ฉินอวี้มองเซี่ยฟางหวา พลันหัวเราะออกมา
เซี่ยฟางหวาตวัดตามองเขา
ความโกรธมลายหายไป เอ่ยขึ้นด้วยความอบอุ่น “มาหาเจ้าย่อมมีประโยชน์ เจ้าเอ่ยประโยคเดียว ข้าก็จะทำตามความคิดเห็นของเจ้า”
“หากขัดกับผลประโยชน์ของแผ่นดินหนานฉินเล่า” เซี่ยฟางหวาเลิกคิ้ว
“เจ้าจะทำหรือ” ฉินอวี้ชำเลืองมอง มิรอนางตอบก็แย้มยิ้มเอ่ย “ถึงแม้ขัดกับผลประโยชน์ของแผ่นดินหนานฉิน ข้าก็หาได้สนใจไม่”
เซี่ยฟางหวาไม่เอ่ยคำใด
ด้านนอกหย่งคังโหวมาถึงหน้าทางเข้าแล้ว เห็นซื่อฮว่ากับซื่อม่อยืนเฝ้าอยู่ก็ประสานมือต่อทั้งสอง กล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “แม่นางทั้งสอง คุณหนูฟางหวาคงยังมิพักผ่อนกระมัง”
“ยังเจ้าค่ะ” ซื่อฮว่ากับซื่อม่อส่ายหน้า
“ถ้าอย่างนั้น…” หย่งคังโหวลังเลครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวเสียงเบา “รบกวนแม่นางทั้งสองเข้าไปรายงาน บอกว่าข้ามีเรื่องอยากขอร้อง”
ซื่อฮว่ากับซื่อม่อมองหน้ากัน เห็นท่าท่าทางระมัดระวังของหย่งคังโหวแล้วจึงเอ่ยเตือนเสียงต่ำ “ฝ่าบาทก็อยู่ด้วยนะเจ้าคะ”
“ฝ่า…ฝ่าบาท…ก็อยู่ด้วยหรือ” หย่งคังโหวผงะตกใจ
ทั้งสองพยักหน้าตอบ
เม็ดเหงื่อบนหน้าผากของหย่งคังโหวกลิ้งตกลงมาทันใด มองไปด้านในแวบหนึ่ง พอเห็นเงาสองร่างที่กำลังนั่งอยู่ริมหน้าต่างเลือนรางจึงรีบก้มหน้าลง ชั่วเวลานั้นก็สองจิตสองใจมิรู้จะทำเช่นไรดี
“ท่านโหว ยังต้องรายงานอีกหรือไม่เจ้าคะ” ซื่อฮว่ากับซื่อม่อมองหย่งคังโหว
“นี่…” หย่งคังโหวมิทราบว่าสถานการณ์ด้านในเป็นเช่นไร และมิทราบว่าเพลิงโทสะของฉินอวี้คลายลงหรือยัง เขาเดิมทีมาเพื่อพบเซี่ยฟางหวา กลับนึกไม่ถึงว่าหลังกลับมาจากตำหนักขององค์ชายสามกับองค์ชายห้าแล้ว ฉินอวี้จะมิได้กลับตำหนักของตน แต่ยังอยู่ที่ตำหนักของเซี่ยฟางหวา ชั่วขณะนั้นเกิดความลังเล หากรายงานก็ต้องพบฉินอวี้ แล้วตนจะขอความเมตตาอย่างไร แต่หากมิรายงาน อย่างไรคนด้านในก็ย่อมทราบแล้วว่าตนมาหา เหงื่อเย็นชื้นผุดขึ้นทั่วกายในชั่วเวลานั้น
ซื่อฮว่ากับซื่อม่อเห็นว่าเขาดูน่าสงสาร อดมิได้ที่จะกล่าวเสียงเบา “เมื่อครู่ตอนท่านโหวมาถึง เราสองคนได้รายงานให้ฝ่าบาทและคุณหนูทราบแล้ว”
ดังที่คาดการณ์ไว้ ถึงเขาจะกลับตอนนี้ก็คงมิทันแล้ว
หย่งคังโหวได้ยินแบบนั้นก็สูดหายใจเย็นเยียบเข้าปอด กัดฟันกล่าวเสียงดัง “ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องจะขอร้องพ่ะย่ะค่ะ”
ประสาทการฟังของฉินอวี้ดีเยี่ยม ได้ยินบทสนทนาแผ่วกระซิบด้านนอกก่อนแล้ว เขามองเซี่ยฟางหวาแวบหนึ่ง แย้มยิ้มเลือนราง ก่อนเอ่ยถามนางด้วยความอ่อนโยน “ข้าน่ากลัวถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ทำให้หย่งคังโหวตกใจเสียจนมิกล้าพบ”
เซี่ยฟางหวาเห็นว่าโทสะของฉินอวี้คลายลงไปมากแล้ว “ฝ่าบาทมีความน่าเกรงขาม มิใช่เรื่องแย่อันใด”
