ตอนที่ 1872

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 1,872 : เซี่ยวหลัน ปี้เหยา?

 

“เทียนเอ๋อ นับจากเวลาแล้ว…เซี่ยวหลันกับปี้เหยาสมควรกลับมาถึงตำหนักเมฆาครามช่วงนี้พอดี”

 

ในขณะที่กำลังจะเดินทางเข้าเขตตำหนักเมฆาคราม ต้วนหรูเฟิงคล้ายจะนึกอะไรขึ้นได้ จึงหันไปมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนทันที

 

เซี่ยวหลัน…

 

ปี้เหยา…

 

เมื่อได้ยิน 2 ชื่อนี้ร่างต้วนหลิงเทียนก็สะท้านไปทันใด ในแววตาเต็มไปด้วยความกังวล มองไปยังสุดขอบฟ้าทิศทางที่ตั้งตำหนักเมฆาครามอย่างเหม่อลอย

 

หลังจากรับทราบว่าบิดาเป็นจ้าวตำหนักเมฆาคราม จนเดินทางมาถึงกระทั่งอยู่อาศัยที่ตำหนัก ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มนึกถึงสตรีสองคนที่มารดาของเขาพาติดสอยห้อยตามมาจากทวีปเมฆาล่องเช่นกัน

 

อย่างไรก็ตามเขาได้รับทราบจากมารดาว่า เซี่ยวหลันกับปี้เหยาได้ออกเดินทางท่องหล้าเพื่อหาประสบการณ์ตั้งแต่หลายปีก่อน และต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะถึงกำหนดกลับมา

 

วันนั้นด้วยความที่เขาเองก็ยังไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับทั้ง 2 พอได้ฟังจึงรู้สึกโล่งอกไม่น้อย

 

ตอนนี้พอได้ยินบิดากล่าวถึงสตรีทั้ง 2 ขึ้นมา ต้วนหลิงเทียนก็คล้ายถูกฟ้าผ่า คนถึงกับหยุดนิ่งไปทันที

 

“น้องหลิงเทียน…”

 

ต้วนหลิงเทียนอยู่ดีๆก็หยุดลงเช่นนี้ กู่ลี่ก็หยุดมองไปด้วยความสงสัยเช่นกัน

 

อย่างไรก็ตามมันที่คิดถามไถ่พึ่งปริปากได้ไม่ทันไร ก็เห็นสายตาของต้วนหรูเฟิงที่มองมาพร้อมส่ายหน้าเบาๆ

 

ทันใดนั้นมันก็ปิดปากเงียบคำทันที

 

ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนคล้ายจมอยู่ในความคิด เมินเฉยทั้ง 3 อย่างสมบูรณ์

 

ไม่ทันรู้ตัว ความคิดเขาก็ลอยล่องไปยังวันวาน ครั้นที่เขายังอยู่ในเมืองประกายแสงของอาณาจักรนภาล่อง

 

ตอนนั้นเขาได้พบกับเซี่ยวหลันและปี้เหยา

 

เขายังจดจำได้ดี ครั้งแรกที่เขาได้เจอกับเซี่ยวหลันนั้น เป็นวันที่เขาเดินทางไปยังตระกูลเซี่ยวหมายเข้าร่วมประลองชิงอันดับ 1 ในรายนามมังกรซ่อนที่ตระกูลเซี่ยวเป็นเจ้าภาพ

 

ฉากที่พบเจอกับเซี่ยวหลันเป็นครั้งแรกก็ยังชัดอยู่ในใจ ภาพจำในวันวานสดใหม่เหมือนพึ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน

 

ผมดำขลับของนางที่ทอดยาวลงมาดั่งม่านน้ำตก ร่างบางเพียงยืนอยู่นิ่งๆโดยมีฉากหลังเป็นไอหมอกที่ลอยลงต่ำยามเช้า กลับให้ความรู้สึกเสมือนหมอกควันล่องลอยไม่อาจจับต้อง ปานนางฟ้าน้อยนางหนึ่งลงมาเที่ยวเล่นโลกมนุษย์ด้วยความซุกซน

 

ในตอนนั้นเขาเองก็ได้ยินมาไม่น้อย ว่าเซี่ยวหลันถือเป็น 1 ใน 3 โฉมงามของเมืองประกายแสง…

