ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล


ขณะที่กำแพงเพิ่งปรากฏรอยแตกขนาดใหญ่ขึ้น กองทหารของศาสนจักรก็โห่ร้องพลางโถมไปยังรอยแตกนั้น อย่างไรก็ตาม ทหารศาสนจักรเพิ่งปีนเข้าไปในรอยแตกได้ไม่นาน พวกเขาก็รู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนราวกับมีบางสิ่งที่มีขนาดใหญ่โตกำลังใกล้เข้ามา เงาดำเริ่มขยายขนาดเมื่อระยะทางหดสั้นลงก่อนที่เงาร่างขนาดใหญ่นั้นจะโถมทิ้งตัวเข้าใส่รอยแตกของกำแพง

ตูม……….

รอยแตกที่เกิดขึ้นนั้นกว้างพอจะให้ยักษ์ศิลาจำนวนสองตัวเข้าไปอุด ดังนั้นยักษ์ศิลาสองตัวจึงโถมเข้าใส่รอยแยกที่เต็มไปด้วยทหารศาสนจักรและแปรสภาพทหารเหล่านั้นให้กลายเป็นเนื้อบด

น่าสยดสยองนัก…

ยักษ์ศิลามีขนาดตัวที่ใหญ่ ทั้งยังมีน้ำหนักมหาศาล และหลังจากเซียวอวี๋ติดตั้งเกราะหนักให้กับพวกมัน พวกมันก็กลายเป็นภูเขาเหล็ก หากถูกพวกมันกระโดดโถมทับ สิ่งมีชีวิตที่มีร่างเลือดเนื้อย่อมยากที่จะรอด

เดิมทีทหารศาสนจักรจำนวนมากกำลังหลั่งไหลกันมาที่รอยแตก แต่หลังจากเห็นชะตากรรมของพวกพ้องและรอยแตกที่ถูกอุด พวกเขาก็ได้แต่หยุดฝีเท้า

หลังรอยแตกส่วนใหญ่ถูกอุดด้วยยักษ์ศิลาสองตัว ยักษ์ศิลาอีกสองตัวก็ปีนข้ามยักษ์ศิลาสองตัวที่อุดอยู่มายืนที่หน้ารอยแตกเสมือนเป็นกำแพง

ทหารศาสนจักรบางส่วนที่เล้ดรอดเข้าไปได้ก่อนรอยแยกถูกอุดก็ต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีจากรถถังและกองทหารม้า ด้วยจำนวนที่น้อยกว่ามาก ไม่ช้าพวกเขาจึงถูกกำจัดสิ้น

ขณะเดียวกัน อาวุธเวทของฝ่ายดินแดนไลอ้อนก็ยิงตอบโต้ไปยังปืนใหญ่เวทของฝ่ายศาสนจักรเพื่อสะกดอีกฝ่ายไม่ให้ยิงสังหารยักษ์ศิลา

ทางฝ่ายศาสนจักรย่อมไม่โง่เขลา พวกเขาเรียกอาวุธถอยกลับออกไปนอกระยะยิงหลังจากโจมตีสำเร็จ จากนั้นจึงกลับเข้ามาโจมตีเมื่อพร้อมยิง

ดังนั้นเซียวอวี๋จึงส่งหน่วยรบทางอากาศเข้าไปโจมตีเพื่อสะกดหรือทำลายอาวุธเหล่านั้น

สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในอีกหลายแห่ง แต่เพราะกลวิธีรับมืออันมีประสิทธิภาพของเซียวอวี๋ แม้ว่ารอยแตกจะถูกเปิดขึ้นอีกหลายครั้ง ฝ่ายศาสนจักรก็ยังไม่สามารถบุกทะลวงผ่านกำแพงเข้ามาได้

สงครามดำเนินต่อไป และในที่สุดกลยุทธ์ของเออซ่าก็ประสบผล แนวป้องกันของดินแดนไลอ้อนเริ่มก็ช่องโหว่รูรั่วมากขึ้น หลายครั้งยังตกอยู่ในช่วงวิกฤต ช่วงเวลาที่เกิดขึ้นเพียงช่วงสั้นๆเหล่านั้นทำให้ทหารศาสนจักรหลั่งไหลผ่านรอยแตกนั้นเข้าไปได้หลายหมื่นนาย แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยความแข็งแกร่งของทัพอากาศและกองพลรถถัง ทหารศาสนจักรเหล่านั้นจึงถูกกำจัดในเวลาไม่นาน

รถถังที่ตั้งเรียงรายคอยกระหน่ำยิงผู้ที่ล่วงล้ำได้กลายเป็นกำแพงเหล็กที่ทหารศาสนจักรไม่อาจฝ่าผ่านไปได้

