ตอนที่ 759 เหล่าลูกศิษย์

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 759 เหล่าลูกศิษย์

เมื่อใดที่ย่างเข้าวันแรกของรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สิบเอ็ด สำหรับราษฎรแห่งราชวงศ์หยูนี่จึงจะถือว่าเป็นปีใหม่อย่างแท้จริง

ในรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สิบ ราษฎรส่วนใหญ่มีรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่าปีก่อน ๆ และปีใหม่ในปีนี้พวกเขาก็ยังรู้สึกมีความสุขมากยิ่งกว่าในอดีตเสียอีก

ปีนี้อั่งเปาที่จวนติ้งอันป๋อก็ได้แจกจ่ายให้แก่ทุกคนในจวนมากกว่าปีที่แล้ว หนึ่งเพราะอุตสาหกรรมซีซานใหญ่โตขึ้น สองเพราะจวนติ้งอันป๋อมีคุณชายเพิ่มมา 2 คน และคุณหนูเพิ่มมาอีก 1 คนนั่นเอง

เริ่มต้นวันแรกของเดือนหนึ่งฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ปฏิบัติเหมือนปีที่ผ่าน ๆ มาคือนำของขวัญชิ้นโตไปเยี่ยมเยียนมิตรสหายและไปทานข้าวที่วังเตี๋ยอี๋ จวนต่ง จวนอัครมหาเสนาบดี รวมไปถึงตำหนักขององค์หญิงใหญ่

ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมแม้แต่การพบปะกับฮ่องเต้ พ่อตาและลูกเขยยังร่วมดื่มด่ำและสนทนากันอย่างสนุกสนาน

กล่าวได้ว่า ราษฎรในเมืองหลวงมิได้รู้สึกถึงความแตกต่างเลยสักนิด ขุนนางระดับสูงที่อยู่ในจินหลิง พวกเขาก็มิได้รู้สึกถึงบรรยากาศที่ผิดแปลกไปจากอดีตด้วยเช่นกัน

แม้แต่องค์หญิงใหญ่หยูซูหรงก็ยังลอบถอนหายใจ คิดว่าเยี่ยงไรก็เป็นพ่อตากับลูกเขยและในท้ายที่สุดฮ่องเต้ย่อมต้องดูสถานการณ์โดยรวมเอาไว้ก่อน

ดังนั้นเมืองหลวงที่ใหญ่โตนี้ จึงมีเพียง 3 คนเท่านั้นที่ตระหนักถึงพายุลูกใหญ่ซึ่งก่อตัวอยู่เบื้องหลังทะเลอันเงียบสงบนี้…

พวกเขาคือเยี่ยนเป่ยซี ต่งคังผิง และฮองเฮาซั่ง

……

……

วันที่สามเดือนหนึ่ง หิมะตกโปรยปราย

ณ จวนติ้งอันป๋อ ในที่สุดฟู่เสี่ยวกวนก็เสร็จธุระในการเข้าคำนับผู้ใหญ่เนื่องในวันปีใหม่เสียที และในยามนี้เขากำลังนั่งอยู่กับหนิงซือเหยียนในศาลาเถาหราน

“ดังนั้นเจ้าต้องเรียนรู้วาจาและการกระทำของข้า เพราะอย่างน้อยก็ต้องทำให้คนที่มิค่อยคลุกคลีกัน มิสามารถแยกออกได้”

หนิงซือเหยียนตื่นตกใจมากยิ่งนัก “ความสูงของพวกเรามิได้แตกต่างกันมากนักก็จริง แต่ทว่าร่างกายของข้าใหญ่กว่าท่าน นอกจากนี้หน้าตาก็ยังแตกต่างกันมากโข ท่านจะแก้ไขเรื่องนี้เยี่ยงไร ? ”

“เจ้ามิต้องกังวลเรื่องรูปร่างหน้าตาหรอก เจ้าร่างใหญ่กว่าข้าเสียที่ไหนกันเล่า ? ข้าก็เป็นผู้ฝึกตนดังนั้นสวมชุดที่หลวมหน่อยก็ใช้ได้แล้ว ที่สำคัญคือการเลียนแบบกิริยาท่าทางของข้าต่างหาก… เรื่องนี้มีเพียงเจ้าและข้าเท่านั้นที่รู้ ดังนั้นเจ้าจะปริปากบอกผู้ใดมิได้เป็นอันขาด ! ”

องค์ชายผู้นี้คิดจะทำอันใดกันแน่ ?

