ตอนที่ 760.1 บักฮื้อ ( 1 )

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 760 บักฮื้อ ( 1 )

อีกหลายวันต่อมา ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เดินทางออกจากจวนติ้งอันป๋อไปยังที่ใดอีก

เขาปฏิเสธคำเชิญของเยี่ยนซีเหวินและคนอื่น ๆ อย่างไรเยื่อใย โดยให้เหตุผลว่าอยากอยู่กับครอบครัว

เขาอยากอยู่กับครอบครัวอย่างแท้จริง

อากาศแบบนี้ หากได้จุดเตาผิง นั่งเล่นไพ่นกกระจอก ทานหม้อไฟพร้อมโอบกอดภรรยาทั้งหลายไปด้วย หันไปหยอกล้อลูก ๆ บ้างบางครา ช่างมีความสุขมากยิ่งนัก

ชีวิตอันสงบสุขมักจะผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ วันเวลาดำเนินมาถึงวันที่เก้า เดือนหนึ่ง รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สิบเอ็ด

วันนี้ในยามอู่ ฟู่เสี่ยวกวนมิได้นั่งเล่นไพ่นกกระจอกกับภรรยาทั้งหลายอีก

เขาเรียกหยูเวิ่นหวินและคนอื่น ๆ มารวมตัวกันที่หลีเฉินซวน พวกนางนั่งรายล้อมเต็มโต๊ะ

“เทศกาลปีใหม่นี้…นับว่าผ่านไปด้วยดี บัดนี้ข้าจะเอ่ยกับพวกเจ้าถึงเรื่องสำคัญยิ่งเรื่องหนึ่ง”

ประโยคที่ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยออกมาทำให้ทุกคนหุบปากลง จากนั้นก็จ้องมองไปทางเขา โดยเฉพาะต่งชูหลานที่ขมวดคิ้วแน่นด้วยความเป็นกังวล

“ในเดือนเก้าของปีนี้ ช้าสุดคือวันที่สิบห้า พวกเจ้าทุกคนต้องเดินทางไปยังเมืองกวนหยุนแห่งราชวงศ์อู๋ ! ”

เรื่องนี้นับว่ากะทันหันมากเสียทีเดียว เนื่องจากมิเคยมีผู้ใดเกริ่นเอาไว้ก่อนเลยสักครา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหยูเวิ่นหวินและเยี่ยนเสี่ยวโหลวที่ได้กลับไปเยี่ยมจวนของตนอยู่บ่อย ๆ แต่พวกนางกลับมิเคยได้ยินผู้ใดในจวนเอ่ยถึงเรื่องนี้ออกมาเลยสักครา ราวกับว่ามิมีผู้ใดรับรู้เช่นกัน

ในเมื่อฟู่เสี่ยวกวนประกาศเรื่องนี้ออกมา ย่อมหมายความว่าเขาได้ตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว แม้ลึก ๆ ในใจของพวกนางจะตระหนักได้ว่าเยี่ยงไรเสียสักวันหนึ่งก็ต้องเดินทางไปยังราชวงศ์อู๋ แต่จากแผนการเดิมของฟู่เสี่ยวกวนคือพวกนางน่าจะได้อยู่ในราชวงศ์หยูอีกสักปีหรือสองปีมิใช่หรือ

“เหตุใดจึงต้องไปอย่างเร่งรีบด้วยเล่า ? ”

“พวกเจ้ามิต้องกังวลอันใดไปหรอก แผนการที่วางเอาไว้อาจจะกระชั้นชิดกว่าเดิมเนื่องจากมีเหตุผลให้ต้องเดินทางล่วงหน้า”

“ข้าได้ทูลฝ่าบาทเรียบร้อยแล้ว และฝ่าบาทก็ทรงอนุญาตแล้วเช่นกัน ดังนั้นต่อจากนี้…” ฟู่เสี่ยวกวนหันไปมองต่งชูหลานแล้วเอ่ยต่อว่า “ต่อจากนี้ต้องส่งตัวหลงจู๊ทั้งสี่ของตระกูลหลี่อีกทั้งยังมีหลี่จินโต้วไปยังราชวงศ์อู๋”

