ตอนที่ 1168 เริ่มใหม่

Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ

ตอนที่ 1168 เริ่มใหม่ โดย Ink Stone_Fantasy

ทิลลีร้องไห้อยู่เกือบชั่วโมงกว่าจะหยุดลง ในตอนที่โรแลนด์จะพาเธอไปยังโซฟา เขาถึงได้พบว่าเธอหลับไปแล้ว ในขณะที่ทั้งสองแยกจากกัน น้ำตาและน้ำมูกที่จับตัวเป็นก้อนอยู่ตรงแก้มกับเสื้อผ้าของเขาถูกดึงจนยืดยาวเป็นเส้น

ท่าทางที่อ่อนแอเช่นนี้ย่อมไม่เหมาะที่จะให้แม่มดของมนตร์แห่งสลีปปิ้งได้เห็น โรแลนด์ครุ่นคิดเล็กน้อย สุดท้ายจึงเรียกอันนามา จากนั้นเขากับเธอก็ช่วยกันอุ้มทิลลีขึ้นไปยังห้องนอนใหญ่ที่ชั้นสามของปราสาท

หลังเช็ดคราบน้ำตาที่แก้มแล้ว ทิลลีก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะตื่นขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าเธอเหนื่อยล้าอย่างมาก เกรงว่าตั้งแต่ที่รู้ข่าวการเสียสละของแอชเชส เธอคงยังไม่ได้นอนเลย

“คืนนี้เจ้านอนเป็นเพื่อนนางแล้วกัน” โรแลนด์ถอนใจออกมา “เวลาแบบนี้ไม่ควรปล่อยให้นางอยู่คนเดียว ตอนนี้คนที่ดูแลนางได้ก็มีแต่เจ้านี่แหละ”

“วางพระทัยได้เพคะ หม่อมฉันเข้าใจความรู้สึกของนางดี หม่อมฉันรู้ว่าควรทำยังไงเพคะ” อันนาพยักหน้า “แล้วพระองค์ล่ะเพคะ?”

“ข้าจะไปนอนที่เมืองชายแดนที่สาม ยังไงซะช่วงสองสามวันนี้ก็ต้องอยู่ที่นั่นอยู่แล้ว อยู่ที่นั่นนานขึ้นอีกซักหน่อยก็ไม่เป็นไร” โรแลนด์ตอบ “ยิ่งไปกว่านั้นข่าวชัยชนะครั้งนี้ข้าก็ควรจะรีบไปบอกพวกนางด้วย ข้าคิดว่าแม่มดเหล่านั้นคงจะเฝ้ารอวันนี้มานานแล้ว”

“อื้อ” อันนาเดินเข้ามาจูบที่แก้มของเขา “ถึงแม้จะไม่อยากให้พระองค์ไป แต่หม่อมฉันก็รู้ว่านี่เป็นเรื่องสำคัญเพคะ…”

“ขอโทษด้วยนะ นานๆ ครั้งเจ้าจะกลับมาจากแนวหน้าแท้ๆ”

“อย่าพูดแบบนี้สิเพคะ ฝ่าบาทของหม่อมฉัน เรายังมีเวลาอีกเยอะเพคะ”

ในตอนที่โรแลนด์เดินไปถึงหน้าประตู อันนาก็เรียกเขาเอาไว้

“อ้อ อย่าลืมเรียกไนติงเกลไปด้วยนะเพคะ” เธอพูดอย่างจริงจัง “ในเมืองแห่งนี้ คนที่ห้ามเป็นอะไรมากที่สุดก็คือพระองค์นะเพคะ”

โรแลนด์มองดูดาวตาที่ใสกระจ่างของอีกฝ่าย ก่อนจะรับคำแล้วปิดประตูห้องลง

….

หลังเดินทางมาถึงเมืองชายแดนที่สามพร้อมกับเหล่าองครักษ์ พาซาร์ก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเขา

‘ฝ่าบาท แนวหน้าส่งข่าวกลับมาหรือยังเพคะ? สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้างเพคะ?’