หรือเขากำลังคิดจะไปขโมยสตรีในเมืองจินหลิงอีกกัน เขาจะแบกภรรยาจำนวนมากไปที่ราชวงศ์อู๋ด้วยเยี่ยงนั้นหรือ ?

มิใช่ เขาได้ทำเรื่องของซือหม่าเช่อและสวี่ซินเหยียนให้ถูกต้องที่เขตหนิงซานแล้ว เขาคือคนที่จะขึ้นเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไป ดังนั้นสามพระตำหนักหกหมู่เรือนเจ็ดสิบสองพระสนมถือเป็นเรื่องปกติ และในตอนนี้เหล่าฮูหยินและอนุของเขาก็ได้มีการเตรียมใจเอาไว้แล้วเช่นกัน เขาจะทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ เพื่อขโมยสตรีเนื่องด้วยเหตุอันใดกัน ?

“เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจะทราบเอง อย่าได้คิดไปเรื่อยเปื่อยเพราะเจ้ามีเวลาเพียง 7 วันเท่านั้น ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเจ้าจงเฝ้ามองข้าให้มาก”

“ได้ ! ”

หนิงซือเหยียนมิเข้าใจ แต่รู้สึกว่าน่าสนใจยิ่ง

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้กล่าวอันใดอีก เพราะเขากำลังรอคอยบุคคลอีกกลุ่มหนึ่ง

เพียงมินานซูเจวี๋ยก็ได้พาลูกศิษย์สำนักเต๋าจำนวนหนึ่งและศิษย์พี่สามมาถึงศาลาเถาหราน

ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นต้อนรับ จากนั้นก็กวาดสายตามองไป อ่า…หายไป 1 คน

“ศิษย์พี่เจ็ดซูหยางหยางเล่า ? ”

ซูเจวี๋ยขยับหมวก “ศิษย์น้องเจ็ดมีธุระเขาได้รับคำสั่งจากท่านอาจารย์ จึงเดินทางออกจากจินหลิงแล้ว พวกเราก็มิทราบเช่นกันว่าไปที่ใด”

“ถ้าเช่นนั้นศิษย์พี่ศิษย์น้องทุกท่านโปรดนั่งลงเถิด ! ”

ทันทีที่เกาหยวนหยวนนั่งลงก็ได้ยกสองมือขึ้นและเกือบจะทุบลงกับโต๊ะหินนี้ “แหะแหะ” เขาหัวเราะแห้ง ๆ อย่างขออภัย “ท่านอาจารย์ต้องพบหลุมฝังศพอีกเป็นแน่ ท่านต้องเรียกศิษย์น้องเจ็ดไปขุดหลุมฝังศพนั่นอย่างแน่นอน”

ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้นึกถึงความสามารถทางอวัยวะที่ยอดเยี่ยมของศิษย์น้องเจ็ดซูหยางหยางขึ้นมา ในตอนที่เขาได้ยินคำเอ่ยนี้ของเกาหยวนหยวน เขาก็มิได้สงสัยอันใดอีก จึงเอ่ยถามต่อว่า “ได้ยินว่าฝ่าบาทจะตั้งสำนักเต๋าเป็นศาสนาประจำชาติ โดยมีศิษย์พี่รองเป็นศาสดารุ่นแรกเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