ฉินอวี้พยักหน้า มิได้ให้หย่งคังโหวเข้ามา หากแต่ถามด้านนอก “ท่านโหวมีเรื่องใด”
“กระหม่อม…กระหม่อมมาเพื่อ…” หย่งคังโหวฝืนกัดฟันเป็นนาน กว่าจะบอกถึงจุดประสงค์ที่มาหา “กระหม่อมคิดว่าตอนนี้เพิ่งฝังพระบรมศพของอดีตฮ่องเต้ ถึงแม้องค์ชายสามกับองค์ชายห้ามีความผิดฐานฝ่าฝืนจัดงานรื่นเริง อกตัญญูต่ออดีตฮ่องเต้ เห็นแก่ที่…ฝ่าบาทท่านยังมิได้ราชาภิเษก ตอนนี้หนานฉินภายในปั่นป่วนภายนอกถูกรุกราน เรื่องนี้…เรื่องนี้ต้องจัดการอย่างรอบคอบพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็ลุกขึ้นยืน ค่อยๆ เดินมาที่ประตู เลิกม่านออก ยืนพิงกรอบประตูมองหย่งคังโหว
หย่งคังโหวเห็นฉินอวี้ออกมาก็รีบคุกเข่ากับพื้นทันที ก่อนกัดฟันกล่าวต่อ “อดีตฮ่องเต้สวรรคตไปแล้ว ตระกูลหลิ่วกับตระกูลเฉินก็ย้ายออกจากเมืองไปก่อนหน้านี้แล้ว ไท่เฟยทั้งสองพระองค์ไร้ที่พึ่งในวังหลวง องค์ชายสามกับองค์ชายห้ามิดูสถานการณ์ นึกไม่ถึงว่าจะกระทำเรื่องแบบนี้ในเวลานี้ บ่งบอกได้ว่ากลายเป็นคนไร้ประโยชน์อย่างสมบูรณ์ ฝ่าบาททรงกตัญญูต่ออดีตฮ่องเต้และให้การเคารพบรรพบุรุษในราชวงศ์ หากจะสังหารสองคนนั้นย่อมสมควร แต่ว่า…”
เขาพูดถึงตรงนี้ก็เงยหน้าฉินอวี้แวบหนึ่ง
ใบหน้าของฉินอวี้เรียบเฉย เห็นเขาเงยหน้ามองก็ถามเสียงเรียบ “แต่อะไร พูดต่อ”
หย่งคังโหวรีบก้มหน้าลง ถ้อยคำข้างหลังไหลลื่นด้วยคารมคมคายของเขา “สังหารสองคนนั้นมิคุ้มค่านัก เกรงว่าจะกระทบต่อคุณธรรมและความเฉลียวฉลาดของฝ่าบาทในสายตาราษฎร เช่นนั้นแล้ว จิตใจราษฎรสั่นคลอน ระบบการปกครองสั่นคลอน หากระบบสั่นคลอนก็จะทำให้ใต้หล้าสั่นคลอนด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินอวี้พยักหน้า “ตามที่เจ้าบอกมา สังหารพี่สามกับน้องห้ามิได้อย่างนั้นหรือ”
“มิได้พ่ะย่ะค่ะ” หย่งคังโหวพูดจบก็รีบกล่าวเพิ่ม “อย่างน้อยก็สังหารตอนนี้มิได้”
“หรือเจ้าจะให้เราปล่อยพวกเขาที่มิเคารพต่ออดีตฮ่องเต้และบรรพบุรุษที่นอนแน่นิ่งในราชสุสานไปอย่างง่ายดายเช่นนี้” ฉินอวี้มองเขา
หย่งคังโหวก้มหน้าลง “ฝ่าบาททรงเห็นแก่ที่เพิ่งฝังพระบรมศพอดีตฮ่องเต้และฐานะที่ยังมิมั่นคงได้ เว้นโทษตายให้พวกเขา แสดงให้เห็นว่าฝ่าบาทท่านทรงใจกว้างมีเมตตา เห็นแก่สายสัมพันธ์พี่น้อง”
ฉินอวี้เงียบ
หลังหย่งคังโหวพูดจบก็ใจแกว่ง รอให้ฉินอวี้เอ่ยออกมา
ผ่านไปพักหนึ่ง ฉินอวี้ก็ค่อยๆ เอ่ยขึ้น “ท่านโหว เท่าที่เราทราบมา ท่านโหวน้อยเยี่ยนกลับหนานฉินแล้ว ท่านคงทราบข่าวแล้วใช่ไหม”
หย่งคังโหวชะงัก รีบพยักหน้าตอบ “กระหม่อมก็ทราบข่าวแล้ว เพียงแต่ตอนนี้ยังกลับมามิถึง คนที่ส่งออกไปยังหาร่องรอยเขายังมิพบ มิทราบว่าตอนนี้อยู่ที่ใดพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านโหวน้อยเยี่ยนกลับหนานฉินมาครั้งนี้ คงมิไปไหนแล้วกระมัง” ฉินอวี้เอ่ยอีก
