ตอนที่ 1167 โศกเศร้า โดย Ink Stone_Fantasy

“อย่างนั้น…หรอกเหรอ? ข้าเข้าใจแล้ว” หลังฟังข่าวที่ส่งมาจากแนวหน้า โรแลนด์รู้สึกเหมือนหัวใจของตัวเองหล่นวูบไปทันที ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงพูดเสียงเบาๆ ว่า “แล้วอาการบาดเจ็บของเจ้า ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง”

หลังจากนั้นเขาก็เงียบไม่พูดอะไร

กว่าเขาจะพูดขึ้นมาอีกครั้งก็ผ่านไปหลายนาทีแล้ว “ไม่ นั่นไม่ใช่ความผิดของเจ้า ในเวลาแบบนี้จะมาพูดคำว่า ‘ถ้าหากว่า’ มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว ในเมื่อภัยตรงแนวหน้าถูกกำจัดไปแล้ว อย่างนั้นก็กลับมาพักผ่อนเถอะ”

หลังวางโทรศัพท์ไป โรแลนด์ก็นั่งพิงไปบนเก้าอี้พร้อมถอนหายใจออกมา

ไนติงเกลเหมือนจะรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง เธอไม่ได้หายตัวมาที่โต๊ะเหมือนอย่างทุกที หากแต่ค่อยๆ เดินเข้ามาหาเขา “ลีฟโทรมาเหรอเพคะ?”

“อื้อ” โรแลนด์หลับมา “สงครามจบแล้ว กองทัพที่หนึ่งยึดทาคิลามาได้โดยเสียหายไปนิดหน่อย อีกทั้งยังเจอฐานของหอคอยอะไรบางอย่างที่สร้างไปได้ครึ่งเดียวในเหมืองหินอาญาสิทธิ์ ถึงแม้แผนซุ่มโจมตีจะล้มแล้ว แต่ผู้พิฆาตเวทมนตร์ของอีกฝ่ายก็ถูกกำจัดไปเรียบร้อย คำสาปเองก็ไม่อยู่แล้ว เรียกได้ว่าในความโชคร้ายยังมีความโชคดีอยู่ เพียงแต่ว่า…” เขาชะงักไปเล็กน้อย “แอชเชสกับเอเลน่าตายอยู่ในสนามรบ”

“เจ้าบื้อ…นั่นน่ะเหรอ?” ไนติงเกลตกตะลึง ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปอีกทาง

“ได้ยินไลต์นิ่งบอกว่าแอชเชสกลายเป็นสุดยอดอมนุษย์ แล้วก็ยอมตายไปพร้อมกับปีศาจ ตรงที่ๆ ทั้งสองฝ่ายสู้กันไม่มีอะไรเหลืออยู่เลยนอกจากด้ามดาบหักๆ อันหนึ่ง

ในตอนที่เห็นหน่วยซุ่มโจมตีถูกศัตรูล้อมโจมตีผ่านจากแฟนธ่อม โรแลนด์ก็รู้แล้วว่าแผนการมีความผิดพลาด ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อดูจากการวางกำลังของปีศาจ ดูแล้วเหมือนพวกมันจะเตรียมวางแผนที่จะจัดการกับแม่มดมาโดยเฉพาะ เสียดายที่ภาพที่ฉายจากแฟนธ่อมนั้นเห็นแค่เพียงมุมๆ หนึ่งของสนามรบเท่านั้น โดยเฉพาะหลังจากที่พวกแม่มดตัดสินใจถอยไปทางตะวันตก เขาก็มองอะไรไม่เห็นอีกเลย จนทำให้เวลาวันครึ่งหลังจากนั้นเขารู้สึกร้อนใจอย่างมาก

ความจริงในตอนนั้นโรแลนด์ก็แอบคิดถึงเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้แล้ว

แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาก็เรียกได้ว่าดีกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก

แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ในตอนที่รู้ข่าวว่ามีคนเสียชีวิตไป เขากลับรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รู้สึกโล่งใจเหมือนอย่างที่คิดเอาไว้เลยแม้แต่น้อย