เกาหยวนหยวนแสยะยิ้ม ดวงตาเล็ก ๆ คู่นั้นหายไปในชั้นไขมัน “ท่านอาจารย์ยังมิกลับอาราม ศิษย์พี่ใหญ่ก็มิมีเวลา ส่วนศิษย์น้องที่เหลือก็มิยินยอม การได้เป็นศาสนาประจำชาตินั้น เป็นสิ่งที่ท่านอาจารย์รอคอยที่สุดจึงมิสามารถผลักออกไปได้ ดังนั้นข้าจึงต้องรับหน้าที่นี้ แต่ก็ยังดีที่มิใช่ขุนนางของราชสำนักและมิได้แตกต่างไปจากก่อนหน้านี้เลยสักนิด”

“บัดนี้สำนักเต๋าสร้างเพิ่มไปกี่แห่งแล้ว ? ”

“สำนักเต๋าหนานซานยังสร้างมิเสร็จเลย ท่านอาจารย์ก็ยังมิกลับมา ข้ามิมีเงิน ส่วนวิธีการฝึกจะเป็นแบบใด ต้องรอให้อาจารย์กลับมากำหนดอีกครา”

ระหว่างที่เอ่ยนี้ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้จ้องมองสีหน้าของเกาหยวนหยวนตลอดเวลา เมื่อมิเห็นความแตกต่างจึงพลันบังเกิดความสบายใจขึ้นมา

จากนั้น เขาย่อมเอ่ยถึงสำนักมือปราบหกประตูและยุทธภพ

ซูเจวี๋ยค่อนข้างปลง “เดิมทียุทธภพของราชวงศ์หยูก็แห้งเหือดไปแล้ว ผู้มีฝีมือระดับสูงของยุทธภพสามพันกว่าคน ล้วนไปเป็นทหารดาบเทวะกองทัพที่สาม มีชาวยุทธนับหมื่นคนที่ได้รับป้ายแต่ก็เลือกที่จะละทิ้งไป พวกเขาเอ่ยว่าทั่วทุกหนแห่งไร้ความวุ่นวายก็สู้ใช้โอกาสดีนี้ไปหาเงินเข้าบ้านมิดีกว่าหรือ”

“นอกจากนี้ชาวยุทธที่มิยอมขึ้นทะเบียนรับป้ายก็ได้ออกไปจากราชวงศ์หยูแล้ว ส่วนมากไปยังแคว้นอี๋และราชวงศ์อู๋ บัดนี้สำนักมือปราบหกประตูที่เคยตามจับกุมพวกอันธพาลจากยุทธภพ ได้กลายเป็นผู้ช่วยของจวนผู้ว่าจินหลิงในการทำคดีไปเสียแล้ว…”

ซูเจวี๋ยส่ายหน้าไปมา “การจัดการคดีนั้นแสนน่าเบื่อ ข้าตัดสินใจจะลาออกจากตำแหน่งขุนนางทันทีที่เปิดประชุมราชสำนัก จากนั้นก็จะขอติดตามเจ้าต่อไป แต่หากเจ้ามิต้องการข้าก็จะพาศิษย์พี่สามของเจ้ากลับสำนักเต๋าเสีย”

“มิได้ดั่งใจเยี่ยงนั้นหรือ ? ” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถามด้วยอารามตื่นตกใจ

“มิได้ดั่งใจเพราะมีเรื่องวุ่นวายมากจนเกินไป จนไร้เวลาฝึกตน ยิ่งไปกว่านั้นข้ารู้สึกว่ามิค่อยเหมาะกับตนเองสักเท่าใดนัก”

สายตาของฟู่เสี่ยวกวนกวาดมองไปทางศิษย์พี่รองเกาหยวนหยวน ศิษย์พี่สี่ซูปิงปิงและศิษย์พี่ห้าซูเตี่ยนเตี่ยน “พวกท่านก็คิดเช่นนี้หรือ ? ”