 

ส่วนครั้งแรกที่เขาได้พบกับองค์หญิงปี้เหยานั้น เป็นวังขององค์ชาย 3 ของอาณาจักรนภาล่อง

 

ตอนนั้นนางนั่งข้างๆองค์ชาย 3 เงียบงัน ผมดำเงางามของนางทอดยาวลงมาปกไหล่ แก้มสีชมพูระเรื่อช่างมีอำนาจเย้ายวนใจผู้คนให้หลงไหลตั้งแต่แรกพบ ริมฝีปากอวบอิ่มเย้ายวนคล้ายแฝงมนต์มารให้ผู้คนปรารถนาดูดดื่ม

 

แรกพบดรุณีน้อยงามล่มเมืองทั้ง 2 ต้วนหลิงเทียนเพียงเห็นทั้งคู่เป็นสหายเท่านั้น

 

แต่ผู้ใดจะไปคิดคาดว่าสตรีทั้ง 2 กลับหลงรักเขา กระทั่งยังรักลึ้งซึ้งอย่างยากจะถอน เซี่ยวหลันยังถึงกับเลือกออกเดินทางจากเมืองประกายแสงเพื่อตามเขาไปที่เมืองหลวงนภาล่อง

 

ตอนแรกต้วนหลิงเทียนคิดว่านี่คงเป็นรักแรกพบของดรุณีน้อยวัยใสไร้เดียงสา หลังเขาเดินทางออกจากอาณาจักรนภาล่องแล้วพวกนางคงลืมเลือนเขาไปเอง

 

แต่ผู้ใดจะไปคิดไปฝัน ว่าสตรีทั้ง 2 กลับประทับเขาตรึงตราในใจ แม้เขาจะจากไปแล้ว แต่พวกนางก็หมั่นมาดูแลมารดาของเขา ราวกับจะตอบแทนคุณมารดาแทนเขา…พาลให้มารดาเขาเห็นพวกนางเป็นดั่งลูกสาว หาไม่แล้วคงไม่นำพาพวกนางมาตำหนักเมฆาครามด้วยแบบนี้

 

‘นี่มันก็ผ่านไปหลายปีดีดัก…บางทีใจของพวกนางคงแปรเปลี่ยนไปแล้ว จะอย่างไรตอนนั้นพวกนางก็ยังเยาว์นัก แค่รักวัยใสของเด็กน้อย…’

 

ต้วนหลิงเทียนครุ่นคิด

 

แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการคาดเดาของเขาไปเองถ่ายเดียว

 

หากเป็นแบบนี้จริง เรื่องราวก็นับว่าจบลงด้วยดี ทุกคนมีความสุข และเขาไม่ได้กระทำผิดต่อคู่หมั้นทั้ง 2 และเฟิ่งเทียนหวู่

 

หากเป็นไปได้เขาก็จะยินดีดูแลพวกนางทั้ง 2 ให้เหมือนน้องสาวของเขาเช่นกัน จะอย่างไรพวกนางก็ดูแลมารดาเขาอย่างชิดใกล้มานานปี ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่เขาจะเห็นพวกนางเป็นดั่งคนในครอบครัว

 

แม้จะคิดแบบนี้ แต่ต้วนหลิงเทียนก็รู้ดีว่าเป็นเพียงเขาคิดไปฝ่ายเดียวเท่านั้น

 

เขาไม่อาจบอกได้ว่าเซี่ยวหลันกับปี้เหยาคิดอย่างไร

 

การตัดสินใจของพวกนางสำคัญที่สุด

 

หากพวกนางเห็นพ้องต้องกันกับเขามันก็ดี แต่ถ้าไม่…ก็เรียกว่างานเข้าแล้วจริงๆ เพราะเขาเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี!

 

แต่แน่นอนว่าเขาไม่คิดหลบหนีโดยไม่รับผิดชอบเรื่องนี้!