เมื่อดูจากหนวดเล็กๆ ที่โบกไปมาทั่วร่างกาย โรแลนด์ก็รู้ได้ทันทีว่าในเวลานี้เธอร้อนใจอย่างมาก

โรแลนด์ไม่ได้อ้อมค้อม เขาพูดออกไปตรงๆ ว่า “พวกเราได้รับชัยชนะ ปีศาจบนที่ราบลุ่มถูกกำจัดไปหมดแล้ว ผู้พิฆาตเวทมนตร์เองก็หนีไม่รอด ตอนนี้เมืองทาคิลาอยู่ในการควบคุมของกองทัพที่หนึ่งเรียบร้อยแล้ว”

หนวดของพาซาร์หยุดนิ่งไปทันที

เธอนิ่งเงียบไปหลายวินาที ก่อนจะพูดขึ้นมาอย่างตื่นเต้นว่า ‘จริงเหรอเพคะ! ฝ่าบาท ขออภัยที่หม่อมฉันเสียมารยาทเพคะ…หม่อมฉันไม่ได้สงสัยพระองค์ เพียงแต่ว่าหม่อมฉันไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกมาดี ทรงเล่ารายละเอียดให้หม่อมฉันฟังหน่อยได้ไหมเพคะ?’

หลังผ่านร้อนผ่านหนาวมาเป็นเวลา 400 กว่าปี แทบจะไม่มีอะไรที่จะทำให้แม่มดระดับสูงเหล่านี้ตื่นเต้นได้มากขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่โรแลนด์ได้เห็นท่าทีแบบนี้จากพาซาร์ “ได้สิ แต่ว่า…”

‘ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันจะเอาข่าวนี้ไปแจ้งให้พี่น้องทุกคนทราบเดี๋ยวนี้แหละเพคะ!’ แต่เขายังไม่ทันพูดจบ พาซาร์ก็หายตัวไปในถ้ำแล้ว

โรแลนด์งุนงงเล็กน้อย สุดท้ายถึงได้แต่ส่ายหน้าออกมาอย่างจนปัญญา

ในตอนที่เขาก้าวเข้ามาในโถงใหญ่ใต้ดิน แม่มดอาญาสิทธิ์ที่เหลือทั้งหมด รวมไปถึงพาซาร์ อาลิเธียและเซลีนต่างก็มายืนเรียงเป็นแถวรอต้อนรับเขาด้วยสีหน้าเฝ้ารอคอย

นี่กลับทำให้โรแลนด์รู้สึกลำบากใจที่จะเล่าเรื่องราวทุกอย่างออกไปจนหมด

“ทำเท่าที่เราทำได้เพคะ” ไนติงเกลพูดเตือนเบาๆ “หรือไม่ก็เอาไว้บอกพวกพาซาร์เป็นการส่วนตัวทีหลังก็ได้เพคะ”

ก็คงต้องเป็นแบบนั้นล่ะนะ เขาพยักหน้าพร้อมกับเดินก้าวเข้าไป จากนั้นจึงเริ่มเล่าเรื่องการรบและผลการรบอย่างคร่าวๆ – ถึงแม้รายงานสรุปอย่างละเอียดจะยังไม่ออกมา อีกทั้งการบอกเล่าของลีฟก็ยังมีช่องโหว่อยู่หลายแห่ง แต่เรื่องตัวเลขอะไรเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับพวกนางเลย

สำหรับแม่มดผู้รอดชีวิตจากเมื่อ 400 กว่านี้เหล่านี้แล้ว ชัยชนะต่างหากถึงจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

กระทั่งเขาพูดจบแล้ว เหล่าแม่มดจึงพากันโห่ร้องแสดงความดีใจออกมา

เสียงโห่ร้องดังอยู่เป็นเวลานาน แม่มดหลายคนน้ำตานองหน้า แต่ไม่ว่าจะร้องไห้หรือว่าหัวเราะ ความรู้สึกที่ทุกคนแสดงออกมาก็คือความรู้สึกเดียวกัน

ความสุขที่หลุดพ้นจากความทุกข์ใจมาเป็นเวลา 400 กว่าปี

‘ขอพระองค์ได้โปรดยกโทษให้หม่อมฉันที่เคยเสียมารยาทต่อพระองค์ด้วยเพคะ’ อาลิเธียเป็นฝ่ายเข้ามาหาเขา ก่อนจะลู่หนวดหลักลง ‘นับแต่วันนี้เป็นต้นไปจะไม่มีแนวรบพันธมิตรอีกต่อไป พระองค์คือผู้ปกครองเพียงหนึ่งเดียวของทาคิลา นี่เป็นเจตนารมณ์ของพวกหม่อมฉันเพคะ’

พาซาร์กับเซลีนไม่ได้พูดอะไร เห็นได้ชัดว่ายอมรับในสิ่งที่เธอพูด

นี่เท่ากับว่าพวกเธอยอมรับว่าหลังจากนี้ทาคิลาจะกลายเป็นส่วนหนึ่งที่ไม่อาจแบ่งแยกได้ของเกรย์คาสเซิล