เพราะเขาเป็นคนอนุมัติแผนการซุ่มโจมตีนี้เอง

“ถึงแม้แอชเชสจะโอ้อวดแล้วก็โอหัง แต่อย่างน้อยนางก็จริงจังกับทุกๆ การติดสินใจของตัวเอง…” ไนติงเกลวางมือลงไปบนหลังมือของโรแลนด์ “เอเลน่าเองก็เหมือนกันเพคะ หม่อมฉันเชื่อว่าพวกนางคงเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้นานแล้ว พระองค์ไม่ต้องโทษตัวเองเพราะเรื่องนี้หรอกเพคะ”

โรแลนด์พยักหน้า จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมปีศาจถึงมองแผนการของเขาออกล่วงหน้า แล้วก็ให้ความสำคัญกับการกำจัดแม่มดมากกว่าเมืองศักดิ์สิทธิ์ทาคิลา ในฐานะที่เป็นผู้นำของแนวร่วมพันธมิตรกับเกรย์คาสเซิล เขาไม่สามารถที่จะแสดงสีหน้าท้อแท้ออกมาต่อหน้าทุกคนได้ ไม่ว่าจะเจอกับความยากลำบากหรือความทุกข์ทรมานก็ตาม

ถ้าแม้แต่เขายังตกอยู่ในสภาพแบบนั้น แล้วเขาจะไปปลอบคนที่เสียใจมากกว่าได้ยังไง?

อย่างเช่นทิลลี

นี่คือปัญหาที่ยากลำบากที่สุดสำหรับโรแลนด์ในตอนนี้

เมื่อฟังจากคำพูดของไลต์นิ่งที่ถ่ายทอดผ่านมาทางลีฟ ดูเหมือนความสัมพันธ์ของทั้งสองคนจะลึกซึ้งมากกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก ถึงแม้ตอนนั้นทิลลีจะไม่ได้แสดงสีหน้าเศร้าเสียใจออกมา อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับเรื่องการขนส่งผู้บาดเจ็บเป็นอันดับแรก แต่เธอกลับไม่สามารถปิดบังสายตาที่เหม่อลอยและไร้ชีวิตชีวาเอาไว้ได้ ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมสาวน้อยต้องแอบเอาคำสั่งเสียเหล่านั้นมาบอกเขา เกรงว่าเธอคงอยากจะให้เขาปลอบทิลลีล่ะมั้ง

แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่โรแลนด์ถนัดเลย

คงต้องว่ากันไปตามสถานการณ์ล่ะมั้ง เขาครุ่นคิด

ในบ่ายวันนี้ ซีกัลก็กลับมาถึงเมืองเนเวอร์วินเทอร์

คนที่กลับมาเป็นกลุ่มแรกคือแม่มดไม่ได้รับบาดเจ็บ หรือไม่ก็บาดเจ็บแต่รักษาหายดีแล้ว ส่วนคนที่บาดเจ็บค่อนข้างหนักยังคงต้องพักรักษาตัวอยู่ที่ค่ายทหารอีกซักระยะ เพื่อรอให้นาน่ารักษาบาดแผลให้หายสนิท

โรแลนด์พาสมาชิกที่เหลือของสโมสรแม่มดมายังลานบินเพื่อต้อนรับพวกเธอ

อันนา อกาธา มอลลี่ ฟิลลิส…ทุกคนเดินลงมาจากเครื่องบิน ก่อนจะสวมกอดกับบุ๊ค ไนติงเกล ชารอนและคนอื่นๆ ส่วนเจ้าหน้าที่ที่เป็นคนธรรมดาในสโมสรแม่มดอย่างเบลล์ เกรย์แรบบิท เพิร์ลเองก็มาเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นแม่มดสายต่อสู้หรือสายสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นแม่มดยุคใหม่หรือว่าเป็นแม่มดผู้รอดชีวิตจากยุคสมัยสมาพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นผู้ตื่นรู้หรือว่าคนธรรมดา ในเวลานี้พวกเธอล้วนแต่ไม่มีอะไรแตกต่างกัน

คนสุดท้ายที่เดินลงมาคือทิลลี

โรแลนด์เดินเข้าไปหาเธอ “เอ่อ..”