 

“ท่านพ่อ…พวกนาง…”

 

หลังจากเริ่มออกเดินทางต่อได้ไม่ทันไร ต้วนหลิงเทียนก็เรียกหาบิดา แต่วาจากลับไม่อาจกล่าวจนจบ

 

“เทียนเอ๋อเจ้าคิดอย่างไรกับเซี่ยวหลันและปี้เหยา”

 

ต้วนหรูเฟิงเห็นดังนั้นพลันกล่าวถามออกมาตรงๆ

 

“ท่านพ่อ ข้าเห็นพวกนางเป็นสหายอันดีเท่านั้นไม่คิดใดอื่น…ข้าคิดว่าพวกนางจะลืมข้าหลังข้าออกจากอาณาจักรนภาล่อง…แต่ใครจะไปรู้ ว่าพวกนางไม่เพียงไม่ลืมข้าแต่กลับคอยดูแลปรนนิบัติท่านแม่อย่างดีแทนข้ามาโดยตลอด”

 

กล่าวถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆออกมาราวกับจนปัญญาแล้วจริงๆ

 

“อย่าได้โทษแม่เจ้าเลย ที่นางพาทั้งคู่มายังตำหนักเมฆาครามนั้น เพราะแม่เจ้าเห็นแล้วว่าทั้งคู่เป็นอย่างไร นอกจากนี้นิสัยของทั้งคู่ก็ดี แม่เจ้าเพียงหวังดีกับเจ้าเท่านั้น…”

 

ต้วนหรูเฟิงกล่าว

 

“ข้าเข้าใจ”

 

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า

 

ถึงแม้เรื่องนี้เขาจะคิดว่ามารดาทำเกินไปอยู่บ้าง แต่เจตนาของนางก็ไม่ใช่เรื่องร้าย

 

เพราะสุดท้ายแล้วก็เป็นสาวน้อยทั้ง 2 ที่คอยดูแลอยู่เป็นเพื่อนมารดาเขาในวันที่เขาไม่อยู่ มารดาเขาย่อมเห็นทั้งสองเป็นลูกสะใภ้อันดี…

 

ความคิดของมารดาเขาเองก็ไม่ใช่จะไม่เข้าใจ

 

เพียงแค่เขาไม่รู้จะเผชิญหน้ากับเซี่ยวหลันและปี้เหยาอย่างไรเท่านั้น

 

“ท่านพ่อ ข้าไม่ได้เจอพวกนางหลายปีแล้ว…จากที่ท่านเห็น ตอนนี้พวกนางคิดยังไงกับข้าหรือ?”

 

สูดลมหายใจลึกๆเฮือกหนึ่ง ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็ถามออกมาอย่างอดไม่ได้

 

“พวกนางรู้สึกกับเจ้าอย่างไร? เจ้าถามข้าแล้วข้าจะไปถามใคร…กลับไปแล้วเจ้าก็ไปเผชิญหน้ากับพวกนางแล้วถามเอาเองเถอะ เท่านี้เจ้าก็ได้คำตอบที่ชัดเจนที่สุดแล้ว!”

 

ได้ยินคำถามนี้ของต้วนหลิงเทียน ต้วนหรูเฟิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

 

ในฐานะบิดา มันจะไปรู้ความรู้สึกของสตรีที่สนใจบุตรชายดีเท่าเจ้าตัวได้อย่างไร

 

“อ่า”

 

ต้วนหลิงเทียนได้แต่พยักหน้ารับไปอย่างนั้น

 

สุดท้ายที่จะเกิดอย่างไรก็ต้องเกิด เขาทำได้แค่เผชิญหน้ากับมัน…

 

“เทียนเอ๋อ”

 

ทันใดนั้นเองต้วนหรูเฟิงพลันกล่าวออกมาอีกครั้ง น้ำเสียงคราวนี้ยังจริงจังไม่น้อย “ไม่ว่าจะเป็นเซี่ยวหลันหรือปี้เหยา แม่เจ้ากับข้าต่างก็เอ็นดูพวกนางนัก ทั้งคู่ล้วนเป็นสตรีที่ดี เจ้าอย่าได้รังแกทำร้ายน้ำใจพวกนางเด็ดขาด! ไม่ง่ายเลยที่พวกนางจะละทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนเพื่อเจ้าแบบนี้”

 

มีเรื่องหนึ่งที่ต้วนหรูเฟิงไม่ได้บอกกับต้วนหลิงเทียน

 

นั่นก็คือ

 

หลังจากที่มันกับภรรยาพาทั้งคู่มาถึงตำหนักเมฆาครามแล้ว ก็ได้มีถามไถ่ทั้งคู่อยู่หลายครั้ง ว่าคิดจะกลับไปยังอาณาจักรนภาล่องหรือไม่

