ตอนที่ 110-2 ความน่าเกรงขามของฮ่องเต้

จารใจรัก

หย่งคังโหวออกมาจากเรือน ลมเย็นพัดผ่านจนรู้สึกหนาวเหน็บ เขายกมือลูบ พบว่าเสื้อผ้าทั้งด้วยหน้าและหลังที่เปียกชื้น จึงใช้แขนเสื้อซับเหงื่อผุดพราย ก่อนหามุมปลีกวิเวกเพื่อผ่อนลมหายใจเข้าออกเฮือกใหญ่ 

 

 

           “ท่านโหว เป็นเช่นไรบ้าง” เสนาบดีฝ่ายซ้ายโผล่ออกมาจากมุมด้านข้าง ยื่นมือแตะหย่งคังโหว  

 

 

           หย่งคังโหวหันไปมอง มิได้แปลกใจกับการที่เสนาบดีฝ่ายซ้ายมารออยู่แถวนี้นัก มองเขาแวบหนึ่งแล้วพยักหน้าตอบ 

 

 

           “คุณหนูฟางหวารับปากแล้วหรือ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายถาม 

 

 

           หย่งคังโหวส่ายหน้า “ตอนข้าไปถึง ฝ่าบาทอยู่ที่ตำหนักคุณหนูฟางหวาด้วย ข้าจึงสู้ตาย” 

 

 

           “ต่อมาเล่า” เสนาบดีฝ่ายซ้ายชะงัก 

 

 

           หย่งคังโหวเองก็มิปิดบัง เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังคร่าวๆ 

 

 

           เสนาบดีฝ่ายซ้ายฟังจบก็มิเอ่ยคำใดเวลาหนึ่ง 

 

 

           “ท่านว่าฝ่าบาททรงหมายความเช่นไร นึกไม่ถึงว่าจะมอบหมายให้ข้าพิจารณาจัดการเรื่ององค์ชายสามกับองค์ชายห้าเอง” หย่งคังโหวมองเสนาบดีฝ่ายซ้าย  

 

 

           เสนาบดีฝ่ายซ้ายไตร่ตรองเป็นนาน ทันใดนั้นก็ยิ้มออกมา ตบบ่าหย่งคังโหว “ท่านมีวาสนาดี อธิบายได้ว่าขอเพียงจัดการงานที่ฝ่าบาททรงมอบหมายให้อย่างดี อนาคตจวนหย่งคังโหวของท่านก็นอนตาหลับแล้ว” 

 

 

           หย่งคังโหวไม่เข้าใจ 

 

 

           “ท่านฉลาดมาทั้งชีวิตแต่กลับเลอะเลือนในเวลานี้” เสนาบดีฝ่ายซ้ายกล่าวเสียงทุ้มต่ำ “เท่าที่ข้ารู้จักฝ่าบาทคือตัดสินพระทัยที่จะมิสังหารองค์ชายสามกับองค์ชายห้าแล้ว เพียงแต่มิอาจลงโทษเบาด้วยเช่นกัน จึงมอบหมายเรื่องนี้ให้ท่าน หากท่านทำผลงานออกมาดี จัดการได้อย่างเหมาะสม รอท่านโหวน้อยเยี่ยนกลับมาแล้ว จวนหย่งคังโหวของท่านย่อมได้รับบทบาทหน้าที่สำคัญจากฝ่าบาท” 

 

 

           หย่งคังโหวถอนหายใจยาวเหยียด มองเสนาบดีฝ่ายซ้าย “ท่านช่วยข้าหาวิธีหน่อย จะจัดการองค์ชายสามกับองค์ชายห้าอย่างไรดี” 

 

 

           “เพิ่งฝังพระบรมศพอดีตฮ่องเต้ ข่าวฉาวโฉ่ในราชวงศ์เรื่ององค์ชายสามกับองค์ชายห้ามิอาจเผยแพร่เป็นวงกว้าง แต่ก็มิอาจมิให้ผู้ใดทราบเลยได้ เพื่อมิให้คนที่มิได้อยู่ในเหตุการณ์คิดว่าฝ่าบาททรงมีจิตใจคับแคบ เพิ่งฝังพระบรมศพฮ่องเต้มิทันไรก็ปล่อยองค์ชายทั้งสองไว้มิได้แล้ว” เสนาบดีฝ่ายซ้ายลูบเครา  

