ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล


ขณะที่การต่อสู้ดำเนินต่อไป ทั้งดินแดนไลอ้อนและศาสนจักรต่างก็สูญเสียไพร่พลอย่างหนัก แต่ด้วยการเข้ามามีส่วนร่วมของทัพอันเดด ศาสนจักรจึงจำต้องแบ่งกำลังบางส่วนมารับมือและทำให้ไม่อาจโหมบุกตีเมืองได้เต็มกำลัง ขณะที่แนวป้องกันของเมืองไลอ้อนยังตั้งมั่นอยู่เช่นเดิมและผ่านพ้นคืนนั้นมาได้

ในศึกยามค่ำคืนที่ผ่านมา ศาสนจักรสูญเสียทหารไปอย่างน้อยหนึ่งล้านนาย ทว่ากองทัพศาสนจักรก็ยังจะเดินหน้าโจมตีต่อไป พวกเขาจะต้องกำจัดดินแดนไลอ้อนของเซียวอวี๋ให้จงได้

“น่าตายนัก เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ดีแน่” เซียวอวี๋มองดูกองทัพศาสนจักรที่โหมบุกอย่างหนักพลางยกมือขึ้นลูบคาง สมองเร่งขบคิดหาวิธีการ

ขุมกำลังของศาสนจักรแข็งแกร่งยิ่ง แม้แต่กองทัพของพวกเซิกเองก็อาจจะไม่แข็งแกร่งไปกว่านี้ ซึ่งในครั้งนั้นฝ่ายเขายังมีสามจ้าวมนตรา และทัพม้าชั้นยอดของจักรวรรดิ

หากจ้าวมนตราทั้งสามอยู่ที่นี่ในตอนนี้ ปัญหาที่เขาเผชิญอยู่ก็คงคลี่คลายได้โดยง่าย

ทหารของศาสนจักรอาจจะไม่ได้แข็งแกร่งเทียบเท่าทหารทมิฬของโถวปากุ้ย แต่ประการสำคัญก็คือ ครั้งนี้เขาไม่มีวิญญาณบรรพกาลคอยช่วยเหลือ วิญญาณบรรพกาลมีพลังถึงขั้นที่สามารถพลิกเปลี่ยนสถานการณ์ หากเขาได้ผู้ช่วยอันเข้มแข็งจำนวนมากมาเพิ่มในครั้งเดียวเช่นนั้นอีก ศึกครั้งนี้คงยุติได้โดยเร็ว

ขณะที่เซียวอวี๋กำลังคิดหาวิธีเอาชนะกองทัพศาสนจักรอยู่นั้นเอง เมฆขนาดใหญ่ก็พลันปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าก่อนจะเคลื่อนตัวเข้าบดบังดวงอาทิตย์

“หืม เมฆาพวกนี้มาจากไหนกัน?”

ขณะนั้นเอง ดวงอาทิตย์ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งและปลดปล่อยแสงสว่างจ้าออกมาจนทำให้ทั้งหมดต้องรีบเบนสายตาหลบ

อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอีกครั้ง พวกเขาก็ต้องตกตะลึง

เป็นเพราะเมฆที่ปรากฏก่อนหน้านี้นั้นหายไปแล้ว และตำแหน่งเดิมของมันก็ถูกแทนที่ด้วยนครลอยฟ้าแน็กแรม

“เจ้านี่ลอยมาที่นี่ทำไมกัน?”

เมื่อเห็นแน็กแรมกำลังลอยมา เซียวอวี๋ก็ตกตะลึง ตอนนี้ทั้งเขาและกองทัพดินแดนไลอ้อนกำลังอยู่ในสภาพที่อ่อนล้ายิ่ง และตอนนี้เจ้านครเจ้าปัญหานี่ก็ยังกระโดดมาเข้าร่วมวงอีก นี่ไม่ยิ่งแย่ไปกันใหญ่หรือ?

ทหารของศาสนจักรเองก็ตกตะลึงขระมองดูแน็กแรมเคลื่อนตัวอยู่บนท้องฟ้า หากว่าจู่ๆเจ้าสิ่งนี้ตกลงมา พื้นที่ที่พวกเขาอยู่ก็คงถูกกลบฝังในทันที

ด้วยเหตุนี้ ความเร็วในการบุกโจมตีจึงเริ่มลดลง ผู้คนเริ่มเงยหน้าขึ้นมองแน็กแรมขณะที่กังวลว่ามันจะตกลงมา

เมื่อเออซ่าได้เห็นฉากนี้ ใจของเขาก็เต้นไม่เป็นระส่ำ ลางสังหรณ์อัปมงคลเริ่มกัดกินหัวใจของเขา

“นี่….หรือจุดจบของโลกจะมาถึงแล้ว?”

เออซ่าจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเจ้าสิ่งนี้ปรากฏอยู่ในบันทึกเล่มหนึ่งของศาสนจักร ซึ่งท่อนนั้นมีใจความว่า ….เมื่อเจ้าสิ่งที่ยิ่งใหญ่นี้ปรากฏขึ้น นั่นหมายถึงการล่มสลายของศาสนจักร….

ในช่วงเวลานี้เอง เออซ่าผู้ไม่เคยระย่นระย่อต่อสิ่งใด พลันเกิความปั่นป่วนขึ้นในใจ

ซึ่งที่จริงลางสังหรณ์ของเออซ่าก็ไม่ผิดพลาด เพราะในตอนนั้นเอง อาร์ทัสและเหล่าอันเดดก็เริ่มตื่นเต้นด้วยความยินดี แววตาของพวกเขาเริ่มฉายแววกระหายเลือด และความแข็งแกร่งของพวกเขาก็พลันเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

โดยเฉพาะอาร์ทัส ในขณะนี้เขาคล้ายกลายเป็นเทพเจ้าองค์หนึ่ง เขาเงยหน้ากู่ร้อง จากนั้นจึงกระตุ้นอาชานรกให้วิ่งออกไปสุดกำลัง

“ฆ่า!…..”

