มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 644
ในสายตาของหลัวซิว เรื่องนี้ไม่ถือว่าตนเองถูกหลอกใช้เสียทีเดียว พวกของต้าวหวูซิน กุ่ยโยว ซิงหลิง คิดที่จะปิดบังความสามารถที่แท้จริงและเก็บรายละเอียด ดังนั้นจึงผลักเขาขึ้นเวทีประลอง ส่วนหลัวซิวเองก็ต้องการตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่ง อันที่จริงแล้วจึงไม่มีความขัดแย้งใด ๆ

นอกจากนี้ สำหรับหลัวซิวแล้ว ถ้าหากคนหนุ่มเหล่านี้ลงมือโดยไม่ปิดบังความสามารถของตนเอง ตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่ง คงไม่อาจตกเป็นของตนเองได้

“ผู้ที่มาจากดารานภาของพวกเจ้า ดูเหมือนจะยินดีแสดงความสามารถออกมาอย่างเปิดเผยมากเกินไปหน่อยนะ”

“เหอะๆ เทพธิดาหวูซินจากสำนักดำเหลืองของพวกเจ้าก็เช่นกันมิใช่หรือ ?”

ในบรรดาคนสำคัญที่ชมการต่อสู้ ตัวสำนึกของผู้แข็งแกร่งทั้งจากตำหนักดารานภาและสำนักดำเหลืองส่งเสียง พูดพลางหัวเราะ

“ตอนนี้บรรดาคนหนุ่มสาวเริ่มแข็งขันกันอย่างลับ ๆ ในบรรดาพวกเขา ไม่รู้ว่าใครจะสามารถบรรลุถึงแดนมหายุทธ์ได้ก่อน ?”

การประลองยุทธ์ดำเนินมาถึงตอนนี้ ที่จริงแล้วผู้ที่มีสายตาเฉียบแหลมจากกองกำลังใหญ่ ต่างก็มองออกว่าการที่ซิงหลิงยอมจากไปด้วยตนเอง ไม่ใช่เพราะความสามารถด้อยกว่าหลัวซิว แต่ดูเหมือนจะไม่อยากลงมือต่อสู้อย่างสุดกำลังเสียมากกว่า

แต่ความสามารถทั้งหมดที่หลัวซิวแสดงออกมา ก็ได้รับการยอมรับจากคนจำนวนไม่น้อย ไม่ว่าอย่างไร หากไม่มีความสามารถที่แข็งแกร่งเพียงพอ คนอย่างต้าวหวูซิน กุ่ยโยว และซิงหลิง ก็คงไม่ผลักเขาขึ้นเวทีประลองอย่างแน่นอน

“หวูชิว เด็กหนุ่มที่ท่านเลือกคนนี้ ดูเหมือนจะติดกับดักเข้าแล้วนะ” ต้วนฉือเทียนเหลือบมองเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวด้วยความสะใจ

“ข้าหวูชิว เคารพในเรื่องของฝีมือมาโดยตลอด ใช้พลังยุทธ์ในการครองโลก ต่อให้แผนการจะดีแค่ไหน จะมีประโยชน์อะไร ?” เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวหัวเราะเยาะเรื่องนี้

ถึงแม้ในบรรดาสี่เจ้ายุทธจักร เขาจะมีชื่อเสียงในด้านของความมีไหวพริบ แต่กลับไม่เคยเห็นไหวพริบสำคัญกว่าความสามารถมาก่อน

จริงอยู่ที่ในระหว่างการเติบโต ไหวพริบเป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่จำเป็น แต่เมื่อเข้าสู่ขั้นปลายของเส้นทางการฝึกตน ไหวพริบใด ๆ ก็ตาม เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความแข็งแกร่งที่แท้จริง ล้วนเป็นเพียงแค่ภาพลวงตาเท่านั้น และเป็นเพียงสิ่งที่เปราะบาง !

“ปกครองโดยใช้พลังยุทธ์ ? หรือท่านคิดว่าต่อไปเด็กหนุ่มคนนี้ จะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นได้ ?” ต้วนฉือเทียนเองก็เบะปากอย่างดูถูก

ในโลกแสงดาว พวกเขาสี่จ้าวยุทธจักรถือได้ว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ มีฐานะเทียบเท่ากับผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์

คนที่จะถูกพวกเขาเรียกขานว่าผู้ยิ่งใหญ่ได้นั้น ย่อมต้องเป็นผู้แข็งแกร่งที่บรรลุถึงแดนนิรันดร์เท่านั้น รวมไปถึงผู้ที่อยู่ในระดับจักรพรรดิยุทธ์ที่ไม่อาจหาใครเทียบได้ ซึ่งมีอยู่เพียงไม่กี่คน มีเพียงคนระดับนั้นเท่านั้น ที่สามารถใช้พลังยุทธ์ในการครองโลกได้

มีความสามารถระดับนั้น ย่อมไม่จำเป็นต้องกลัวกับดักและแผนการใด ๆ อย่างแน่นอน แต่ปัญหาก็คือ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ผู้ที่สามารถบรรลุถึงระดับนั้นได้ มีอยู่สักกี่คนกัน ?

ซิงหลิงยอมออกจากเวทีประลองด้วยตนเอง ตามกฎของการประลองแล้ว ตำแหน่งผู้ชนะย่อมตกเป็นของหลัวซิว

จากนั้น ก็เหลือเพียงการประลองยกสุดท้ายระหว่างหลัวซิวและหวูหยุน !

จนถึงตอนนี้ ผู้ที่สามารถครองตำแหน่งผู้ชนะมาได้โดยตลอด เหลือเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น ใครจะคว้าตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่งของการประลองครั้งนี้ไปได้ แทบไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะเป็นใคร

เพื่อรักษาความยุติธรรมในการประลอง การประลองระหว่างหลัวซิวและหวูหยุนจะเกิดขึ้นในอีกสามชั่วยามให้หลัง ในระหว่างนี้ ทั้งสองสามารถปรับสถานะของตนเองให้ไปอยู่ในจุดสูงสุดได้

บริเวณโดยรอบเวทีประลอง ผู้ชมทั้งหมดต่างอยู่ในความสงบ ถึงแม้บางคนจะไม่สามารถระงับความรู้สึกตื่นเต้นได้ และพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว แต่ล้วนเป็นการส่งเสียงของตัวสำนึก ส่วนในสนามบรรยากาศเงียบสงัด

หลังจากผ่านไปสามชั่วยาม บนเวทีประลอง หวูหยุนสวมชุดสีขาว ดูราวกับหยก ใบหน้าหล่อเหลา และมีรอยยิ้มจาง ๆ ที่มุมปาก อยู่ในท่าทีสงบนิ่งและเยือกเย็น