ต่งชูหลานนิ่งเงียบอยู่ชั่วครู่เนื่องจากประโยคที่ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยมามิถูกต้อง เมื่อครู่เขาเอ่ยว่าพวกเจ้าทุกคนจะต้องเดินทางไปยังราชวงศ์อู๋ ณ เมืองกวนหยุน

ดังนั้นนางจึงเอ่ยถามขึ้นมาว่า “ท่านมิเดินทางไปพร้อมกับพวกเราเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“หลังจากพวกเจ้าจากไปแล้ว ข้ายังมีเรื่องบางอย่างที่ต้องจัดการ อีกอย่างหนึ่งที่ว่อเฟิงเต้ายังมิเป็นรูปเป็นร่าง ข้าคาดว่าจะเดินทางกลับไปยังราชวงศ์อู๋ราวปลายปี ซึ่งพวกเจ้าก็จะเดินทางไปก่อนข้าเพียงสองหรือสามเดือนเท่านั้น”

ต่งชูหลานกัดริมฝีปากเบา ๆ และพยายามครุ่นคิด อืม…ช่างสมเหตุสมผลยิ่ง นางจึงมิได้สงสัยในเรื่องใดอีก “แล้วอุตสาหกรรมในตระกูลจะทำเยี่ยงไร ? ”

“ถวายให้แก่องค์ฮ่องเต้”

ต่งชูหลานขมวดคิ้วมุ่น จากนั้นก็หันไปสบสายตากับหยูเวิ่นหวินที่ได้เอ่ยขึ้นมาว่า “ข้ามิเห็นด้วย เพราะนี่คือทรัพย์สมบัติของตระกูลฟู่ของพวกเรา แม้ขายออกไปในราคาที่ต่ำที่สุด ก็ยังได้อย่างน้อยหลักหมื่นตำลึง ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนลอบยิ้มอยู่ในใจ “ถ้าเช่นนั้นก็ทำตามที่พวกเจ้าเห็นชอบเถิด”

เขาคิดในใจว่าหากฮ่องเต้ยอมเดินตามหมากกระดานนี้ ราชวงศ์หยู… ฮึ ! ข้าคงได้กลับมาอีกคราเป็นแน่

ต่งชูหลานรีบคำนวณเงินอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เอ่ยกับเยี่ยนเสี่ยวโหลวว่า “วันรุ่งขึ้นเมื่อธนาคารซื่อทงเปิดทำการ หุ้นที่อยู่ในมือของพวกเราทุกหุ้นจงทำการขายออกไป… วันพรุ่งนี้ข้าจะเดินทางไปยังธนาคารซื่อทงเสียหน่อย”

ฟู่เสี่ยวกวนมิรู้ว่าต่งชูหลานจะเดินทางไปที่ธนาคารซื่อทงเพื่อกระทำการใดและเขาก็มิได้เอ่ยถาม จากนั้นต่งชูหลานก็ได้เอ่ยถึงเรื่องพื้นที่ในเขตสลัมขึ้นมา “เดิมทีพื้นที่แห่งนั้นก็ได้ตั้งใจไว้ว่าจะเริ่มก่อสร้างหลังจากปีใหม่ คาดว่าคงมิทันแล้ว แต่เรื่องนี้ต้องมีคนเข้ามารับช่วงต่อ… เวิ่นหวิน เจ้าลองหาเวลาไปเข้าเฝ้าองค์หญิงใหญ่ จากนั้นก็บอกถึงแผนการของพวกเราให้พระองค์ทราบ”

“อืม” หยูเวิ่นหวินตอบรับในทันใด จากนั้นต่งชูหลานก็ได้เอ่ยถึงอุตสาหกรรมอื่น ๆ รวมถึงร้านค้าที่อยู่ในเมืองจินหลิงและอาคารพาณิชย์ทั้งสองนั้นด้วย

“พวกเราสามารถทดลองใช้วิธีการประมูลเพื่อขายทอดออกไป เนื่องจากเรื่องที่พวกเราจะเดินทางออกจากราชวงศ์หยู คาดว่าผู้อื่นคงทราบดี”

