ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
เป้าหมายที่แท้จริงของเออซ่าคือการใช้จำนวนลิดรอนกำลังของกองทัพฝ่ายดินแดนไลอ้อน
เขาเชื่อว่ากลยุทธ์เช่นนี้ใช้ได้ผลที่สุด ไม่ว่ากองกำลังของเซียวอวี๋จะเป็นทหารประเภทใด หากต้องกรำศึกอย่างต่อเนื่องก็ย่อมต้องเกิดความเหนื่อยล้า
และเมื่อทหารเหล่านั้นเหนื่อยล้า ความสามารถในการต่อสู้ก็ย่อมลดลงตามไป ผลที่ตามมาคือการปรากฏข้อผิดพลาด และศาสนจักรจะใช้โอกาสนั้นในการบุกทะลวง ซึ่งอันที่จริง กลยุทธ์เช่นนี้สร้างความอิจฉาเซียวอวี๋อย่างยิ่ง
ช่องว่างขนาดใหญ่ของจำนวนกำลังรบระหว่างสองฝ่ายเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการใช้กลยุทธ์นี้
“มารดามันเถอะ ปล่อยไว้แบบนี้ต่อไปคงพ่ายแพ้แน่ ดูเหมือนต้องใช้พวกอันเดดแล้ว” เซียวอวี๋มองดูสถานการณ์พลางครุ่นคิดขึ้นในใจ
เขาตระหนักดีว่าการเรียกใช้กองทัพอันเดดในเวลานี้จะทำให้ผู้คนล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างสองทัพ อย่างไรก็ตาม เขาไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว หากไม่ลงมือในเวลานี้ ความพ่ายแพ้ของดินแดนไลอ้อนก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น
อันที่จริง ขอเพียงแค่เซียวอวี๋ไม่ปล่อยให้ผู้คนพบเจอหลักฐานสำคัญที่เชื่อมโยงตัวเขากับกองทัพอันเดดก็ใช้ได้แล้ว เวลานี้ทั่วทั้งทวีปกำลังอยู่ในความวุ่นวาย แม้ผู้คนจะทราบว่าพวกอันเดดปรากฏขึ้นในดินแดนไลอ้อน พวกเขาก็คงลืมตาข้างหลับตาข้างและปล่อยผ่านไป
ดังนั้นเซียวอวี๋จึงเบาใจไปได้บ้าง เขารีบผละลงจากกำแพงเมืองและมุ่งตรงไปยังฐานทัพอันเดด จากนั้นจึงออกคำสั่งต่ออาร์ทัส
เมื่อได้รับคำสั่งจากเซียวอวี๋ อาร์ทัสก็รีบเรียกระดมพวกอันเดดและเคลื่อนทัพอ้อมผ่านสนามรบเตรียมจะเข้าตีโอบกองทัพศาสนจักร
ในการลอบโจมตีครั้งก่อนๆ เนื่องเพราะมีประสบการณ์ครั้งแรก ศาสนจักรจึงได้เตรียมการป้องกันการลอบโจมตีของพวกอันเดด และทำให้การโจมตีของพวกอันเดดไม่ประสบผลสักเท่าใดนัก
หากแต่ครั้งนี้ผลลัพธ์จะไม่เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว
กองทัพศาสนจักรทุ่มความสนใจไปกับการบุกโจมตีเมืองไลอ้อนที่อยู่ด้านหน้า ดังนั้นการป้องกันที่ด้านข้างจึงหลวมคลาย พวกเขาย่อมไม่คาดคิดว่าจะมีทัพใดปรากฏขึ้นจากทางเทือกเขาอัลคาเกน
ซ้ำร้ายยังเป็นทัพที่แข็งแกร่งอย่างกองทัพอันเดด
ช่วงเวลาในยามค่ำคืน คืนช่วงเวลาของเหล่าคนตาย นี่เป็นช่วงเวลาที่พวกมันจะแข็งแกร่งที่สุด แม้ว่ากองทัพอันเดดจะสามารถปรากฏกายในตอนกลางวันได้ แต่ในตอนกลางคืนนั้น ความแข็งแกร่งของพวกมันจะเพิ่มขึ้นเป็นทบทวีคูณ
