ตอนที่ 142-4 ไม่ใช่มิตร ก็คือศัตรู

จำนนรักชายาตัวร้าย

“ขออภัยด้วย ท่านประมุข ข้าเสียมารยาท!” หลิวอ้าวกว๋อเสหน้าไปอีกด้าน แล้วยกแขนขึ้นใช้ชายแขนเสื้อเช็ดน้ำตาออกไป

 

 

“ธรรมดาของมนุษย์ที่ย่อมต้องมีอารมณ์และความรู้สึก!” ซย่าโหวฉิงเทียนกล่าว

 

 

“หากว่าท่านมีเวลา ก็พักอยู่ที่นี่สักสองสามวัน ขอเพียงแค่อย่าถ่วงเวลารักษาอาการป่วยของหลิวเซิ้งก็พอ!”

 

 

“เจ้าล้มป่วยหรือ?”

 

 

ฉับพลันหลิวอ้าวกว๋อก็ลืมไปเสียสนิทว่าที่ตนเองมาวันนี้ก็เพราะมีเรื่องสำคัญจะต้องหาหรือกับซย่าโหวฉิงเทียน เขารีบเดินเข้าไปสำรวจหลิวเซิ้งตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ถึงพบว่าดวงตาทั้งสองข้างของหลิวเซิ้งแปลกออกไปขณะที่มองมายังผู้คน

 

 

“หลิวเซิ้ง ดวงตาของเจ้าเป็นอะไรไป?”

 

 

“ถูกพิษ”

 

 

หลิวเซิ้งเล่าเรื่องที่หลิวอ้าวหลานทายาพิษ ‘กวนอิมยิ้ม’ เอาไว้บนกระบี่ออกมาให้หลิวอ้าวกว๋อฟังทั้งหมดอีกครั้ง

 

 

“เขาเอง? ไอ้คนเลว!” นับตั้งแต่ที่รู้ว่าหลิวอ้าวหลานสังหารพี่รองของเขา หลิวอ้าวกว๋อก็แค้นเคืองเขายิ่งนัก

 

 

ตอนนี้ยังมารู้อีกว่าเป็นหลิวอ้าวหลานอีกเช่นกันที่ทำร้ายหลิวเซิ้งจนตาบอดทั้งสองข้าง ทำให้หลิวอ้าวกว๋อยิ่งคลั่งแค้นโกรธเคืองเขาเข้าไปอีก

 

 

“ท่านปู่สาม ท่านมาวันนี้ก็เพื่อชำระแค้นให้กับหลิวอ้าวหลานอย่างนั้นหรือ?” หลิวเซิ้งเอ่ยขึ้น

 

 

“หาเรื่อง?” เมื่อได้ยินคำๆนี้ หลิวอ้าวกว๋อก็รีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธทันที

 

 

“ไม่ใช่ๆ! ข้ารับคำสั่งจากท่านประมุขของเรา ให้มาขอร่วมมือเป็นพันธมิตรกับประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋น?”

 

 

“ร่วมมือ?”

 

 

เรื่องนี้ทำเอาคนหนุ่มสาวทั้งสามที่อยู่ ณ ที่นั้นตกใจไม่น้อย

 

 

‘หลิวอวี๋เซิง บิดาถูของเขาถูกฆ่าตายทั้งคน เขากลับไม่แก้แค้น ตรงกันข้ามกลับมาขอร่วมมือกับศัตรู?’

 

 

‘สมองเขากลวงไปแล้วหรืออย่างไรกัน?’

 

 

‘หรือว่า หลิวอวี๋เซิงอยากจะให้หลิวอ้าวหลานตายๆไปเสียตั้งแต่แรก บัดนี้เรื่องราวเป็นไปตามที่เขาคาดหวังเอาไว้แล้ว จึงรู้สึกซาบซึ้งซย่าโหวฉิงเทียนจากใจจริง?’