“นี่…” หย่งคังโหวมิทราบเจตนาของฉินอวี้แน่ชัด จึงกล่าวอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก “หากเขากลับมา กระหม่อมกับฮูหยินย่อมมิอยากให้เขาไปไหนอีกแล้ว แต่หากเขาตัดสินใจโดยพลการ กระหม่อมเกรงว่าจะห้ามเขาไม่อยู่ ถึงอย่างไรก็โตแล้ว”
“ท่านโหวน้อยเยี่ยนจากไปเกินครึ่งปีแล้ว ทัศนียภาพภายนอกคงได้เห็นมามิน้อยแล้วเช่นกัน ในเมื่อครั้งนี้กลับมา ก็มิน่าไปไหนแล้ว” ฉินอวี้แย้มสรวล
“ด้วยวาจามงคลของฝ่าบาท หากเขาจะหนีไปไหนอีก กระหม่อมจะหักขาเขาเสีย” หย่งคังโหวยืดอกอย่างมีศักดิ์ศรี ในเมื่ออ่านความคิดของฉินอวี้มิได้ จึงได้ตามคล้อยตามพระองค์
ฉินอวี้ส่ายหน้า “ตอนนี้ราชสำนักอยู่ในระหว่างการบริหารจัดการคน หากท่านโหวตัดขาเขา เรามิใช่ขาดแคลนอัจฉริยะบุคคลที่เพียบพร้อมทั้งด้านปกครองและทหารหรือ”
หย่งคังโหวได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ รีบเงยหน้ามองฉินอวี้ “ความหมายของฝ่าบาทคือ…”
“ท่านโหวน้อยเยี่ยนกลับมา เราเห็นถึงความสามารถเขาจึงอยากใช้งาน” ฉินอวี้มองหย่งคังโหว “ถึงตอนนั้นท่านโหวคงมิไล่เขาไปอีกกระมัง ทำให้เราขาดแคลนกำลังคน”
หย่งคังโหวดีใจ รีบกล่าวขึ้น “ในเมื่อฝ่าบาทอยากใช้งานเขา กระหม่อมมิกล้าขัดพ่ะย่ะค่ะ”
“แผ่นดินมีทหารที่ใช้งานได้ ศัตรูถึงมิกล้าอวดเบ่ง ท่านโหวรู้สถานการณ์และมีคุณธรรม ขอทัดทานถูกเวลา แบ่งเบาภาระแทนเรา ยิ่งได้ใจเรามาก ส่วนเรื่องพี่สามกับน้องห้านั้น ยกให้ท่านโหวเป็นผู้พิจารณาแล้วกัน” ฉินอวี้เอ่ย
“ฝ่าบาท” หย่งคังโหวตกใจ มองฉินอวี้ด้วยความแปลกใจ
“ท่านโหวมิเข้าใจความหมายเราหรือ” ฉินอวี้มองเขา
หย่งคังโหวสบกับตาของฉินอวี้ก็รีบก้มหน้าลง ถึงอย่างไรเขาก็อายุปูนนี้แล้ว มีประสบการณ์สองรัชสมัย จึงเข้าใจความหมายของฉินอวี้ได้อย่างรวดเร็ว รีบกล่าวขึ้น “กระหม่อมน้อมรับพระประสงค์”
ฉินอวี้โบกมือ หย่งคังโหวรีบทูลลาแล้วออกไปจากตำหนัก
ฉินอวี้พิงกรอบประตูพลางหันกลับมา แย้มยิ้มเอ่ยกับเซี่ยฟางหวา “แบบนี้นับว่าเป็นการซื้อใจอย่างที่เจ้าบอกหรือไม่”
“บุญคุณคู่ความน่าเกรงขาม ต่อไปหย่งคังโหวคงยิ่งหวาดกลัวเจ้าจนหัวหด” เซี่ยฟางหวามองเขาอย่างหมดคำพูด
ฉินอวี้พลันหัวเราะยกใหญ่
“ฟ้ามืดแล้ว ในเมื่อเจ้าอารมณ์ดีแล้วก็รีบกลับไปพักผ่อนเถิด” เซี่ยฟางหวาลุกขึ้นยืน
ฉินอวี้หยุดหัวเราะ เมื่อนึกถึงองค์ชายสามกับองค์ชายห้าก็พาลจะมีโทสะขึ้นมาอีก พยักหน้าแล้วออกไปจากห้อง กลับไปยังตำหนักของตน
ซื่อฮว่ากับซื่อม่อเดินเข้ามา เอ่ยถามเสียงเบา “คุณหนู พักผ่อนเลยหรือไม่เจ้าคะ”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
ทั้งสองรีบเดินไปปูเตียง หลังปูเสร็จก็รอเซี่ยฟางหวาถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกแล้วขึ้นไปนอนบนเตียง ก่อนตวัดฝ่ามือดับตะเกียงแล้วกลับออกไป
หลังฉินอวี้กลับไปที่ห้อง เมื่อเห็นว่าตะเกียงในห้องของเซี่ยฟางหวาดับลงแล้ว เขาเองก็ดับตะเกียงแล้วพักผ่อนเช่นกัน