มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 642
ในฐานะที่เป็นผู้มีพรสวรรค์อันดับหนึ่ง ย่อมไม่มีทางฝึกตนพลังกฎเกิงจินเพียงอย่างเดียวแน่นอน เป้าหมายของเขาก็คือ สร้างกฎเก้าประการขึ้น ได้แก่ ทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน ลม สายฟ้า ความมืด และแสงสว่าง ผ่านพลังของดารา

คนคนเดียวต้องการรู้ซึ้งถึงกฎทั้งเก้าประการ แสดงให้เห็นว่าซิงหลิงเป็นเด็กหนุ่มที่มีความทะเยอทะยานไม่น้อย

“ภูตอัคคีของเจ้าไม่เลวเลย ข้าขอนะ”

ซิงหลิงพูดขึ้นอย่างไม่แยแส ราวกับว่าตนเองกำลังพูดเรื่องที่สมควรจะเป็นเช่นนั้น

กลางอากาศ ลำแสงสีขาวที่สั่นไหวอยู่ แสดงให้เห็นถึงการสั่นสะเทือนอย่างกะทันหันของพลังกฎเกิงจิน มีมือสีทองขนาดใหญ่ยื่นออกมา แล้วจับตัวของหลัวซิวเอาไว้

“คิดจะแย่งภูตอัคคีของข้าอย่างนั้นหรือ ?” หลัวซิวพูดอย่างเรียบเฉย

การโจมตีของซิงหลิงดูเหมือนจะธรรมดา แต่อันที่จริงแล้วกลับแฝงไปด้วยเจตนาฆ่า เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายวางแผนที่จะสังหารตนเอง แล้วแย่งชิงภูตอัคคีไป

“ภูตอัคคีหากอยู่ในมือของเจ้าก็จะเป็นเพียงแค่ของไร้ค่าเท่านั้น ต้องอยู่ในมือของข้าเท่านั้นจึงจะเจิดจรัสได้ หากเจ้ายอมมอบออกมาเองแต่โดยดี ข้าจะยอมละเว้นเจ้าสักครั้ง” ซิงหลิงแสดงทีท่าไม่แยแส

“เจ้านะหรือ ?” หลัวซิวยิ้มอย่างดูถูก

เมื่อเผชิญหน้ากับท่าทางดูถูกเยาะเย้ยของหลัวซิว ซิงหลิงกลับไม่โกรธ ทำเพียงพูดออกมาเบา ๆ ว่า : “เช่นนั้นเจ้าก็ตายเสียเถอะ”

ในโลกของจอมยุทธ์ มีคนถูกสังหารทุกวินาที ยอมยุทธ์ทุกคนที่เดินบนเส้นทางสายนี้ สังหารผู้อื่นและถูกผู้อื่นสังหาร ล้วนเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

โดยเฉพาะกับศิษย์ที่มาจากกองกำลังใหญ่และแดนศักดิ์สิทธิ์ หลังจากฝึกฝนวรยุทธ์จนสำเร็จแล้ว ต่างก็ยอมรับการทดสอบที่เกี่ยวพันถึงความเป็นความตาย

ดังนั้นสำหรับซิงหลิงแล้ว การสังหารคนคนหนึ่ง เป็นเรื่องที่ง่ายดายอย่างยิ่ง

ทุกคนที่ยืนดูการต่อสู้แทบจะหยุดหายใจ ซิงหลิงใช้พลังทั้งหมดของพลังกฎในการลงมือ ไม่มีใครคิดว่าหลัวซิวจะเอาชนะได้ มีเพียงการคาดเดาว่าเขาจะสามารถต้านทานได้สักกี่กระบวนท่า ?

ตอนนี้เอง หลัวซิวพลิกฝ่ามือ แล้วธงขลังสรรพสิ่งก็ปรากฏขึ้นในมือ

“นี่มัน……ธงขลังโบราณ ?”

เด็กหนุ่มคนหนึ่งของสำนักค่ายเทพแห่งอาณาจักรเหนือ อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ

ตอนนี้เอง กองกำลังที่เคยตรวจสอบประวัติความเป็นมาของหลัวซิวค่อย ๆ ตั้งสติขึ้นมาได้ เพราะหากอ้างอิงจากข้อมูลที่พวกเขาสืบหามาได้ หลัวซิวยังมีอีกสองสถานะนั่นก็คือ นักค่ายกลและนักกลั่นยา !

ธงขลังสรรพสิ่งโบกสะบัด ก็มีลำแสงพุ่งตรงออกมาจากธงขลัง ชั่วพริบตาเดียว ลำแสงก็รวมตัวเข้าด้วยกัน และเกิดเป็นค่ายกลขึ้น

ออร่าไฟพลุ่งพล่าน และแพร่กระจายอยู่ในค่ายกล

ค่ายเพลิงนภาระดับเจ็ด !

ในช่วงที่ผ่านมา ถึงแม้ระดับค่ายกลของหลัวซิวจะไม่อาจบรรลุถึงขั้นแปดได้ แต่ก็อยู่ในระดับสูงสุดของขั้นเจ็ดแล้ว

ค่ายกลเพลิงนภาระดับเจ็ดนี้เป็นค่ายกลไฟ สามารถเพิ่งพลังให้เปลวไฟได้ ตอนนี้ที่สร้างค่ายกลขึ้นมา ก็เพื่อเพิ่มพลังให้กับภูตอัคคีกลืนกิน

บูม !

เมื่อมีค่ายเพลิงนภาระดับเจ็ดคอยเสริม พลังของภูตอัคคีกลืนกินก็ปะทุขึ้นมา ควบแน่นกลายเป็นกระบี่ขนาดใหญ่กว้างประมาณสามฟุต แทงเข้าใส่มือสีทองขนาดใหญ่ที่ยื่นเข้ามาจับตนเอง

บูม !

พลังที่รุนแรงทั้งสองปะทะกัน จนเกิดการระเบิดอย่างรุนแรง และเกิดเสียงดังสนั่น ความปั่นป่วนของพลังกฎเกิงจินที่แหลมคมกับภูตอัคคีกลืนกินที่ทำลายล้างทุกสรรพสิ่ง ปกคลุมไปทั่วเวทีประลอง

อีกทั้งยังคงมีผลพวงจากการปะทะแพร่กระจายออกมาอย่างต่อเนื่อง และพุ่งเข้าทำลายเกราะป้องกันม่านแสง ทำให้ทุกคนอดไม่ได้ที่จะกังวลใจ เกรงว่าค่ายกลป้องกันจะไม่อาจต้านทานได้ ทำให้ผลพวงจากการปะทะที่อยู่ภายใน โจมตีออกมาด้านนอก

“ในบรรดาธาตุทั้งห้า ไฟเอาชนะทอง ถึงแม้ข้าจะไม่เข้าใจกฎของเปลวไฟเป็นอย่างดี แต่สัญชาตญาณของภูตอัคคีกลืนกินก็มีกฎอยู่ พลังในตอนนี้ สามารถแข่งขันกับพลังของกฎได้จริง”

นานแล้วที่ไม่ได้ใช้งานภูตอัคคี หลัวซิวคิดไม่ถึงเลยว่า ภูตอัคคีของตนเองจะแข็งแกร่งถึงขนาดนี้แล้ว