 

 

ในเมื่อหลิวเซิ้งหยิกยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดตรงๆ หลิวอ้าวกว๋อก็ไม่ปิดบังใดๆอีกต่อไป เขาเอ่ยกล่าวแผนการของหลิวอวี๋เซิงออกไปให้พวกซย่าโหวฉิงเทียนได้รู้ทันที

 

 

“ความหมายของประมุขสกุลหลิวก็คือ หลิวอ้าวหลานถูกสุ่ยเจ๋อซียุยงปลุกปั่น ดังนั้นคนที่สมควรตายควรจะเป็นสกุลสุ่ย?”

 

 

เมื่ออวี้เฟยเยียนได้ฟังคำของหลิวอ้าวกว๋อ นางก็รู้เปรมปรีดิ์ขึ้นมาทันที

 

 

‘คนพวกนี้ มีความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้มากมายมหาศาลจริงๆ!’

 

 

‘ตอนนี้หลิวอวี๋เซิงหันไปหมายหัวสกุลสุ่ย โดยต้องการร่วมมือกับซย่าโหวฉิงเทียนล้มล้างสกุลสุ่ย’

 

 

ได้ฟังความคิดเห็นด้วยเสียงอันนุ่มนวลเจื้อยแจ้วเยาว์วัยของอวี้เฟยเยียนแล้ว ยิ่งทำให้หลิวอ้าวกว๋อมิกล้าที่จะมองข้ามนางเข้าไปใหญ่

 

 

“ความหมายของประมุขเราก็คือ หากการนี้สำเร็จลุล่วง เขตแดนของสกุลสุ่ยทั้งหมดเราทั้งสองฝ่ายแบ่งกันคนละครึ่ง!”

 

 

หลิวอ้าวกว๋อหยิบแผนที่ขึ้นมา แล้ววาดแบ่งอาณาเขตให้ทุกคนได้ดู

 

 

“ท่านปู่สาม ทำเช่นนี้เห็นทีจะไม่เหมาะสม!”

 

 

หลิวเซิ้งมองอาณาเขตที่หลิวอ้าวกว๋อวาดเอาไว้เมื่อครู่แล้วส่ายหน้าไปมา จากนั้นค่อยใช้มือของตนวาดวงกลมลงบนแผนที่

 

 

“เมืองลู่พวกเราไม่ต้องการ ยกให้พวกท่าน พวกเราต้องการเมืองและแม่น้ำทั้งสิบ”

 

 

โดนหลิวเซิ้งขัดคอเช่นนี้ หลิวอ้าวกว๋อถึงกับยิ้มฝืนๆ

 

 

‘เจ้าหนุ่มนี่ ตอนเป็นเด็กก็มีนิสัยแปลกประหลาดเจ้าความคิด โตขึ้นมาก็ยังเจ้าเล่ห์เพทุบายถึงเพียงนี้!’

 

 

“ท่านอย่ามองข้าด้วยสายเช่นนั้นเชียวนะ ข้านั้นจงรักภักดีต่อท่านประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นเพียงผู้เดียวมาตั้งนานแล้ว หากไม่มีท่านประมุข ข้าก็คงไม่ได้เติบใหญ่ และคงไม่ได้ฝึกวิชาจนสำเร็จได้อย่างวันนี้มีชีวิตขึ้นมาได้จนถึงวันนี้ ดังนั้นพวกเราว่ากันไปตามความจริง เรากำลังพูดถึงเรื่องงาน ไม่มีความรู้สึกมาปะปน”

 

 

หลิวเซิ้งกล่าวชี้แจงจุดยืนของตนเองออกมา

 

 

เขาไม่มีทางที่จะเห็นแก่ผลประโยชน์ของสกุลหลิวเพียงเพราะตนเองแซ่หลิว และก็จะไม่ไปจากเมืองเฮ่อกลับไปที่สกุลหลิวอย่างแน่นอน

 

 

คราวนี้ ทำเอาหลิวอ้าวกว๋อยิ่งรู้สึกเสียใจยิ่งนัก ในใจก็ยิ่งแค้เคืองหลิวอ้าวหลานมากยิ่งขึ้น

 

 

หากไม่ใช่เพราะการกระทำอันชั่วช้าสามานย์ของหลิวอ้าวหลาน เด็กคนนี้ก็คงจะไม่ต้องพลัดพรากจากบ้านของตนเองไปอยู่ข้างนอก คงจะได้เป็นสาหลักรุ่นต่อไปของสกุลหลิวไปแล้ว!