เสียงอันน่าขนลุกถูกเปล่งออกมาจากปากของอาร์ทัส จากนั้นเหล่าอันเดดที่ติดตามอยู่เบื้องหลังของเขาก็เข่นฆ่าทหารศาสนจักรตามหลังอาร์ทัสไป

กองทัพศาสนจักรที่ถูกแหวกทะลวงพลันปรากฏความวุ่นวายขึ้น พวกเขาไม่อาจหยุดยั้งการโจมตีของพวกอันเดดได้เลย พวกอันเดดในเวลานี้ได้กลายเป็นกองทัพที่ไม่อาจหยุดยั้งไปแล้ว

ชัดเจนว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้มาจากแน็กแรมที่ลอยอยู่บนฟ้า

เซียวอวี๋นิ่งตะลึงไปชั่วขณะ ขณะที่สายตาจับจ้องไปยังอาร์ทัสที่นำทัพตีฝ่าเข้าไปใจกลางกองทัพศาสนจักร และเขาก็พลันเข้าใจ มีบางสิ่งบางอย่างได้เกิดขึ้นกับอาร์ทัสแล้ว

พวกอันเดดบุกเข้าไปอย่างไม่อาจหยุดยั้ง และไม่นานทัพหน้าและทัพหลังกองทัพของศาสนจักรก็ถูกตัดขาดจากกัน

เมื่อเซียวอวี๋เห็นเช่นนี้ เขาจะทราบได้อย่างไรว่านี่นับเป็นโอกาสอันหาได้ยาก ดังนั้นเขาจึงรีบตะโกนสั่งการให้กองกำลังของเขาละทิ้งการป้องกันและบุกลงไปเข่นฆ่าทหารศาสนจักร

โฮก………

สิ้นเสียงร้องคำรามของมังกรน้อย กองทัพดินแดนไลอ้อนก็เปิดฉากบุกชนิดเทหมดหน้าตักโดยมีกองพลรถถังรับหน้าที่เป็นผู้เบิกทาง ดินแดนไลอ้อนเริ่มการโจมตีโต้กลับแล้ว

รถถังเหล่านี้ได้ผ่านการต่อสู้มาทั้งวันทั้งคืน และพวกมันก็มีระดับถึงสิบไปเนิ่นนานแล้ว และเมื่อถึงจุดนี้ มันก็จะสามารถแสดงศักยภาพออกมาได้เต็มที่ พวกรถถังเริ่มยิงปืนใหญ่อันหนักหน่วงขณะเคลื่อนตัวไปข้างหน้าและบดขยี้ทุกสิ่งที่ขวางหน้า กองทัพศาสนจักรที่กำลังปั่นป่วนย่อมไม่อาจรับมือพวกมัน

ที่ตามติดมายังมีกองกำลังอื่นๆ เวลานี้ทั้งหมดต่างก็ได้แสดงศักยภาพของตนออกมาและเริ่มสังหารกองทัพศาสนจักรที่แตกพ่ายไม่เป็นกระบวนอย่างรวดเร็ว

อูเธอร์ควบม้าขึ้นหน้า เวทมนตร์แห่งแสงของเขาเข้าปกคลุมไปทั่วบริเวณโดยรอบ เหล่าผู้ที่ได้สัมผัสกับลำแสงนี้ต่างก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่น และร่างกายของพวกเขาก็แข็งแกร่งขึ้นชั่วขณะ

มีไพร่พลบางส่วนของศาสนจักรที่สัมผัสถูกลำแสงนี้ ร่างกายของพวกเขาเองก็เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างแปลกประหลาด

สมาชิกภาคีหัตถ์เงินที่ติดตามอยู่ด้านหลังของอูเธอร์เร่งกระตุ้นม้าขึ้นหน้าพลางตะโกนคำสอนแห่งแสงสว่างทีละคนทีละคนจนก่อเกิดเป็นสภาวะอันดูศักิด์สิทธิ์ขึ้นมา

พาลาดินของศาสนจักรหลายคนตกตะลึงเมื่อได้เห็นฉากนี้ บางคนกระทั่งลืมจะยกอาวุธขึ้นสู้

ไม่ช้า กองทัพดินแดนไลอ้อนที่นำโดยเซียวอวี๋ก็กวาดล้างทหารของศาสนจักรในฝั่งที่อยู่หน้ากำแพงเมืองได้ทั้งหมด บางส่วนก็เลือกที่จะทิ้งอาวุธยอมจำนน

ขณะที่มองไปยังอูเธอร์ ทหารเหล่านั้นคล้ายเกิดความกระจ่างแจ้งขึ้นในใจ

ในที่สุดอูเธอร์และอาร์ทัสก็ได้เผชิญหน้ากันในสนามรบเป็นครั้งแรก

แม้ว่าทั้งสองจะเป็นฮีโร่ในสังกัดของเซียวอวี๋ แต่ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนของพวกเขาก็ทำให้พวกเขากระอักกระอ่วนในทันทีที่พบหน้า

“อาร์ทัสศิษย์ข้า คิดไม่ถึงว่าจะได้พบเจ้าที่นี่” น้ำเสียงของอูเธอร์แฝงไว้ด้วยโทสะ ขณะเวทแห่งแสงที่ล้อมรอบกายของเขาก็เข้มข้นขึ้นก่อนจะระเบิดพลังพุ่งออกไป….