ในตอนนี้ ไม่ว่าเขาจะพูดอันใด ก็ล้วนไร้ผล
ดังนั้น มู่หรงฉีจึงเลือกที่จะเงียบ และกอดหลิงเซียวจวิ้นจู่เอาไว้ “หลิงเซียว พี่จะพาเจ้ากลับบ้าน! ”
หลิงเซียวจวิ้นจู่เอนกายอยู่ในอ้อมกอดของมู่หรงฉี สองมือโอบรอบลำคอ ศีรษะวางแนบหน้าอกของมู่หรงฉี
หลิงเซียวจวิ้นจู่ที่อยู่ในอ้อมกอดกว้างใหญ่นั้น ดูเล็กจิ๋วราวกับหยดน้ำในมหาสมุทร
มู่หรงฉีอุ้มหลิงเซียวจวิ้นจู่ออกจากถ้ำ ร่างของทั้งสองปกคลุมไปด้วยแสงจันทร์บางเบา ทำให้ร่างของหลิงเซียวจวิ้นจู่แลดูหดหู่และน่าเศร้าหมองมากขึ้นเป็นเท่าตัว
“พี่ฉี หลิงเซียวอยากเดินเอง! ” น้ำเสียงนั้นแผ่วเบา
ใบหน้าคมสันของมู่หรงฉีไม่แสดงอาการใดๆ เขาวางหลิงเซียวลง
เมื่อสองเท้าแตะพื้น ดวงตาของหลิวเซียวก็เผยให้เห็นความผิดปกติ หลังจากนั้นจึงหันกลับมาอย่างเชื่องช้า
ทว่าเดินไปได้ไม่ถึงสองก้าว นางก็หันกลับมากอดมู่หรงฉีจากด้านหลัง น้ำตาไหลอาบแก้ม เส้นผมขาวโพลนทั้งศีรษะพลิ้วไหวกลางอากาศ ราวกับความงดงามสุดท้ายของชีวิตในทะเลอันกว้างใหญ่
“พี่ฉี ไม่ว่าท่านจะยอมรับหรือไม่ ไม่ว่างานอภิเษกนั้นจะเป็นการแสดงหรือไม่ ทว่าภายในใจของหลิงเซียว ท่านคือพระสวามีของหลิงเซียวตลอดไป ตอนที่ยังเด็ก หลิงเซียวเข้าวังครั้งแรกและได้พบท่าน ตั้งแต่นั้น หลิงเซียวก็ตัดสินใจแล้วว่า หากไม่ใช่ท่านก็จะไม่แต่งให้ผู้ใด! ”
มู่หรงฉีนิ่งเงียบ แววตาของเขาทอดยาวมองพระจันทร์อันแสนอ้างว้าง โดยไม่ปริปากพูด
หลิงเซียวจวิ้นจู่กัดริมฝีปากที่สั่นเครือครู่หนึ่ง และพูดว่า “ในตอนนั้น หลิงเซียวคิดว่าชีวิตนี้ ไม่ว่าพี่ฉีจะเป็นจักรพรรดิปกครองแคว้นก็ดี หรือถูกมหาอุปราชบีบบังคับให้ออกจากราชสำนักก็ดี หลิงเซียวจะตามท่านไป หากท่านปกครองแคว้น หลิงเซียวก็จะเป็นฮองเฮาของท่าน จับมือท่านชมทัศนียภาพอันงดงามของแคว้น หากท่านถูกมหาอุปราชถอดชื่อออกจากเชื้อพระวงศ์ ไร้ซึ่งตำแหน่งสูงส่งและเกียรติยศ หลิงเซียวก็จะละทิ้งสถานะจวิ้นจู่ และท่องไปทั่วหล้ากับท่าน”
ทันทีที่พูดจบ หลิงเซียวจวิ้นจู่ก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นจนพูดไม่ออก นางค่อยๆ ปล่อยมือ นิ้วมือของนางเคลื่อนผ่านเอวของมู่หรงฉีอย่างเชื่องช้า ดวงตาปรากฏความอาลัยอาวรณ์
ทันใดนั้น มู่หรงฉีก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ เขาหันหลังกลับไป…