 

 

ตอนนี้ หลิวเซิ้งไม่เพียงแค่ไม่ยอมช่วยเหลือสกุลหลิว ไม่ยอมกลับสกุลหลิวเท่านั้น คิดว่าตอนนี้ ในใจของหลิวเซิ้งคงจะต้องกำลังเจ็บแค้นสกุลหลิวมากอย่างแน่นอน

 

 

“หลิวเซิ้ง เรื่องเขตแดนพวกเราสามารถหารือกันได้ เจ้า เจ้าจะไม่ยินยอมกลับสกุลหลิวกับปู่จริงๆหรือ?”

 

 

หลิวอ้าวกว๋อเดินทางมาในครั้งนี้ นอกจากมาเพื่อทำภารกิจที่หลิวอวี๋เซิงมอบหมายให้แล้ว ยังมีอีกเรื่อง นั่นก็คือเขาหวังว่าจะสามารถโน้มน้าวให้หลิวเซิ้งกลับไปยังสกุลหลิวกับตนเองได้

 

 

“เจ้ากลับไป เรียนเรื่องทั้งหมดให้บรรพชนเฒ่าได้รับรู้ ท่านจะต้องออกหน้าจัดการเรื่องนี้ให้กับเจ้าอย่างแน่นอน!”

 

 

เมื่อหลิวอ้าวกว๋อเอ่ยถึงบรรพชนเฒ่าสกุลหลิว หลิวเซิ้งก็เค้นยิ้มออกมา

 

 

“ท่านปู่สาม ด้วยอำนาจของบรรพชนเฒ่าแล้ว ในบ้านเกิดเรื่องอะไรขึ้น มีหรือที่ท่านจะไม่รู้ แต่ในตอนนั้นท่านกลับเงียบ เลือกที่จะปกปิดความผิดของหลิวอ้าวหลานเอาไว้ นั่นเท่ากับท่านทอดทิ้งข้าไปแล้ว!”

 

 

“วรยุทธ์ทั้งหมดของข้า ได้รับการสั่งสอนถ่ายทอดจากนายท่าน ไม่เกี่ยวอะไรกับสกุลหลิว”

 

 

“นับตั้งแต่นั้นข้าก็ไม่ใช่คนของสกุลหลิวอีกต่อไป! ต่อให้ภายหน้าต้องเป็นศัตรูกับสกุลหลิว ข้าก็จะไม่อ่อนข้อให้เลยแม้แต่น้อยเช่นกัน!”

 

 

คำพูดของหลิวเซิ้งกล่าวเอาไว้อย่างเด็ดขาดชัดเจน ทำเอาหลิวอ้าวกว๋อได้แต่อ้าปากพะงาบๆ คำพูดที่อยากจะพูดมาจุกอยู่ที่ลำคอจนสุดท้ายก็กลืนมันกลับเขาไปในที่สุด

 

 

ปีนั้น ครอบครัวของพี่รองถูกสังหาร ทำให้หลิวอ้าวกว๋อทั้งเจ็บแค้นทั้งแปลกใจ

 

 

‘ใครกันที่มันบังอาจ กล้าฆ่าคนในเขตของสกุลหลิวได้?’

 

 

‘ยิ่งกว่านั้น ที่ๆครอบครัวของพี่รองถูกสังหารอยู่ที่เรือนภายในจวนสกุลหลิวอีกด้วย โจรชั่วแฝงตัวเข้ามาฆ่าคนถึงในบ้านสกุลหลิว มันช่างบังอาจเหิมเกริมเกินไปแล้ว!’