 

 

           “ที่พูดมามีเหตุผล” หย่งคังโหวพยักหน้า 

 

 

           เสนาบดีฝ่ายซ้ายครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้น “ข้าคิดว่า ท่านหยุดเรื่องนี้ไว้ก่อนสองวันแล้วค่อยจัดการ ไท่เฟย 

 

 

สองพระองค์ในวังย่อมร้อนใจ ถึงเวลานั้นคงหาสิ่งใดมาแลกเปลี่ยนเป็นแน่ ถึงอย่างไรพวกนางก็เป็นพระสนมคนโปรดของอดีตฮ่องเต้ ที่ผ่านมากอบกำบางสิ่งในมือไว้มากน้อย หากวันหนึ่งนำออกมาโจมตีฝ่าบาทก็คงสร้างความยุ่งยาก มิสู้ฉวยโอกาสนี้ ท่านช่วยฝ่าบาทจัดการไปพร้อมกันเลย มีหรือต้องกังวลว่าจะมิได้รับบทบาทสำคัญ” 

 

 

           หย่งคังโหวมองเสนาบดีฝ่ายซ้าย พูดไม่ออกชั่วเวลาหนึ่ง “ท่านเสนาบดี ท่านเป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์เสียจริง ถือโอกาสฉกฉวยผลประโยชน์จากผู้อื่น” 

 

 

           “ขุนนางดีเด่นที่แท้จริงต้องแบ่งเบาภาระขจัดขวากหนามให้ฝ่าบาท ข้าก็แค่หยุดยั้งหายนะที่จะเกิดขึ้นในอนาคต” เสนาบดีฝ่ายซ้ายกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน “ท่านลองคิดดูสิ ตอนนี้ฝ่าบาททรงมอบเรื่องนี้ให้ท่านจัดการ ไม่ว่าท่านจะตัดสินโทษเบาอย่างไร ไท่เฟยสองพระองค์ที่รักเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองย่อมไม่พอใจ ไม่แน่ว่าอาจโกรธแค้นท่าน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านจะเป็นคนดีไปทำไมกัน มิสู้ขจัดความน่ารำคาญใจในอนาคตแทนฝ่าบาทเสีย” 

 

 

           หย่งคังโหวอึ้ง ยื่นมือไปตบบ่าเสนาบดีฝ่ายซ้าย “ท่านเสนาบดี ที่ผ่านมาท่านคาดคะเนจิตใจของฮ่องเต้ได้ลึกล้ำยิ่งนัก ข้าละอายเกินกว่าจะเทียบได้” 

 

 

           “ฟังข้าก็พอแล้ว” เสนาบดีฝ่ายซ้ายตบบ่าหย่งคังโหวกลับ 

 

 

           หย่งคังโหวพยักหน้าอย่างจนใจ 

 

 

           ทั้งสองสนทนาด้วยเสียงทุ้มต่ำอีกพักหนึ่ง ก่อนแยกย้ายกันไปพักผ่อน 

 

 

           หลังอิงชินอ๋องกับพระชายากลับมาถึงที่พัก ทั้งสองต่างมีโทสะเต็มท้อง เนิ่นนานกว่าจะอดกลั้นได้ 

 

 

           “หรือว่าฝ่าบาทจะสังหารสองคนนั้นจริง” อิงชินอ๋องกล่าวกับพระชายา  

 

 

           พระชายาอิงชินอ๋องครุ่นคิด ก่อนส่ายหน้า “ฝ่าบาทกำลังพิโรธ พอใจเย็นลงแล้วคงมิสังหารหรอก” 

 

 

           “ไฉนถึงคิดเช่นนี้” อิงชินอ๋องมองนาง 

 

 

