉีตรงริมแม่น้ำสายน้อย 

 

 

อาจจะเป็นยามที่เกียรติศักดิ์ของนางสาดส่องต้าฮวงในพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จ 

 

 

อาจจะเป็นการถาโถมสังหารที่ทุ่มเทเรี่ยวแรงทั้งสิ้นของนาง ยามที่พบมือสังหารในตำหนักบรรทม 

 

 

หรืออาจจะเป็นยามที่ความเศร้าสลดตัดเยื่อใยยามที่นางพุ่งไปยัง ‘ซากผลึกน้ำแข็งไร้ศีรษะ’ หน้าตำหนักอวี้จ้าว… 

 

 

ความรักไม่รู้ว่าเกิดขึ้นที่ใด และไม่จำเป็นต้องรู้ว่าเกิดขึ้นที่ใด ไม่รู้ว่าเขาถลำลึกมาไกลเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใด แต่พอหันหลังมองดูเส้นทางที่ผ่านมามวลผกาบดบังดวงเนตร ดอกไม้ใบหญ้าทุกผืนต่างเป็นรอยยิ้มของนาง 

 

 

ความรู้สึกระลอกหนึ่งนี้ดุจสายพิณอันยุ่งเหยิง สะเทือนปลายระลอกคลื่นนับพันของทะเลสาบแห่งดวงใจ รอคอยให้จัดระเบียบแจ่มชัดยามใด คงทำได้เพียงฟังอย่างเงียบสงบ 

 

 

… 

 

 

จิ่งเหิงปัวหิ้วโถไว้ ไม่อยากกลับตำหนักบรรทมของตนเองเช่นกัน นางเดินอย่างไร้ซึ่งจุดหมายออกจากตำหนักของตนเองโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เดินไปยังข้างทะเลสาบขุดแห่งหนึ่ง ฝ่าเท้าเอนเอียงกะหันทัน พอก้มหน้ามองดูก็เห็นส้นของรองเท้าส้นสูงติดอยู่ในซอกหินอีกครั้งแล้ว 

 

 

นางดึงอยู่สองครั้งก็ดึงออกมาไม่ได้ ซ้ำยังกลัวว่าส้นรองเท้าจะเสียหาย จึงโยนรองเท้าอย่างอารมณ์เสีย นั่งเท้าเปล่าอยู่บนโขดหินปลอมข้างหนึ่งเสียเลย ฉวยมือหิ้วโถมา เปิดโถออกแล้วลงมือกิน! 

 

 

เขาไม่กิน นางคงไม่กลับไปเททิ้งอย่างหดหู่หรือเผชิญสายลมร่ำไห้ต่อหน้าโถ นางจะกินให้มากขึ้น กินส่วนของเขานั่นเข้าไปด้วย! 

 

 

แสงนภาท่วมท้น สายลมพัดแผ่วเบา องค์ราชินีทรงเปลือยพระบาทประทับอยู่บนโขดหิน หันพระพักตร์ไปทางจิ้งถิงที่อยู่ห่างไกล อ้าพระโอษฐ์กว้างเสวยน้ำแกง 

 

 

เหล่าองครักษ์ยืนอยู่ห่างไกล อยากหัวเราะ ซ้ำยังรู้สึกว่าแท้จริงแล้วราชินีคงเหงามากเช่นกัน 

 

 

จิ่งเหิงปัวดื่มน้ำแกงหมดในสองสามอึก ลูบท้องแล้ววางชามลง กำลังตระเตรียมกระโดดไปสวมรองเท้า ก็พลันมองเห็นชายผ้าสีเหลืองอ่อนอย่างกะทันหัน 

 

 

ชายผ้านั้นหยุดลงเบื้องหน้ารองเท้านาง นางเงยหน้าขึ้น มองเห็นบุรุษชุดเหลืองคนหนึ่งกำลังก้มหน้ามองดูรองเท้าของนาง 

 

 

“นี่เจ้า…” 

 

 

คนคนนั้นโค้งกายลงหยิบรองเท้าของนาง จิ่งเหิงปัวกำลังคิดจะเตือนเขาว่ารองเท้าติดอยู่ ระวังอย่าฝืนดึง บุรุษนั้นพบแล้ว ยิ้มแย้มเพียงครั้ง ใช้ฝ่ามือกดลงบนแผ่นศิลา จิ่งเหิงปัวเบิกตากว้าง มองเห็นแผ่นศิลาค่อยๆ เกิดช่องว่าง รองเท้าหลุดออกมาอย่างง่ายดาย 

 

 

บุรุษหยิบรองเท้าขึ้นมาชูไว้ให้นาง ยิ้มแย้มแล้วเอ่ยว่า “ฝ่าบาทจะทรงสวมฉลองพระบาทหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

บุรุษเรือนร่างสูงใหญ่ เสื้อคลุมแพรเข็มขัดหยก หมวกรวบผมหยกเหลือง หน้าตาหล่อเหลา แม้ไม่นับว่างดงามเลิศล้ำ ทว่ามองแล้วมีความสง่าผ่าเผย เป็นแบบที่มีเสน่ห์ของบุรุษอย่างยิ่ง 

 

 

ยามเขายิ้มแย้มขึ้นมาหน้าผากแผ่กว้าง ทำให้คนรู้สึกว่าแสงนภาเงาเมฆเหาะเหิน แสงอาทิตย์ทั่วท้องฟ้าพลันพลิ้วสยาย