หลังจากโรแลนด์พยักหน้ายอมรับ อาลิเธียจึงยกหนวดหลักขึ้นมาใหม่

‘นอกจากนี้ข้ามีอีกเรื่องหนึ่งที่จำเป็นต้องบอกพวกเจ้า’ เขารวบรวมสมาธิ ก่อนจะเล่าเรื่องเอเลน่าให้ทั้งสามคนฟัง

‘อย่างนั้นเหรอเพคะ…ที่แท้ก็เป็นนาง’ พาซาร์ค่อยๆ พูดขึ้นมา

สิ่งที่ทำให้โรแลนด์รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยก็คือพวกนางดูไม่ได้สะเทือนใจเท่าไรเลย

“พวกเจ้า…รู้เรื่องนี้แล้วเหรอ?” เขาอดถามขึ้นมาไม่ได้

‘เปล่าเพคะ พวกเราเพียงแค่เตรียมตัวเตรียมใจมาแล้วเท่านั้นเพคะ’ อาลิเธียพูดตรงๆ ‘การที่ทีมซุ่มโจมตีถูกปีศาจล้อมเอาไว้ ถ้าเป็นยุคสมัยทาคิลา ส่วนใหญ่แล้วพวกนางไม่มีทางที่จะรอดกลับมาได้ การที่ทุกคนสามารถรอดกลับมาได้โดยแลกกับชีวิตเพียงเท่านี้นั้นนับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างมากแล้วเพคะ’

‘บางทีพระองค์อาจจะไม่เข้าใจ แต่ความตายนั้นถือเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับพวกหม่อมฉัน’ เซลีนพูดต่อ ‘เพราะว่าทุกคนต่างก็ยินดีเข้าร่วมพิธีถ่ายโอนวิญญาณและรวมร่างเข้ากับร่างต้นแบบ ซึ่งนี่มันก็เหมือนกับพวกเราได้ตายไปแล้วรอบหนึ่ง ยิ่งหลังจากที่ทุกคนได้เห็นความพ่ายแพ้ที่เหล่าพี่น้องพากันล้มตายไปในสนามรบจนเกือบหมดในสงครามแห่งโชคชะตา เรื่องแค่นี้ถือเป็นเรื่องเล็กน้อยมากเพคะ สิ่งเดียวที่พวกเรากลัวก็คือการตายอย่างไร้ค่าเพคะ’

‘เอเลน่าก็แค่ทำในสิ่งที่นักรบทาคิลาทุกคนพร้อมจะทำเพคะ’ อาลิเธียพูดต่อเป็นคนสุดท้าย ‘ดังนั้นพระองค์ไม่จำเป็นต้องกังวลกับเรื่องนี้หรอกเพคะ’

นี่เรา…กลายเป็นฝ่ายถูกปลอบแทนงั้นเหรอ?

โรแลนด์รู้สึกทอดถอนใจ เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อดี

‘แต่มันไม่ได้หมายความว่าพวกเราจะไม่เสียใจที่พี่น้องตายไปนะเพคะ เพียงแต่สงครามทำให้พวกเราเรียนรู้ที่จะสะกดอารมณ์ตรงนั้นเอาไว้เพคะ’ พาซาร์มองไปทางเหล่าพี่น้องแม่มดที่ยังคงแสดงความดีใจกันอยู่ ‘เดี๋ยวหม่อมฉันจะเป็นคนบอกเรื่องนี้กับพวกนางเองเพคะ แต่ว่าตอนนี้ หม่อมฉันว่าเราปล่อยให้พวกนางมีความสุขกับชัยชนะก่อนดีกว่าเพคะ’

…..

หลังจากนั้น 5 วัน

เมื่อกองทัพทยอยกับกลับมา ข่าวชัยชนะของกองทัพที่หนึ่งก็ค่อยๆ แพร่กระจายไปในเมืองเนเวอร์วินเทอร์

ถึงแม้มันจะไม่ได้สร้างความฮือฮาได้เหมือนกับการเอาชนะสัตว์อสูรหรือว่าดยุคไรอัน แล้วก็ไม่ได้ทำให้ประชาชนทั่วทั้งเมืองออกมาแสดงความยินดี แต่พวกชาวบ้านก็ค่อยๆ รับรู้โฉมหน้าที่แท้จริงของศัตรูจากปากของครอบครัวทหารที่เข้าร่วมรบ ทั้งดุร้าย แข็งแกร่ง ไม่กลัวตาย นี่ไม่ใช่สิ่งที่สัตว์อสูรกับอัศวินของดยุคจะเทียบได้เลย บวกกับที่พวกเขาได้เห็นภาพเหตุการณ์ที่อสูรสยองบุกโจมตีเมืองด้วยตาตัวเอง ภาพของศัตรูที่แข็งแกร่งที่เป็นเหมือนกับปีศาจจากขุมนรกจึงค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา

บางคนถึงขนาดบอกว่ามันเป็นสัตว์ประหลาดแห่งการทำลายล้างในตำนาน ทั้งตัวสูงหลายร้อยเมตรแถมยังพ่นไฟได้ ทำให้นี่กลายเป็นประเด็นที่ชาวบ้านพากันพูดถึงมากที่สุด

แต่ถึงแม้จะเป็นศัตรูเช่นนี้ แต่พวกมันก็ยังพ่ายแพ้ให้กับกองทัพที่หนึ่ง แถมยังตัดสินแพ้ชนะกันในระยะหลายร้อยเมตรด้วย คำพูดแบบนี้ทำให้ประชาชนภายในเมืองรู้สึกฮึกเหิมอย่างมาก ถ้าแม้แต่ปีศาจจากนรกก็ยังไม่สามารถเอาชนะกองทัพของเกรย์คาสเซิลได้ แล้วยังจะมีใครสู้กับพวกเขาได้อีก

ในหนังสือพิมพ์ ‘เกรย์คาสเซิลรายสัปดาห์’ ก็ตีพิมพ์บันทึกของทหารในแนวหน้าและรายละเอียดของการทำสงครามทั้งหมด

ไม่นานนัก คำขวัญลงชื่อเข้าร่วมกองทัพที่หนึ่งเพื่อขยายเขตแดนให้ฝ่าบาทก็กระจายไปทั่วทั้งเมือง

แต่ภายในใจของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเนเวอร์วินเทอร์กลับรู้ดีว่าความท้าทายที่แท้จริงที่พวกเขากำลังจะเผชิญมันคืออะไร

สุสานสาธารณะทางตะวันตกของเมือง

นับแต่ป้ายหลุมศพแผ่นแรกถูกปักลงไปหลังสิ้นสุดเดือนแห่งปีศาจเมื่อห้าปีก่อน ที่รกร้างที่มีแต่ต้นหญ้าแห่งนี้ก็กลายเป็นสวนสุสานที่เขียวชอุ่ม

และวันนี้ ที่แห่งนี้ก็มีป้ายหลุมศพเพิ่มมาใหม่อีก 426 แผ่น

ส่วนใหญ่ด้านล่างของพวกมันยังคงว่างเปล่าอยู่ เพราะว่าขีดจำกัดในเรื่องการขนส่งจึงทำให้ไม่สามารถขนเอาร่างผู้เสียชีวิตทั้งหมดกลับมาได้ในทีเดียว แต่ไม่มีใครที่รู้สึกว่าผู้เสียสละถูกทอดทิ้ง บนป้ายหลุมศพนั้นมีการบันทึกชื่อและคุณความดีของพวกเขาเอาไว้

ป้ายหลุมศพของแอชเชสและเอเลน่าก็อยู่ในนี้เหมือนกัน

พวกมันเหมือนกับแผ่นป้ายอื่นๆ ดูแล้วไม่มีอะไรแตกต่าง สิ่งเดียวที่แตกต่างนั้นคือด้านหน้าป้านหลุมศพของแอชเชสมีด้ามดาบที่แตกหักปักอยู่ด้ามหนึ่ง

“ทำความเคารพ!” ขวานเหล็กตะโกนเสียงดัง ก่อนจะยกมือขึ้นมาทำวันทยาหัตถ์

เจ้าหน้าที่ระดับสูงต่างทำวันทยหัตถ์ตาม ถึงแม้ตำแหน่งหน้าที่ของพวกเขาจะสูงกว่าทหารส่วนมากก็ตาม

นี่คือการรำลึกถึง ขณะเดียวกันก็เป็นการย้ำเตือนด้วยว่า

สงครามแห่งโชคชะตาที่จะตัดสินชะตาชีวิตนั้นยังไม่สิ้นสุด

หลังพิธีศพเสร็จเรียบร้อย โรแลนด์ก็เรียกบารอฟเข้ามาทันที “เรียกเสนาบดีทุกคนมา ข้ามีภารกิจใหม่จะมอบหมายให้ทุกคนทำ”

สงครามนี้มันเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น

……………………………………………………………………..