แม้ว่าศาสนจักรจะมีพาลาดินระดับสูงอยู่มากมาย ทว่าทางฝั่งดินแดนไลอ้อนเองก็เต็มเปี่ยมไปด้วยบุคคลากรที่มีพรสวรรค์ ดินแดนไลอ้อนได้รับตัวผู้มีความรู้ความสามารถมาเข้าร่วม และเมื่อรวมกับเหล่าฮีโร่ของเซียวอวี๋ด้วยแล้ว การต่อสู้ระหว่างตัวตนระดับสูงจึงไม่อาจสร้างความได้เปรียบแก่ฝ่ายศาสนจักร

และในแง่ของไพร่พลรบ ศาสนจักรก็ยังด้อยกว่า ความแข็งแกร่งของรถถังนั้นมีมากเกินไป และหลายต่อหลายครั้ง เซียวอวี๋ยังส่งกองพลรถถังไปตั้งแนวยิงที่หน้าช่องว่างเพื่อป้องกันโดยไม่ต้องส่งช่างฝีมือไปอุดซ่อมรอยแตกนั้นด้วยซ้ำ

ทหารของศาสนจักรส่วนใหญ่ต่างก็ถูกล้างสมองจนคลั่งศาสนา ด้วยเหตุนั้น พวกเขาจึงคิดว่าการอุทิศตัวต่อสู้เพื่อศาสนจักรนั้นถือเป็นเป้าหมายสูงสุดของชีวิต ดังนั้นพวกเขาจึงยังคงบุกไปข้างหน้าเพื่อพยายามฝ่ากระสุนปืนใหญ่ของรถถังเข้าไป แต่ด้วยอานุภาพของปืนใหญ่และเหล่าคิเมร่าที่คอยสนับสนุนจากบนฟ้า ผลที่ออกมาจึงกลายเป็นทหารศาสนจักรเอาชีวิตไปทิ้งอีกหลายหมื่นชีวิต

แม้จะมีพาลาดินระดับสูงบางส่วนที่สามารถฝ่าเข้ามาสร้างความเสียหายต่อรถถังได้บ้าง เซียวอวี๋ก็ไม่ได้ใส่ใจ หากรถถังเสียหายก็เพียงส่งกลับไปซ่อม ทั้งยังใช้เวลาซ่อมเพียงไม่นาน

หรือต่อให้รถถังถูกทำลายจนเป็นซาก เขาก็แค่สั่งสร้างใหม่ ตราบใดที่ยังมีเงินพอ ดินแดนไลอ้อนก็จะยังมีรถถังคอยประจำการ

ภายใต้สงครามที่ดำเนินไป รถถังก็เลื่อนระดับเพิ่มขึ้น มีบางคันที่เลื่อนขึ้นไปถึงระดับสิบ รถถังที่ระดับสิบนั้นจึงจะเรียกได้ว่าเป็นฝันร้ายอย่างแท้จริง เกราะที่หนากว่าเก่า ปืนที่ทรงอานุภาพยิงกว่าเดิม เป็นยูนิตสุดแกร่งที่รถถังระดับต่ำไม่อาจเทียบได้

แม้จะมีศพกองสูงหลายเมตรที่เบื้องหน้า รถถังระดับสูงก็สามารถขับปีนขึ้นไปได้อย่างไร้อุปสรรค

ความแข็งแกร่งของมันถึงกับทำให้เซียวอวี๋ต้องตะลึง รถถังระดับสูงภายในเกมนั้นไม่ได้ทรงพลังถึงเพียงนี้ ด้วยพลังการปีนที่ทรงพลังของมันนี้เองจึงทำให้มันค่อยคู่ควรกับที่เป็นยูนิตขั้นที่สาม ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นเครื่องจักรสังหารแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์

เมื่อได้เห็นความแข็งแกร่งเช่นนี้ บางครั้งเซียวอวี๋จึงจงใจเปิดช่องว่างขึ้นและส่งกองพลรถถังไปอุดเพื่อเพิ่มระดับให้กับพวกมัน เหตุการณ์นี้คล้ายกับศึกป้องกันเมืองครั้งแรกที่เซียวอวี๋ได้ส่งนักรบออร์คไปตั้งรับที่ประตูเมือง โดยเขาได้อิงความคิดนี้มาจากศึกที่เหล่านักรบสปาตันทั้งสามร้อยต่อต้านการรุกรานของกองทัพเปอร์เซีย

แต่ตอนนี้เซียวอวี๋มีรถถังแล้ว เทียบกันแล้วพลังของรถถังในตอนนี้ยังเหนือกว่าเหล่านักรบออร์คในตอนนั้นไม่รู้ตั้งเท่าใด