เวลานี้กองทัพศาสนจักรกำลังโหมบุกอย่างบ้าคลั่ง จำนวศพที่กองทับถมอยู่ใต้กำแพงไม่ทราบเป็นตัวเลขน่ากลัวเพียงใด กระนั้นพวกเขาก็ยังเดินหน้ารุกคืบใส่กำแพงเมืองอย่างไม่ลดละ
บรรยากาศของกองทัพศาสนจักรเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความบ้าคลั่ง ความรู้สึกอื่นๆล้วนถูกละทิ้งไว้เบื้องหลัง ทหารของศาสนจักรในเวลานี้แทบจะไม่ได้ต่างอะไรไปจากหุ่นเชิดที่รู้จักแต่การบุกไปข้างหน้า
ครืน……
พื้นดินเกิดแรงสั่นสะเทือนขึ้นขณะที่มีสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่สองสามตัวปรากฏตัวขึ้นที่ด้านข้างของสนามรบ เมื่อทหารศาสนจักรมองเห็นร่างของสัตว์ประหลาดเหล่านั้น พวกเขาก็ตกตะลึง พวกเขาเคยเห็นสัตว์ประหลาดเช่นนี้มาก่อน ร่างกายที่ประกอบขึ้นอย่างพิกลพิการนั้นถูกสร้างขึ้นจากศพ ไม่ใช่สัตว์ประหลาดที่มีชีวิตจริงๆ
“พวกผีเน่าบัดซบนั่นอีกแล้ว!”
กองทัพศาสนจักรต้องเสียหายอย่างหนักจากการปะทะกับพวกอันเดด แม้ว่าพวกเขาจะสังหารอันเดดไปได้มากมาย แต่หากเปรียบเทียบกันแล้ว กองทัพของพวกเขายังจะเสียหายมากกว่า
อันเดดที่ตายส่วนใหญ่ไม่ใช่อันเดดที่สร้างขึ้นจากฐานทัพของระบบ ดังนั้นความเสียหายที่เกิดจึงไม่กระทบกับกำลังหลักของกองทัพอันเดดเท่าใดนัก
ดูเหมือนว่าอาร์ทัสจะเพิ่งได้สัตว์ประหลาดพวกนี้มาจากเทือกเขาอัลคาเกน ความสามารถในด้านผู้นำของอาร์ทัสนั้นยอดเยี่ยมอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่นานมานี้ กองทัพอันเดดได้เข้าปะทะกับกองทัพศาสนจักรอย่างรุนแรง สัตว์ประหลาดแทบทั้งหมดตกตายไป ทว่าผ่านไปเพียงไม่กี่วัน อาร์ทัสก็สามารถหาสัตว์ประหลาดมาเสริมทัพได้แล้ว
ความแข็งแกร่งของสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่พวกนี้ส่งผลอย่างมากในสนามรบ ยามที่พวกมันบุกตะลุยไปข้างหน้า ชีวิตของไพร่พลมากมายจะถูกปลิดปลงไป
ความน่าพรั่นพรึงของพวกมันได้หยั่งรากอยู่ในใจของทหารศาสนจักรอย่างลึกล้ำ
เมื่อพวกสัตว์ประหลาดที่เพิ่งปรากฏตัวเริ่มออกวิ่ง ที่ด้านหลังของพวกมันก็ตามติดไปด้วยกองทัพอันเดดที่แน่นขนัดดุจฝูงแมลง เพื่อที่จะจัดการกับศาสนจักรในครั้งนี้ เซียวอวี๋ได้ปลดข้อจำกัดบางประการที่เคยจำกัดไว้ต่ออาร์ทัส เขาอนุญาติให้อาร์ทัสปลุกทหารซากศพขึ้นมาเพิ่มมาอีกระดับ
และผลลัพธ์ที่ออกมาจะพลิกโฉมกองทัพอันเดดไปอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้จำนวนทหารอันเดดทั่วไปที่อาร์ทัสควบคุมบงการได้นั้นมีจำนวนถึงหนึ่งแสนตนแล้ว และหากมีอันเดดถูกทำลาย เขายังสามารถปลุกซากศพขึ้นมาเติมเต็มให้ครบจำนวนได้เรื่อยๆ
นี่ก็คือข้อได้เปรียบที่น่าพรั่นพรึงที่สุดของเผ่าพันธุ์อันเดด
โฮก…………..