“ข้าขอคุยกับท่านตามลำพังหน่อยได้ไหม ท่านพี่?” ทิลลีเงยหน้าขึ้นมา

….

หลังกลับมาถึงห้องทำงานในปราสาท โรแลนด์สั่งกำชับไนติงเกลสองสามคำ ก่อนจะเดินไปปิดประตูด้วยตัวเอง

“เอาล่ะ ถ้าเจ้ามีอะไรอยากจะพูด…” ในขณะที่กำลังหมุนตัวกลับไป เขาพลันรู้สึกตรงหน้าอกถูกรัดแน่นขึ้นมา

“อย่าเพิ่งขยับ ข้าขอล่ะ” ทิลลีกอดเขาไว้ เสียงของเธอสั่นเล็กน้อย “ให้ข้าอยู่อย่างนี้แปบนึง แค่แปบนึงก็พอ…”

พอพูดถึงคำสุดท้าย เสียงในลำคอของเธอฟังดูเหมือนจะเป็นเสียงสะอื้นขึ้นมา นิ้วมือที่กอดอยู่ตรงด้านหลังเขาก็เริ่มกำแน่นขึ้นเรื่อยๆ คล้ายว่าเธออยากจะจิกมันลงไปในเนื้ออย่างไรอย่างนั้น

อย่างนี้นี่เอง

เธอก็เหมือนกับเขา ในฐานะที่เป็นผู้นำของมนตร์แห่งสลีปปิ้ง เธอไม่อาจแสดงความเศร้าเสียใจที่มากเกินไปออกมาต่อหน้าทุกคนได้ แต่ความรู้สึกยิ่งลึกซึ้ง เวลาที่ต้องพยายามสะกดอารมณ์มันก็ยิ่งเจ็บปวด การที่เธออดทนจนมาถึงตอนนี้ได้ก็นับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แล้ว

โรแลนด์ตบหลังเธอเบาๆ “ไม่ต้องกลั้นแล้ว ร้องออกมาเลย ที่นี่ไม่มีใครได้ยินหรอก….”

“ฮือ…ฮือ….”

ตอนนี้ทิลลีเหมือนจะพยายามสะกดกลั้นเอาไว้ แต่หลังจากนั้นเธอก็ยิ่งร้องดังขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายกลายเป็นเสียงร้องไห้คร่ำครวญแทบจะขาดใจอย่างที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน ถึงแม้จะเป็นสมัยเด็กๆ ที่เธอถูกเจ้าชายลำดับที่สี่รังแก อีกฝ่ายก็ไม่เคยเศร้าเสียใจขนาดนี้มาก่อน เหมือนว่าเธอได้สูญเสียคนที่สำคัญที่สุดไปอย่างไรอย่างนั้น ในเสียงร้องไห้เต็มไปด้วยความเจ็บปวด

จะมีหรือไม่มีคำพูดปลอบมันก็ไม่สำคัญแล้ว

สิ่งที่เขาทำได้ก็คืออยู่เป็นเพื่อนให้เธอได้ร้องไห้ระบายอารมณ์แบบนี้…

ในเวลาเดียวกัน ณ ค่ายทหารในแนวหน้าสนามรบ

ผ้าคลุมเต็นท์ถูกเปิดออก ซาวียกยาที่ต้มเสร็จแล้วเข้ามา

“ต้องกินยานี่อีกแล้วเหรอ?” แอนเดรียพูดงึมงำ ขาทั้งสองข้างของเธอถูกผ้าพันแผลพันเอาไว้แน่น บนใบหน้าก็มีแผ่นยาแปะเอาไว้เต็มไปหมด ถึงแม้มันจะไม่ได้มีผลต่อการรักษาอะไรนัก แต่อย่างน้อยความรู้สึกเย็นๆ ก็ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดไปได้บ้าง “ถ้าไม่มีน้ำตาลข้ากินไม่ลงหรอก”