           “เพิ่งฝังพระบรมศพอดีตฮ่องเต้ ยังมิทันได้พักผ่อน พรมแดนก็เปิดฉากรบ เรียกได้ว่าภายในปั่นป่วนภายนอกถูกรุกราน ฝ่าบาทยังมิได้ราชาภิเษก ยามนี้แม้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้น องค์ชายสามกับองค์ชายห้าแม้ไม่รู้จักกาลเทศะ แต่เขาก็มิอาจสังหารได้ ถึงอย่างไรก็เป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน มีแต่จะทำให้ชื่อเสียงว่ามีคุณธรรม ใจกว้างมีเมตตาแปดเปื้อน” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าว 

 

 

           “พูดมีเหตุผล” อิงชินอ๋องถอนหายใจ “อดีตฮ่องเต้ทรงทิ้งเรื่องยุ่งยากเอาไว้ เป็นฝ่าบาทก็มิง่ายเลย” 

 

 

           “นอนเถิด อย่าคิดอีกเลย พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน” พระชายาอิงชินอ๋องบอก 

 

 

           อิงชินอ๋องพยักหน้า 

 

 

           รุ่งสางวันที่สอง ฉินอวี้ได้รับรายงานสถานการณ์ทหารด่วนที่ส่งมาจากพรมแดนม่อเป่ย 

 

 

           เซี่ยฟางหวาเห็นว่าหน้าของเขาเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก อดมิได้ที่จะถามขึ้น “เป็นจดหมายที่ท่านพี่ส่งมาหรือ” 

 

 

           ฉินอวี้พยักหน้า 

 

 

           “ท่านพี่ไปถึงค่ายทหารม่อเป่ยแล้วใช่หรือไม่ เป่ยฉียกทัพครั้งที่สอง ผลเป็นเช่นไรบ้าง หรือหนานฉินพ่ายแพ้อีกแล้ว” เซี่ยฟางหวาขมวดคิ้ว  

 

 

           ฉินอวี้พยักหน้าและทั้งส่ายพระเศียร “พี่จื่อกุยไปถึงค่ายทหารม่อเป่ยเมื่อสามวันก่อน เป่ยฉียกทัพมาอีกครั้ง แต่มีจื่อกุยบัญชาการ ครั้งนี้เป่ยฉีคงมิได้ใจนัก” 

 

 

           “แล้วเจ้า…” เซี่ยฟางหวามองเขา 

 

 

           “พอพี่จื่อกุยไปถึงค่ายทหารม่อเป่ย วันที่สองก็แอบไปเมืองเสวี่ยเฉิง ทว่ามิได้พบเจ้าเมือง” ฉินอวี้เม้มปาก  

 

 

           “เจ้าเมืองไปไหน” เซี่ยฟางหวาถาม 

 

 

           ฉินอวี้ส่ายหน้า 

 

 

           “หรือทราบว่าท่านพี่จะไปขอให้ช่วยออกทัพ ดังนั้นจึงเลี่ยงมิพบ” เซี่ยฟางหวาคาดเดา  

 

 

           “ก็เป็นไปได้เช่นกัน” ฉินอวี้เอ่ย “ฟังว่าเจ้าเมืองออกไปต่างแดน มิอยู่ในเมือง มิทราบว่าไปที่ใด ตอนนี้เมืองเสวี่ยเฉิงมีผู้อาวุโสบัญชาการ ผู้อาวุโสมิกล้าตัดสินใจโดยพลการ” 

 

 

           “ไปต่างแดนมิทราบว่าจะกลับมาเมื่อไร” เซี่ยฟางหวากล่าว “แต่ค่ายทหารม่อเป่ยกับพรมแดนรอมิไหว” 

 

 

           “ใช่แล้ว พี่จื่อกุยบอกในจดหมายว่า จำต้องเข้มงวดกวดขันทัพม่อเป่ยให้มากกว่าที่เขาคิดไว้ตอนยังมิเดินทางไปถึง โดยเฉพาะหลายวันก่อน ในกองทัพไร้ผู้บัญชาการ ทำให้ทหารเกิดความหละหลวม เมื่อเป่ยฉีระดมกำลังกะทันหันจึงเตรียมรับมือไม่ทัน บาดเจ็บล้มตายนับหมื่น ขวัญกำลังใจทหารในค่ายตกต่ำมาก นึกไม่ถึงว่าจะถึงขั้นมีทหารหนีออกไปด้วย” ฉินอวี้เอ่ย “หากเป่ยฉีเสริมกำลังทหารให้แข็งแกร่งขึ้น ใช้อุบายโจมตีอย่างสมบูรณ์ หากไม่มีทัพเสริม เกรงว่าจะป้องกันไม่อยู่” 