ท่ามกลางพวกอันเดดที่บุกเข้ามา อาชานรกที่อาร์ทัสควบขี่นั้นดูสะดุดตาที่สุด พื้นที่ที่มันวิ่งผ่านจะถูกความตายเข้าปกคลุม ทุกที่ที่หนึ่งคนหนึ่งม้าควบผ่านจะถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นแดนประหาร
อันที่จริงศาสนจักรนั้นเตรียมการรับมือพวกอันเดดไว้ก่อนแล้ว ด้วยสติปัญญาของเออซ่า มีหรือที่เขาจะไม่คาดการณ์ว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้?
เออซ่านั้นสงสัยมานานแล้วว่าพวกอันเดดนั้นมีความเชื่อมโยงกับเซียวอวี๋
ตอนนี้ ขณะที่อยู่ในช่วงที่สำคัญที่สุดของการบุกตี จู่ๆพวกอันเดดก็ปรากฏตัวออกมา สิ่งนี้ถือเป็นข้อพิสูจน์อย่างดีแล้ว เออซ่าแค่นเสียงเย็นและส่งกองทัพย่อยไปรับมือกับพวกอันเดด
กองทัพศาสนจักรไม่เคยขาดแคลนไพร่พล การส่งกองทัพบางส่วนไปสกัดพวกอันเดดจึงไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด
เออซ่าคิดไว้เช่นนี้ แต่เมื่อพวกอันเดดบุกเข้ามาจริงๆ เขาก็พบว่าตนนั้นประเมินพลังของกองทัพอันเดดต่ำไป
ซึ่งที่จริง ที่เขาประเมินผิดไปคือพลังของอาร์ทัส อาร์ทัสสะบัดดาบฟรอสต์มัวร์อยู่หน้าสุดของทัพอันเดดโดยไม่มีผู้ใดสามารถหยุดยั้งได้
เออซ่าส่งพาลาดินขั้นที่หกสี่คนไปรับมือ พาลาดินทั้งสี่ต่างก็แข็งแกร่งและมีชื่ออยู่บ้าง แม้จะไม่แข็งแกร่งในระดับเดียวกับดัม กระนั้นพวกเขาก็เป็นขั้นที่ที่หกระดับสูงสุด
เมื่อพาลาดินทั้งสี่จับกลุ่มล้อมอาร์ทัสไว้ได้สำเร็จ พวกเขาก็ยังไม่อาจทำอย่างไรต่ออาร์ทัส
ตรงกันข้าม อาร์ทัสได้สั่งให้อันเดดโดยรอบเข้ากลุ้มรุมพาลาดินทั้งสี่ จากนั้นจึงใช้ทักษะระเบิดซากศพ และทำให้พาลาดินทั้งสี่บาดเจ็บ
ทันใดนั้นอานูบอารัคก็โผล่ขึ้นมาจากพื้นดินและยิงหนามแหลมเข้าใส่พาลาดินทั้งสี่จนต้องหันมารับมือเป็นพัลวัน จากนั้นเคลธูซาดก็ตามติดมาใช้เวทโจมตีซ้ำจนทั้งสี่แทบต้านทานรับไว้ไม่ไหว
ความแข็งแกร่งที่อาร์ทัสแสดงออกมาทำให้เออซ่าขมวดคิ้ว เขาขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่งพาลาดินขั้นที่หกอีกสองคนไปคลี่คลายสถานการณ์ให้พาลาดินทั้งสี่
แม้กระนั้น สถานการณ์ก็ยังไม่เกิดความเปลี่ยนแปลง อาร์ทัสยังคงนำทัพอันเดดรุกคืบเข้ามาอย่างต่อเนื่องจนจ่อประชิดใส่ปีกข้างของกองทัพศาสนจักร
เมื่อเป็นเช่นนี้ กองทัพอันเดดจึงค่อยๆเบียดเข้ามามีส่วนร่วมในสงครามและส่งผลให้สงครามรุนแรงกว่าเดิม โลหิตไหลเจิ่งนองไปทั่วสนามรบขณะที่ดวงจันทร์เฝ้ามองลงมาจากฟ้า……