 

หากพวกนางอยากกลับ ก็ยินดีจะพาไปส่งถึงที่

 

อย่างไรก็ตามทุกครั้งคำตอบที่พวกนางให้ก็เหมือนเดิม

 

พวกนางเลือกที่จะอยู่…

 

เหตุผลที่ต้วนหรูเฟิงไม่บอกต้วนหลิงเทียนเรื่องนี้ เพราะกลัวจะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจ และสร้างความกดดันให้ต้วนหลิงเทียน

 

ทุกอย่างเพียงรอให้เจ้าตัวไปเผชิญหน้าเองเถอะ!

 

แน่นอนว่าแม้มันคิดให้บุตรชายไปเผชิญหน้าด้วยตัวเอง แต่วาจาที่ต้องกล่าวก็จำเป็นต้องกล่าว เพื่อไม่ให้ลูกชายรังแกทำร้ายจิตใจของสตรีทั้ง 2

 

“ท่านพ่อ…ข้าจะไปรังแกพวกนางได้ยังไง”

 

ต้วนหลิงเทียนยิ้มออกมาอย่างขื่นขมหลังได้ยินคำบิดา

 

“ข้ากับแม่เจ้าคุยกันเรื่องนี้หลายครั้งแล้ว หากพวกเจ้าที่ไม่พบหน้ากันมานานปียามพบกันอีกครั้งกลายเป็นไร้ความรู้สึกเยื่อใยใดแล้ว พวกข้าก็ไม่คิดบังคับอะไร…และข้ากับแม่เจ้าก็เลือกจะรับพวกนางเป็นบุตรบุญธรรม ให้ทุกคนได้อยู่ร่วมกันอย่างปกติสุข เพียงคิดเสียว่าพวกเจ้าไม่มีวาสนาต่อกันเท่านั้น”

 

ต้วนหรูเฟิงกล่าวต่อ

 

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ

 

ตอนนี้ที่ทำได้ก็มีแค่นี้

 

ทั้งหมดทั้งมวลต้องดูก่อนว่าเซี่ยวหลันกับปี้เหยาคิดอย่างไร

 

แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนหวังว่าพวกนางจะไม่คิดอะไรกับเขาอีกต่อไป

 

ด้วยวิธีนี้เขาจะได้ไม่ทำร้ายน้ำใจของคู่หมั้นทั้ง 2 และเฟิ่งเทียนหวู่

 

ในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง ก็คงจะเป็นเรื่องโกหกหากให้เขาบอกว่าไม่ได้อยากมีภรรยางดงามหลายคนคอยเอาอกเอาใจ ใช้ชีวิตราวกับได้รับพรจากฟ้าเหมือนฮ่องเต้เจ้าสำราญ!

 

แต่ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนไม่อาจเห็นแก่คาวมปรารถนาส่วนตัวหวังเป็นฮ่องเต้เจ้าสำราญทำนองนั้นได้ เขาจำต้องคำนึงถึงความรู้สึกเค่อเอ๋อลี่เฟยและเฟิ่งเทียนหวู่ก่อนอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่เค่อเอ๋อกับลูก ยังถูกจับตัวไปที่ลัทธิบูชาไฟในภูมิภาคเบื้องบนจนไม่รู้ชะตากรรมแบบนี้

 

ในเวลาแบบนี้หากเขายังมีกะจิตกะใจไปอยู่กับเซี่ยวหลันและปี้เหยา เขายังเป็นลูกผู้ชายอยู่อีกหรือ?

 

‘หากใจพวกนางยังมีข้าไม่เคยเปลี่ยนไป…ข้าทำได้แค่ให้สัญญากับพวกนางเท่านั้น ว่าข้าจะถามความเห็นเค่อเอ๋อ ลี่เฟย และเฟิ่งเทียนหวู่ก่อน หากทั้ง 3 อนุญาต…เช่นนั้นพวกนางจะอยู่ด้วยก็ไม่มีปัญหาอะไร’

 

‘หากเรื่องนี้ไม่อาจเป็นไปได้ ข้าก็จะให้ท่านพ่อท่านแม่รับพวกนางเป็นบุตรบุญธรรมเสีย…’

 

ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็ตัดสินใจได้

 

อย่างน้อยๆไม่ว่าสถานการณ์จะมาอีหร็อบไหน เขาก็สามารถสู้หน้าได้แล้ว

 

หลังจากนั้นไม่นานนัก ทะเลสาบมหึมาก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าไกลตา ต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นๆย่อมจดจำได้ชัดเจนว่านั่นคือทะเลสาบผานหลง อาณาเขตของตำหนักเมฆาคราม!