“เมื่อพวกเขารู้เรื่องแล้วคงตั้งใจกดราคาให้ต่ำลง”

“ก็มิเป็นไร เนื่องจากพวกเรามิกังวลเรื่องกำไร เพียงแค่ได้ต้นทุนกลับมาก็เกินพอแล้ว”

“แล้วที่เหมืองทองจะทำเยี่ยงไร ? ” เยี่ยนเสี่ยวโหลวเอ่ยถาม ด้านต่งชูหลานยืนกอดอกแล้วเอ่ยว่า “ด้านเหมืองทองนั้นมิอาจทำอันใดได้ คงต้องมอบให้ฮองเฮาซั่งเป็นสินน้ำใจ”

หนานกงตงเซวี๋ยตั้งใจฟังอย่างละเอียด บัดนี้นางเพิ่งรับรู้ว่าธุรกิจของจวนฟู่นั้นมีมากมายเพียงใด !

และสตรีทั้งสามนางที่ได้เข้ามาอยู่ในจวนฟู่ตั้งแต่แรกเริ่ม แต่ละนางล้วนมิธรรมดา !

โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่งชูหลานที่มีความเข้าใจเกี่ยวกับอุตสาหกรรมในจวนฟู่และบัญชีทั้งหมดอย่างยอดเยี่ยม ราวกับว่านางมีสมุดบัญชีอยู่ในสมองและสามารถเอ่ยออกมาได้อย่างฉะฉาน

สิ่งนี้ทำให้หนานกงตงเซวี๋ยเกิดความกดดันยิ่ง เพิ่งรู้ว่าการที่พวกนางนั่งเล่นไพ่นกกระจอกแล้วหัวเราะไปวัน ๆ สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น

ซูซูเบิกตาโพลง จ้องมองด้วยอารามประหลาดใจ

จางเพ่ยเอ๋อร์เองก็ตื่นตกใจมากเช่นกัน เวลาเพียงแค่สองปีบุตรชายพ่อค้าที่ดินผู้นี้กลับกลายเป็นพ่อค้าผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์หยูไปได้ !

สวี่ซินเหยียนยกยิ้มขึ้นอย่างอ่อนโยน เพราะมิได้คิดอันใดเนื่องจากที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ดีมากแล้ว

อ่า…จริงสิ สวี่ซินเหยียนนึกถึงสตรีผู้แข็งแกร่งอีกคนหนึ่งได้ ซือหม่าเช่อผู้นั้นมิรู้ว่าเขาจะจัดการเยี่ยงไร

พวกนางใช้เวลาเจรจากันถึง 3 ชั่วยาม

ท้ายที่สุดต่งชูหลานจึงได้รวบรวมข้อมูลและสรุปสั้น ๆ อีกทั้งยังอธิบายถึงระยะเวลาที่ต้องใช้เสร็จสรรพ

“พี่น้องทุกท่าน เรื่องนี้ขอให้ปฏิบัติตามนี้…” ต่งชูหลานเงยหน้าขึ้นมองฟู่เสี่ยวกวน จากนั้นก็เอ่ยถามว่า “ท่านจะเดินทางไปว่อเฟิงเต้าเมื่อใด ? ”

“พรุ่งนี้ยามเช้า”

“…ต้องไปอย่างเร่งรีบถึงเพียงนี้เชียวหรือ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนยกยิ้มให้พวกนางด้วยความละอายใจ “เนื่องจากเรื่องในว่อเฟิงเต้ามีมากมายจนเกินไป หากข้าจัดการได้อย่างราบรื่นและรวดเร็วก็จะสามารถทูลลาฝ่าบาทได้เร็วขึ้นด้วย”

อืม… ดูเหมือนจะเป็นเยี่ยงที่เขาเอ่ยจริง ๆ ต่งชูหลานจึงมิได้ครุ่นคิดเรื่องนี้อีก จากนั้นนางจึงหันไปกำชับกับเสี่ยวเซวี๋ยว่าคืนนี้ให้ทางห้องครัวทำอาหารมากกว่าเดิมสักหน่อย