อย่างไรก็ตามอาวุธเวทที่ทรงพลังศาสนจักรนั้นเป็นภัยอย่างมาก หลายต่อหลายครั้งแนวป้องกันของเมืองไลอ้อนนั้นถูกกดดันจนแทบไม่อาจสกัดกั้นไว้ได้

และตอนนี้ก็ถึงเวลาที่เขาจะส่งอาวุธหนักออกไป อาวุธที่ว่าก็คือ มังกรน้อย

ตราบที่มังกรน้อยปรากฏกาย สถานการณ์ก็จะเปลี่ยนไปอย่างพลิกฟ้าคว่ำดิน มังกรน้อยสามารถสู้กับยอดฝีมือขั้นที่หกได้พร้อมกันหลายคน ทั้งยังมีการโจมตีวงกว้างที่แข็งแกร่ง ดังนั้นศัตรูจึงไม่อาจใช้ข้อได้เปรียบด้านจำนวนกับมังกรน้อย

มังกรน้อยที่อยู่ในขั้นที่ห้าเวลานี้นั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าเหล่าบอสที่เซียวอวี๋เคยพบเจอมาเลย เมื่อมีมังกรยักษ์กระโจนสู่สนามรบพร้อมร่วมมือกับหน่วยรบอื่นๆ กองทัพของอีกฝ่ายยังจะกุมความได้เปรียบไว้ได้หรือ?

ในศึกนี้เซียวอวี๋ได้ยังนำผู้พิทักษ์โบราณของฐานทัพเอลฟ์มาเข้าร่วมด้วย ต้นไม้ยักษ์เหล่านี้มีพลังขว้างที่รุนแรง ในแง่ของการต่อสู้ระยะประชิดก็ได้เปรียบเรื่องความสูงใหญ่

ป้อมที่สร้างขึ้นบนกำแพงเมืองเองก็แสดงอานุภาพของมันออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ระยะยิงของป้อมจากระบบเหล่านี้จะไม่ไกลเท่าเครื่องยิงบาริสต้าเวทมนตร์ อีกทั้งพลังทำลายก็เทียบไม่ได้ กระนั้นยามที่ข้าศึกเข้ามาใกล้กับกำแพงเมือง ประสิทธิภาพของป้อมเหล่านี้ก็ถูกแสดงออกมา ไม่ทราบมีพาลาดินมากเพียงใดที่ตกตายภายใต้การยิงสังหารของป้อมเหล่านี้

สงครามอันดุเดือดได้กินเวลาตลอดทั้งวัน กองทัพของทั้งสองฝ่ายต่างก็บาดเจ็บล้มตายไปไม่น้อย แน่นอนว่าฝ่ายที่สูญเสียมากกว่าย่อมต้องเป็นฝ่ายกองทัพศาสนจักร โดยอัตราการสูญเสียนั้นมากกว่าฝ่ายดินแดนไลอ้อนอย่างน้อยสิบเท่า

ในศึกป้องกันอันตึงเครียดเช่นนี้ ไม่ว่าจะมีอาวุธหรือทหารประจำการมากมายเพียงใด การสูญเสียย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

อย่างไรก็ตามแม้จะสามารถกำจัดศัตรูได้เกินกว่าสิบเท่าของอัตราสูญเสีย ดินแดนไลอ้อนก็ยังคงเสียเปรียบศาสนจักร เพราะศาสนจักรยังมีกำลังอยู่อีกมาก

ตอนนี้เซียวอวี๋ทราบแล้วว่าศาสนจักรไม่ได้สนใจต่อชีวิตของไพร่พลทหารตนเองเลย ชัดเจนว่าอีกฝ่ายยังมั่นใจในจำนวนทหารของฝ่ายตน

หลังจากที่ต่อสู้กันมาทั้งวัน เซียวอวี๋ก็ต้องอึ้งเมื่อพบว่าอีกฝ่ายไม่มีทีท่าจะหยุดการโจมตีเลยแม้ว่าท้องฟ้าจะเริ่มมืดลงแล้วก็ตาม

“มารดามันเถอะ นี่มันบ้าไปแล้ว แม้แต่พวกเซิกก็ยังมีช่วงพักรบ แต่คนเหล่านี้กลับ….ดูเหมือนพวกทหารจะไม่ได้คิดว่าตนเองเป็นมนุษย์อีกต่อไปแล้ว”

เซียวอวี๋กัดริมฝีปาก สงครามจะยังคงดำเนินต่อไป และเขาต้องตั้งรับต่อไปให้ได้….