 

 

ซึ่งในตอนนั้นหลิวอ้าวกว๋อเคยขอร้องให้บรรพชนเฒ่าช่วยเหลือสืบหาตัวฆาตกร นึกไม่ถึงว่าบรรพชนเฒ่ากลับเก็บตัวไม่ยอมพบเขา

 

 

ตอนนี้เมื่อได้ยินหลิวเซิ้งกล่าวถามกลับเช่นนี้ ทำเอาหลิวอ้าวกว๋อถึงกับพูดไม่ออก

 

 

เพราะสิ่งที่หลิวเซิ้งพูดมา มันก็คือความจริง!

 

 

เด็กคนนี้หัวใจแหลกสลายเจ็บปวดจนมิอาจเรียกคืนได้!

 

 

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ปู่ก็จะไม่บังคับเจ้า แต่ไม่ว่าอย่างไรสกุลหลิวก็คือรากฐานะของเจ้าอยู่ดี”

 

 

หลิวอ้าวกว๋อฟังออกถึงความเจ็บแค้นที่หลิวเซิ้งมีต่อสกุลหลิว หากว่าถึงวันที่ต้องเป็นศัตรูกันขึ้นมาจริงๆ เขาก็ไม่ต้องการให้หลิวเซิ้งเป็นอะไร

 

 

“ท่านลุงสาม รากฐานของข้าถูกตัดจนขาดสะบั้นไปตั้งนานแล้ว”

 

 

หลิวเซิ้งมิได้ให้ความหวังใดๆกับหลิวอ้าวกว๋อ

 

 

เรื่องบางเรื่องจะต้องพูดจาให้เด็ดขาดชัดเจนตั้งแต่ต้น ตัดบัวอย่าให้เหลือใย

 

 

“เจ้า——”หลิวอ้าวกว๋อชี้หน้าหลิวเซิ้ง แต่เพียงไม่นานก็ต้องลดมือลงอย่างจนใจ

 

 

“ไม่ว่าจะอย่างไร เจ้าก็ต้องคิดถึงปู่เอาไว้! เมื่อมีเวลา เจ้าจงไปเยี่ยมปู่ที่เมืองเหมยบ้าง!”

 

 

“ได้สิครับ! หลิวเซิ้งพยักหน้ารับ”

 

 

ในเมื่อพูดจากันชัดเจนแล้ว สุดท้ายหลิวอ้าวกว๋อก็ต้องแย่งแช่งเพื่อผลประโยชน์ของสกุลหลิวอยู่ดี ซึ่งหลิวเซิ้งก็ไม่มีอ่อนข้อให้เลยแม้แต่น้อย เขาเองก็พยายามปกป้องผลประโยชน์ของซย่าโหวฉิงเทียนอย่างเต็มที่

 

 

คนของหลิวสกุลหลิวทั้งสองคนถกเถียงกันหน้าดำหน้าแดง ตรงกันข้ามกลับเป็นซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนต่างหากที่มีเวลาว่างพักผ่อนได้สบายๆ

 

 

“ท่านช่างสายตาแหลมคมจริงๆ!” อวี้เฟยเยียนกระซิบบอก

 

 

“หลิวเซิ้งเก่งกาจยิ่งนัก! เขาคนเดียวสามารถจัดการอะไรได้ตั้งหลายเรื่อง!”

 

 

อวี้เฟยเยียนยกนิ้วมือขึ้นนับ

 

 

“หัวหน้าแผนกติดต่อกิจการภายนอก หัวหน้าแผนกการเงิน หัวหน้าแผนกบุคคล…เขาสามารถรับหน้าที่เหล่านี้ได้ทั้งสิ้น! มีหลิวเซิ้งอยู่ ท่านก็เบาแรงไปได้มาก!”

 

 

“หัวหน้าแผนก?”