ทันใดนั้นเองเจี่ยหนานซิงก็เดินตรงเข้ามาแล้วเอ่ยว่า “ทูลองค์ชาย ท่านเสนาบดีสวี่ต้องการเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”

……

……

ณ ศาลาชิงซิน

สวี่หวยซู่ยังคงสวมชุดไว้ทุกข์ ในมือของเขาถือบักฮื้อเอาไว้และได้นั่งลงฝั่งตรงข้ามกับฟู่เสี่ยวกวน

“คิดว่าเจ้าจะเดินทางมาจวนสวี่บ้างเสียอีก”

“ข้าเพิ่งกลับมาจึงยังมิได้เดินทางออกไปจากจวน ข้ามิรู้จริง ๆ ว่าท่านตาเสียชีวิตแล้ว”

“สิ้นเมื่อตอนปีใหม่ เจ้าเดินทางไปทุกที่ยกเว้นจวนสวี่”

“…เช่นนั้นข้าจะขอทานอาหารเหล่านี้แทนสุราเพื่อลงโทษตนเองสามจอก ! ”

สวี่หวยซู่สูดหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยว่า “ตะกละ ! ข้ารู้ว่าเจ้ามีอคติต่อจวนสวี่ เรื่องนี้จึงมิอาจโทษเจ้าได้”

“แล้วควรโทษผู้ใดเล่า ? ”

สวี่หวยซู่นิ่งเงียบมิได้ตอบกลับแต่อย่างใด เขายื่นบักฮื้อส่งให้พร้อมกับเอ่ยว่า “ก่อนที่ท่านตาของเจ้าจะจากไป ท่านได้กำชับก่อนสิ้นลมแล้วว่าให้นำของสิ่งนี้มามอบให้แก่เจ้า”

ฟู่เสี่ยวกวนรับมันมาจากนั้นก็ลูบลงไป ปรากฏความเย็นและลื่น แต่ก็มิรู้หรอกว่าของสิ่งนี้คืออันใดกันแน่

“มิมีเรื่องอื่นจะบอกแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? อย่างเช่นเรื่องของมารดาข้า ? ”

สวี่หวยซู่ส่ายศีรษะ ครุ่นคิดจากนั้นก็เอ่ยออกมาเพียงประโยคเดียวว่า “แท้ที่จริงแล้ว…สมองของมารดาเจ้า” สวี่หวยซู่ชี้ไปที่ศีรษะของตน “สมองของนางมีปัญหา”

ฟู่เสี่ยวกวนชะงักงันทันใด สตรีผู้เปี่ยมไปด้วยความสามารถแห่งเมืองจินหลิงในอดีต เจ้ากลับบอกว่าสมองของนางมีปัญหาเยี่ยงนั้นหรือ ?

“นี่คือความลับ เพราะมารดาของเจ้ามิปกติตั้งแต่ยังเยาว์ แท้ที่จริงก็มิได้มีปัญหามากนักหรอก ทว่านางเพียงแค่ชอบเอ่ยวาจาไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น”

“นางเอ่ยว่าเยี่ยงไรบ้างหรือ ? ”

“ข้าจำได้ว่านางมักจะนั่งอยู่ข้าง ๆ ต้นหลิวในสวน จากนั้นก็จะมองไปยังสระน้ำพร้อมกับเอ่ยว่า… สระน้ำใต้ร่มเงาของต้นไม้มิใช่น้ำพุใสแต่ฉายภาพสะท้อนรุ้งบนท้องนภา สาหร่ายที่อยู่ภายใต้น้ำแกว่งไปมาทำให้สายรุ้งสะเทือน ราวกับภาพสายรุ้งในความฝัน… ในตอนนั้นนางเพิ่งอายุ 6 ปี แต่กลับเอ่ยประโยคแปลก ๆ เหล่านี้ออกมา เจ้ามิคิดว่านางผิดปกติหรือ ? ”

“นางเอ่ยว่าอันใดอีกบ้าง ? ”

บัดนี้ในใจของฟู่เสี่ยวกวนได้บังเกิดคลื่นขนาดมหึมา !