มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 643
สิ่งที่ทำให้เขายิ่งอดไม่ได้ที่จะตั้งตารอก็คือ หากนำภูตอัคคีกลืนกินและภูตอัคคีเปลวเยือกทั้งหมด มารวมเข้ากับพลังไสยอัคคี จะเกิดเป็นพลังที่น่ากลัวขนาดไหน ?

หลัวซิวไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะภารกิจที่สำคัญที่สุดของเขาในตอนนี้ก็คือ เอาชนะซิงหลิง !

“คิดไม่ถึงเลยว่า เจ้าจะเป็นปรมาจารย์ค่ายกลขั้นเจ็ด” ซิงหลิงแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา

เส้นทางของค่ายกลนั้นกว้างใหญ่และลึกซึ้ง นอกจากผู้มีพรสวรรค์ขั้นสูงในด้านค่ายกลที่มีอยู่จำนวนน้อยแล้ว คนอีกเป็นจำนวนมากที่ศึกษาค่ายกล หลังจากฝึกตนถึงระดับที่ยากจะพัฒนาต่อไปได้แล้ว ถึงจะเลือกทำความเข้าใจกับค่ายกล และแสวงหาโอกาสที่จะบรรลุการฝึกตนจากสิ่งนี้

ปรมาจารย์ค่ายกลขั้นเจ็ดหนึ่งคน หากอยู่ในโลกแสงดาว ย่อมมีฐานะที่สูงกว่า และได้รับความสำคัญยิ่งกว่ามกุฎยุทธ์อย่างแน่นอน

“เรื่องที่เจ้าคิดไม่ถึงยังมีอีกมาก”

หลัวซิวหัวเราะเยาะ สำหรับคนที่คิดจะสังหารตนเองนั้น เขาย่อมไม่คิดจะแสดงความเป็นมิตรอย่างแน่นอน

“เหอะๆ เอาล่ะ ครั้งนี้ถือว่าเจ้าชนะ”

และสิ่งที่ทำให้หลัวซิวคาดไม่ถึงก็คือ ซิงหลิงไม่ได้ลงมือต่อ แต่กลับเหาะขึ้นไปบนท้องฟ้า และเลือกที่จะยอมแพ้

“นี่หมายความว่าอย่างไร ?” หลัวซิวขมวดคิ้ว

ก่อนหน้านี้ เมื่อต้าวหวูซินเผชิญหน้ากับเขาก็ยอมแพ้ทันที ภายหลังยังมีกุ่ยโยว รวมไปถึงซิงหลิงในตอนนี้อีก อันที่จริงแล้วยังไม่ได้ต่อสู้กันอย่างสุดความสามารถบนเวทีการประลองเสียด้วยซ้ำ คนเหล่านี้มีแผนการอะไรอยู่ในใจกันแน่ ?

“เจ้าหนู เจ้ามีปัญหาแล้ว !” เสียงของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำดังขึ้นมาในตัวหยั่งรู้ น้ำเสียงจริงจังอย่างยิ่ง

ตั้งแต่อายุได้สิบสามปี หลัวซิวก็ค่อย ๆ พัฒนาตนเองมาถึงตอนนี้ ภายในระยะเวลาสั้น ๆ เพียงไม่กี่ปี ในกระบวนการทั้งหมด จิตใจของเขาก็ได้รับการขัดเกลาและเติบโตขึ้นเช่นกัน

ภายใต้การเตือนสติของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ ดูเหมือนเขาจะคิดหาสาเหตุออกแล้วว่า ทำไมคนอย่างต้าวหวูซิน กุ่ยโยว และซิงหลิง จึงไม่ลงมือต่อสู้อย่างสุดกำลังในการประลองครั้งนี้

ที่จริงแล้ว คนเหล่านี้ไม่ให้ความสำคัญกับการประลองยุทธ์ในครั้งนี้เลยสักนิด

ถึงแม้ลำดับรายชื่อจากการประลองครั้งนี้ จะเกี่ยวพันถึงระยะเวลาในการฝึกตนภายในแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่าง แต่สำหรับผู้มีพรสวรรค์ขั้นสูงสุดที่ถือกำเนิดในแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ เงื่อนไขในการฝึกตนที่พวกเขาได้สัมผัสอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นทุนเดิมอยู่แล้วนั้น ไม่ได้ด้อยไปกว่าแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่างเลยสักนิด ถึงขั้นอาจดีกว่าเงื่อนไขการฝึกตนในแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่างเสียด้วยซ้ำ

ส่วนที่พวกเขายังมาเข้าร่วมการประลองยุทธ์ในครั้งนี้ ก็เพราะมีความคิดที่จะหยั่งเชิงกันและกัน

แดนศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่แต่ละแห่งของเผ่าพันธุ์มนุษย์ โดยเฉพาะแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ระดับนิรันดร์ทั้งสี่แห่ง ย่อมไม่สามัคคีกันอย่างแน่นอน ต่างฝ่ายต่างก็มีความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ระหว่างกัน คนเหล่านี้ในฐานะคนรุ่นใหม่ที่จะเป็นผู้สืบทอดในอนาคต ต่างก็อยู่ในความสัมพันธ์ที่ต้องต่อสู้แข่งขันกัน

แม้ว่าจะพ่ายแพ้ในการประลอง แต่อันนี้จริงแล้ว เป็นการแสร้งแสดงจุดอ่อนต่อหน้าศัตรูเท่านั้น คนให้คนอื่น ๆ ไม่สามารถคาดเดาความสามารถที่แท้จริงของคนเหล่านี้ได้

แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ หลัวซิวกลับโจมตีผู้มีพรสวรรค์ระดับสูงสุดของแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์จนพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง นั่นไม่เท่ากับว่าหากใครสามารถเอาชนะหลัวซิวได้ เท่ากับพิสูจน์ว่าตนเองมีความแข็งแกร่งยิ่งกว่าทายาทของแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์เหล่านั้นหรอกหรือ ?

และด้วยเหตุนี้ จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำถึงพูดว่าตอนนี้หลัวซิวกำลังตกอยู่ในอันตรายรอบด้าน

นี่เท่ากับว่าหลัวซิวถูกผลักไปอยู่ตรงปากเหว ส่วนผู้มีพรสวรรค์ของแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่เหล่านั้น ก็สามารถฉกฉวยประโยชน์จากช่วงเวลานี้เพื่อเก็บรายละเอียดและพัฒนาตนเองได้ 

“ให้ตายเถอะ เด็กหนุ่มที่ถูกบ่มเพาะมาจากแดนศักดิ์สิทธิ์พวกนี้ คิดไม่ซื่อขนาดนี้เชียวหรือ ?” หลัวซิวเกลียดความรู้สึกที่ถูกวางกับดักเช่นนี้อย่างยิ่ง

“แต่อย่างไรเสีย การที่ข้ามาร่วมการประลองในครั้งนี้ก็เพื่อตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่ง ในเมื่อพวกเจ้ายินดีที่จะมอบผลประโยชน์นี้ให้แก่ข้า และถือโอกาสครั้งนี้หลอกใช้ข้า ข้าหลัวซิว ก็จะไม่เกรงใจอีกต่อไป”