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนรู้ดีว่านี่คือศัพท์ใหม่จากอวี้เฟยเยียน

 

 

“เขาเรียกว่า ดวงตาแหลมคมเห็นค่าเพชรในมือ”

 

 

เขาเองก็นึกไม่ถึงเช่นกัน ว่าเด็กชายตัวน้อยหน้าตามอมแมม เสื้อผ้าขาดวิ่นในวันนั้น จะเติบโตขึ้นขึ้นมาเป็นนับรบที่เก่งกาจในวันนี้ สรุปก็คือ มีหลิวเซิ้งอยู่ดูแลจัดการเรื่องเล็กๆน้อยๆหยุมหยิมเหล่านี้ ซย่าโหวฉิงเทียนก็หมดกังวลเรื่องราวหลังบ้านเหล่านี้ไปได้เลย

 

 

จัดวางให้ผู้ที่เหมาะสมกับงานทำงานนั้นๆ คือจุดเด่นอีกข้อหนึ่งของซย่าโหวฉิงเทียน!

 

 

เรื่องการสืบข่าวทั้งหมดชิงหงเป็นผู้ดูแล งานการทั้งหลายภายในบ้านให้เสวี่ยเยี่ยนจัดการ ส่วนเรื่องการเงินและเรื่องการติดต่อสื่อสารกับบุคลภายนอกมอบให้เป็นหน้าที่ของหลิวเซิ้ง

 

 

ทั้งสามคนนี้นับเป็นแขนขาอันทรงพลังของซย่าโหวฉิงเทียนทั้งสิ้น

 

 

เมื่อครั้งที่อยู่ที่ต้าโจว พวกเขาก็แบ่งงานกันทำเช่นนี้

 

 

“พวกเขารับไปทำเสียทุกเรื่อง แล้วข้าจะทำอะไร? แล้วท่านละจะทำอะไร?” อวี้เฟยเยียนกล่าวถามขึ้น

 

 

ในฐานะที่เป็นนายหญิงของบ้าน นางก็อยากที่จะแสดงความสามารถสักหน่อย

 

 

แต่หลิวเซิ้ง เสวี่ยเยี่ยน และชิงหงมีความสามารถล้นเหลือทำได้ไปเสียหมดทุกอย่าง นางไม่มีแม้กระทั่งโอกาสที่จะได้ทำด้วยซ้ำ!

 

 

“พี่รับผิดชอบรักเจ้า! เจ้าเพียงแค่รักพี่ มีเจ้าเด็กเปรตให้พี่ก็เพียงพอแล้ว!”

 

 

คำพูดหวานเลี่ยนชวนขนลุกขนพอง ทำเอาหลิวอ้าวกว๋อที่กำลังต่อรองเขตแดนอยู่กับหลิวเซิ้งได้ยินแล้วถึงกับหน้าแดงเถือกไปถึงใบหูทีเดียว

 

 

หนุ่มสาวสมัยนี้ช่างเปิดเผยยิ่งนัก!

 

 

เมื่อเห็นหลิวอ้าวกว๋อมองมายังตนเอง ซย่าโหวฉิงเทียนจึงลุกยืนขึ้น

 

 

“เงื่อนไขของหลิวเซิ้งหากท่านรับปาก เรื่องนี้ก็เป็นอันตกลง หากไม่ตกลง ก็ไม่ต้องเสียเวลาพูดกันอีกต่อไป!”

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนไม่ใช่หลิวเซิ้งที่จะมานั่งพูดให้มากความ เขาชอบที่จะพูดตรงจบเร็ว ดังนั้น จึงเอ่ยทิ้งท้ายเอาไว้เพียงประโยคเดียวว่า

 

 

“สกุลสุ่ยสมควรตาย แต่ข้าเพียงคนเดียวก็สามารถกำจัดสกุลสุ่ยได้ โดยไม่จำเป็นต้องแบ่งเขตแดนกับใคร หากพวกเจ้าต้องการร่วมมือ ก็แสดงความจริงใจของตนเองออกมา มิฉะนั้น ไม่ใช่มิตร ก็คือศัตรู”