 

 

           “ทหารของหวางกุ้ยจะไปถึงในเจ็ดวันหรือไม่” เซี่ยฟางหวาถาม 

 

 

           “อาจไปถึงทัน แต่หวางกุ้ยเร่งกรีธาทัพ ถึงแม้ไปถึงในเจ็ดวันก็ต้องพักผ่อน มิอาจร่วมรบได้ในทันที” ฉินอวี้พยักหน้า  

 

 

           “ด้วยความสามารถของท่านพี่ ย่อมป้องกันได้เจ็ดวันโดยไม่มีปัญหา” เซี่ยฟางหวาครุ่นคิด “ภายในเจ็ดวันนี้จะต้องคิดหาหนทางได้แน่” 

 

 

           ฉินอวี้ผงกพระเศียร 

 

 

           เมื่อทั้งสองพูดจบลง อู๋เฉวียนก็เข้ามาเตือน “ฝ่าบาท ได้เวลาแล้ว ควรเดินทางกลับได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

           “ถ่ายทอดคำสั่งออกไป เตรียมออกเดินทาง” ฉินอวี้พยักหน้า  

 

 

           อู๋เฉวียนรับคำ และทั้งทูลกล่าวด้วยความเคารพ “ฝ่าบาท กระหม่อมถวายการรับใช้อดีตฮ่องเต้มาตลอดชีวิต ยามนี้อดีตฮ่องเต้จากไปแล้ว กระหม่อมเองก็แก่แล้วเช่นกัน เดิมควรติดตามอดีตฮ่องเต้ไปด้วย แต่กระหม่อมอยากอยู่ดูบ้านเมืองหนานฉินในอนาคตแทนอดีตฮ่องเต้ วันข้างหน้าจะได้ไปทูลรายงานอดีตฮ่องเต้ได้จึงขอมีชีวิตอยู่ต่อ แต่กระหม่อมอยากขอพระราชโองการจากฝ่าบาท ขอทรงอนุญาตให้กระหม่อมอยู่เฝ้าและปัดกวาดราชสุสานให้ฝ่าบาทด้วยเถิด” 

 

 

           ฉินอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็ลุกขึ้น เดินมาหน้าประตู มองอู๋เฉวียนแล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยน “กงกงรับใช้เสด็จพ่อมาตลอดชีวิต เจ้าเห็นเราเติบโตมาตั้งแต่เด็ก และได้รับคำแนะนำจากเจ้ามามากเช่นกัน ตอนนี้เสด็จพ่อแม้จากไปแล้ว แต่เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องติดตามไปด้วย และไม่จำเป็นต้องอยู่เฝ้าที่นี่ มีความเคารพอยู่ในใจก็พอแล้ว เจ้าเองก็ควรใช้ชีวิตวัยชราอย่างสงบสุข กลับเมืองไปกับเราเถิด” 

 

 

           อู๋เฉวียนส่ายหน้า ก่อนคุกเข่าลงกับพื้น “บ่าวแก่แล้ว ถวายการรับใช้ท่านต่อไปมิไหวแล้ว ถึงกลับไปก็เป็นคนว่างงานคนหนึ่ง มิสู้อยู่กับอดีตฮ่องเต้ที่นี่ บ่าวปรารถนาที่จะแก่ตายที่นี่ จะได้จุดธูปเซ่นไหว้อดีตฮ่องเต้เป็นประจำ และอธิษฐานให้ฝ่าบาทกับแผ่นดินหนานฉิน ขอฝ่าบาททรงอนุญาตกระหม่อมด้วยเถิด” 

 

 