 

เห็นทะเลสาบผานหลง ประหนึ่งได้เห็นบ้าน!

 

ในอดีตนั้น ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้ ไม่มีที่ไหนที่ต้วนหลิงเทียนสามารถเรียกว่าบ้านได้เลย เขาเสมือนคนพเนจรไร้ราก

 

เมื่อรู้ว่าบิดาของเขาเป็นจ้าวตำหนักเมฆาคราม พอมาถึงที่นี่เขาก็ยึดถือว่ามันเป็นบ้านของเขาในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าอันกว้างใหญ่แห่งนี้

 

ทั้งหมดไม่ใช่เพราะอะไรอื่น…

 

นั่นเพราะครอบครัวของเขาอยู่ที่นี่…

 

ครอบครัวเขาอยู่ที่ไหน ที่นั่นก็คือบ้านเขา!

 

หลังกลับมาถึงตำหนักเมฆาครามแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ไปหาลี่เฟิงก่อนใคร

 

เหตุผลที่เขาไม่ไปหามารดาก่อนไม่ใช่เพราะเห็นสตรีดีกว่าแม่แต่อย่างไร แต่เพราะบิดาของเขาย่อมไปหามารดาเขาก่อนใคร

 

ไปหามารดาตอนนี้ ก็เสมือน ‘ก้างขวางคอ’ บิดาเขาเท่านั้น

 

“ท่านพ่อ!”

 

ทันทีที่เปิดประตูบ้านพักเข้ามา ต้วนหลิงเทียนก็เห็นร่างหนึ่งวิ่งหลุนๆ ก่อนที่จะกระโดดย่ำอากาศไม่กี่ก้าวค่อยถลาเข้าอ้อมอกเขา เป็นลูกชายตัวน้อยของเขาเอง ต้วนเนี่ยนเทียน

 

“เนี่ยนเอ๋อคนเก่ง คิดถึงพ่อรึเปล่า?”

 

ต้วนหลิงเทียนลูบหัวลูกน้อยเบามือ กล่าวถามด้วยรอยยิ้ม

 

“คิดถึงมากๆ!”

 

ต้วนเนี่ยนเทียนพยักหน้าน้อยๆระรัวราวกับลูกเจี๊ยบจิกข้าวเปลือก ก่อนที่จะทำตาโตกล่าวออก ค่อยหันหน้าไปด้านหลัง “เนี่ยนเอ๋อไม่ได้คิดถึงท่านพ่อคนเดียวนะ ท่านแม่ก็คิดถึงท่านพ่อด้วย!”

 

“ท่านแม่! ท่านพ่อกลับมาแล้ว! มาหาท่านพ่อเร็วๆ!”

 

ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะตอบสนองอะไร ต้วนเนี่ยนเทียนก็หันไปมองในบ้านพร้อมตะโกนเสียงดังแล้ว

 

ครู่ต่อมาร่างงามอันมีเสน่ห์เย้ายวนใจก็ค่อยๆก้าวเดินออกมา เป็นลี่เฟยที่กำลังแย้มยิ้มกล่าวออกอย่างยินดี “กลับมาแล้วหรือ?”

 

“ข้ากลับมาแล้ว…”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบเสียงอ่นด้วยแววตาอ่อนโยนก้าวเข้าหานาง ค่อยอุ้มลูกด้วยมือข้างหนึ่งส่วนอีกข้างดึงร่างบางเข้ามาในอ้อมกอด ค่อยฝังจมูกลงบนศีรษะลี่เฟย

 

เมื่อหอมไปฟอดหนึ่ง ชื่นชมกลิ่นหอมจากเรือนผมนางจนชื่นใจก็กล่าวออกเสียงอ้อน “เสี่ยวเฟยเอ๋อ…ข้าคิดถึงเจ้า”