ทั้งสามคนพยักหน้าโดยพร้อมเพรียงกัน “มิน่าสนใจ กฎระเบียบก็มากจนเกินไป สำนักเต๋ายังมีอิสระมากกว่าอีก”

ฟู่เสี่ยวกวนนิ่งเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นเอ่ยกับซูเจวี๋ยว่า “ต่อให้มิทำแล้วก็ขอให้เหล่าศิษย์พี่ใหญ่อยู่ที่จินหลิงชั่วคราวก่อน จงพักที่จวนของข้า เพราะในช่วงหลายวันนี้ข้ามีเรื่องจะไหว้วานพวกท่าน”

“ท่านอาจารย์ได้ส่งจดหมายมากำชับข้าแล้วว่า ให้เชื่อฟังศิษย์น้องเล็ก”

“ดี… ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนคาดว่าหลังจากที่ตนไปจากจินหลิง ก็จะขอให้เหล่าศิษย์พี่ช่วยดูแลจวนต่งและจวนอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนสักหน่อย มิได้กลัวหรอกแต่เผื่อไว้ก็ดีมิใช่หรือ

แม้ว่าเมื่อคืนวาน หัวหน้าราชองครักษ์ของเมืองหลวงฮั่วหวยจิ่นจะพาองค์หญิงสามหยูชิงหลานมาเยี่ยมเขาแล้วก็ตาม แต่ทว่าในสายตาของฟู่เสี่ยวกวน นี่เป็นเพียงมิตรภาพระหว่างทั้งสองเท่านั้น

มิตรภาพนี้เมื่ออยู่ภายใต้ขอบเขตคุณธรรมของแคว้น เมื่ออยู่ภายใต้พระราชโองการของฮ่องเต้ เขาย่อมมิอาจขัดขืนได้อีกต่อไป

แต่เหล่าศิษย์พี่แตกต่างออกไป พวกเขามิได้อยู่ในการควบคุมของราชสำนัก หากมีวันนั้นขึ้นมาจริง ๆ พวกเขาย่อมกล้าถือดาบเข้าเผชิญหน้ากับฝ่าบาท

ส่วนสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนกังวลที่สุดคือการลอบสังหาร… หากลามไปถึงขั้นถูกราชองครักษ์ค้นบ้านและยึดทรัพย์ เยี่ยงนั้นก็จะกลายเป็นสถานการณ์ปลาตายตาข่ายขาดในทันที

หากฮ่องเต้ใช้วิธีลอบสังหาร ก็ย่อมมิอาจทำอันใดเขาได้ เพราะฟู่เสี่ยวกวนเองก็ได้จัดเตรียมแผนการโต้กลับเอาไว้แล้วเช่นกัน

“ศิษย์น้องแปดซูม่อส่งจดหมายมาแจ้งว่าราวเดือนสิบ เยี่ยนถาวฮวาภรรยาของเขาได้ตั้งครรภ์แล้ว เดิมทีข้าคิดว่าภูเขาหมินหนาวเหน็บจนเกินไป จึงต้องการให้เขาส่งเยี่ยนถาวฮวากลับมายังจินหลิง แต่ทว่าจนถึงบัดนี้ก็ยังมิพบนาง จึงคาดว่านางคงมิยินยอมที่จะจากมา”

เมื่อฟู่เสี่ยวกวนได้ยินซูเจวี๋ยกล่าวเช่นนี้ก็ชะงักงันไปชั่วครู่… ตอนนี้ดาบเทวะกองทัพที่สามได้ออกเดินทางแล้ว ต่อจากนี้ยังมีงานที่อันตรายรออยู่…

“ศิษย์พี่ใหญ่ช่วยข้าส่งจดหมายหาซูม่อด้วยเถิด ! ”

“ได้ ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนนำดินสอถ่านออกมาเขียนบนกระดาษด้วยใบหน้าเคร่งเครียดอย่างถึงที่สุด ‘รีบส่งถาวฮวามาที่จวนของข้า นี่คือคำสั่ง ! ’