           “เสด็จแม่คงมิอยากให้เจ้าอยู่ที่ราชสุสานแห่งนี้เช่นกัน พอกลับไปถึงวังหลวงแล้ว เจ้าค่อยไปรับใช้ข้างกายเสด็จแม่แทน” ฉินอวี้มองอู๋เฉวียน  

 

 

           “ข้างพระวรกายไทเฮามีหรูอี้อยู่แล้ว มิต้องการบ่าวหรอก ข้างพระวรกายฝ่าบาทเองก็มีเสี่ยวเฉวียนจื่อแล้ว มิต้องการบ่าวเช่นกัน พระองค์โปรดประทานพระกรุณาครั้งนี้ให้บ่าวด้วยเถิด” อู๋เฉวียนยังคงส่ายหน้า  

 

 

           “อย่างนั้นก็ได้ ถึงอย่างไรพี่สามกับน้องห้าก็มิอาจเฝ้าราชสุสานได้อีกแล้ว ยกให้กงกงดูแลแทนก็แล้วกัน หากเจ้าเบื่อเมื่อไรก็กลับมาได้ตลอดเวลา หากคิดถึงวังหลวงก็กลับวังได้ทุกเมื่อ” ฉินอวี้จนใจ  

 

 

           “บ่าวขอบพระทัยฝ่าบาท” อู๋เฉวียนรีบคำนับขอบคุณ 

 

 

           ฉินอวี้ยกพระหัตถ์ ดึงประคองเขาขึ้นมาด้วยความถ่อมตัว 

 

 

           อู๋เฉวียนเพิ่งจะออกไปสั่งเตรียมออกเดินทาง หย่งคังโหวก็รีบร้อนมาหา ถวายบังคมต่อฉินอวี้ “ฝ่าบาท เมื่อวานกระหม่อมครุ่นคิดตลอดคืน คิดว่า…ควรหยุดเรื่ององค์ชายสามกับองค์ชายห้าไว้ก่อนสองวัน พอครบกำหนดแล้ว เมื่อกระหม่อมคิดหาวิธีได้อย่างสมบูรณ์แบบค่อยจัดการพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

           “ในเมื่อมอบให้ท่านจัดการก็แล้วแต่ท่าน” ฉินอวี้พยักหน้า 

 

 

           “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเชื่อใจกระหม่อม” หย่งคังโหวขอพระประสงค์อีกครั้ง “กระหม่อมคิดว่าสองวันนี้จะอยู่ที่ราชสุสานก่อน เมื่อจัดการเรื่องนี้เรียบร้อยแล้วค่อยกลับเมือง” 

 

 

           “อนุญาต” ฉินอวี้ผงกพระเศียร 

 

 

           หย่งคังโหวกล่าวอีก “กระหม่อมยังมีอีกเรื่อง…” 

 

 

           “พูดมา” ฉินอวี้มองเขา 

 

 

           หย่งคังโหวมองไปด้านในแวบหนึ่ง ก่อนขอร้องว่า “เมื่อกลับไปถึงเมืองแล้ว กระหม่อมอยากขอให้คุณหนูฟางหวาไปที่จวนของกระหม่อม เพื่อตรวจชีพจรให้ฮูหยินของกระหม่อม…” 

 

 

           “หืม” ฉินอวี้เลิกพระขนง 

 

 

           เหงื่อบนหน้าผากหย่งคังโหวผุดพรายขึ้นอีกครั้ง ตื่นตระหนกขึ้นมาเล็กน้อย 

 

 

           ผ่านไปพักหนึ่ง ฉินอวี้ก็ยกพระหัตถ์เอ่ยขึ้น “หลังเรากลับถึงวังหลวงแล้วจะให้ฮูหยินเจ้ามาที่วัง หากให้นางไปตรวจชีพจรให้ฮูหยินเจ้าที่จวนโหวเอง ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เกรงว่าฮูหยินเจ้าจะอายุขัยสั้นลงเพราะสบายเกินไป” 

 

 

           หย่งคังโหวได้ยินเช่นนั้นก็อกสั่นขวัญหายในบัดดล รีบขอบคุณ “ขอบพระทัยฝ่าบาท”