“อย่างนั้น…เดี๋ยวข้าไปขอจากหน่วยพยาบาลมาให้ไหม?” ซาวีพูดอย่างลังเล

“หน่วยพยาบาลจะไปมีน้ำตาลได้ยังไงล่ะ ไม่ใช่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ซักหน่อย ช่างมันๆ ช่วยพยุงข้าหน่อย”

แอนเดรียลุกขึ้นมานั่งพร้อมรับถ้วยยาไป ก่อนจะดื่มยาขมๆ ลงไปจนหมด

“แค่กๆ นาน่ายังยุ่งอยู่เหรอ ข้าต้องรออีกนานเท่าไรถึงจะได้รักษา?”

“ข้าไปถามมาแล้ว น่าจะต้องรออีกประมาณ 3 – 4 วัน นางบอกว่าแม่มดอาญาสิทธิ์คนอื่นๆ บาดเจ็บหนักกว่าเจ้า แถมนางยังบอกอีกว่า…”

“บอกว่าอะไร?”

ซาวีพูดงึมงำ “นางบอกว่าแผลที่ขาของเจ้าดูเหมือนจะน่ากลัว แต่มันไม่อันตรายถึงชีวิต แค่ดื่มยาไปก็พอแล้ว”

แอนเดรียกรอกตาใส่ “ข้าไม่ใช่สัตว์ประหลาดกล้ามเนื้อนั่นซักหน่อย บาดเจ็บขนาดนี้จะไปหายเองได้ยังไง?”

อีกฝ่ายตาแดงขึ้นมาทันที

“เอาล่ะๆ” แอนเดรียกระแอม”คิดซะว่าข้าไม่ได้พูดอะไรแล้วกัน”

“เปล่า…” ซาวีส่ายหัว “ข้าแค่รู้สึกว่าสีหน้าของเจ้าเมื่อกี้นี้เหมือนแอชเชสเลย ข้าก็เลย….”

“ข้าเหมือนนาง? เจ้าพูดอะไรของ…” เธอกำลังจะขมวดคิ้วขึ้นมา แต่ก็พยายามฝืนกดมันลงไป เหมือนว่าถ้าพูดแบบนี้มันจะหยาบคายไปหน่อย อื้ม…ภาพพจน์ขุนนาง ภาพพจน์ขุนนาง “ข้า…แค่เหนื่อยนิดหน่อยนะ เจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ ครั้งหน้าอย่าลืมบอกไลต์นิ่งหรือไม่ก็เมซี่ก่อนนะ ให้พวกนางแวะเก็บรังผึ้งกลับมาระหว่างที่ลาดตระเวนด้วย อย่างน้อยมันก็ทำให้ข้าดื่มยานี่ได้ง่ายหน่อย”

“อื้อ เดี๋ยวข้าบอกพวกนางให้”

“ขอบคุณนะ”

หลังซาวีออกไป แอนเดรียกลับพบเธอไม่สามารถสงบอารมณ์ได้เลย

ก็รู้ว่าเป็นคนชอบอวดดี แถมยังกลายเป็นสุดยอดอมนุษย์อีก เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นราชินีสตาร์ฟอลหรือยังไง?

แล้วดูตอนนี้สิ กำจัดราชาปีศาจได้แล้ว แถมยังกลายเป็นวีรบุรุษที่ช่วยทุกคนไว้ ถ้าแค่นี้ก็ว่าไปอย่าง

เธอนอนลงไปบนเตียงอีกครั้ง ก่อนจะเอามือปิดหน้าตัวเองไว้

เจ้าบ้าเอ้ย เจ้าไม่เคยคิดบ้างหรือไง

แล้วแบบนี้ข้าจะก้าวข้ามเจ้าได้ยังไง

…………………………………………………………….