ร่างเล็กของหลิงเซียวจวิ้นจู่พลันร่วงหล่นลงไปที่หน้าผาด้านข้าง มู่หรงฉีรีบคว้าตัวนาง ทว่าคว้าได้เพียงมุมผ้าเปื้อนเลือด
ในค่ำคืนมืดมิดอันอ้างว้างไร้ที่สิ้นสุด เสียงรอบข้างราวกับหยุดชะงัก เบื้องหน้ามีเพียงร่างสีขาวที่ร่วงหล่นลงสู่นรก และแววตาอันแสนเจ็บปวดของบุรุษที่อยู่บนหน้าผา
“หลิงเซียว เหตุใดจึงโง่เช่นนี้… ”
“พี่ฉี หลิงเซียวรักท่าน! ทว่าหลิงเซียวไม่อาจสู้หน้าท่านได้อีกแล้ว ไม่มีหน้ากลับไปกับท่านอีกแล้ว ทว่าหลิงเซียวรักท่านจริงๆ ! แม้ตายก็ยังรักท่านอย่างสุดซึ้ง ไม่มีทางเป็นพี่น้องกับท่าน หลิงเซียวทำใจไม่ได้… ”
……
แม้เจ้าหุบเขาผาเก็บดาวจะใช้หินปี้ลั่วปัดเป่ามนตร์ดำของพ่อมดที่อยู่บนร่างของซูจิ่นซีออกแล้ว ทั้งเยี่ยโยวเหยายังยกดวงจิตหยางสิบปีให้นาง ทว่าเมื่อกลับมาถึงจวน ซูจิ่นซีก็ยังรู้สึกอ่อนเพลียไร้เรี่ยวแรง ทันทีที่ล้มตัวลงนอน นางจึงผล็อยหลับไป
ขณะที่ซูจิ่นซีกำลังหลับใหล ดอกปี่อั้นอันงดงามค่อยๆ ผลิบานขึ้นบนหน้าผาก เพิ่มเสน่ห์ให้กับแก้มขาวราวกับหยกของนาง
บางทีอาจเป็นเพราะพลังจิตของหินปี้ลั่ว หรือเป็นเพราะในตัวของนางมีดวงจิตของโอรสแห่งสวรรค์อยู่ อาคมกำไลปี่อั้นจึงเพิ่มระดับขั้นจนเต็ม
ในอาคมกำไลปี่อั้น ด้านบนแท่นศิลา ผลึกดอกปี่อั้นที่มีกลีบไม่สมบูรณ์พลันโตเต็มที่ และทอแสงประกายระยิบระยับ ซูจิ่นซียืนอยู่ริมทะเลสาบปี้ลั่ว แสงนั้นสว่างจ้าจนนางลืมตาไม่ขึ้น สัตว์เทพกิเลนกลายร่างเป็นสัตว์ตัวเล็กน่ารัก มันวิ่งเข้าไปในเสื้อผ้าของซูจิ่นซี ดึงเท่าไรก็ดึงไม่ออก
ทันใดนั้น แสงอันทรงพลังก็ส่องกระทบร่างของซูจิ่นซี และดึงดูดนางเข้าไปในผลึกดอกปี่อั้น
ฤดูใบไม้ผลิอันแสนสดใส ดอกไม้บานสะพรั่ง
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า… ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ภายใต้แสงแดด เสียงหัวเราะของเด็กชายดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“รัชทายาท พระองค์ให้หม่อมฉันดูหน่อย ให้หม่อมฉันดูหน่อย… ”
“ซีเอ๋อร์ จับข้าให้ได้สิ! ถ้าจับข้าได้ ข้าจะให้เจ้าดู… ”
จากนั้น เด็กชายก็วิ่งไปข้างหน้า ท่ามกลางดอกไม้ที่บานสะพรั่ง เด็กสาวแหวกใบไม้วิ่งไล่ตามมาด้านหลัง
เด็กชายวิ่งเร็วกว่าเล็กน้อย เด็กสาววิ่งตามอย่างไรก็ตามไม่ทัน
“รัชทายาท พระองค์ช้าลงหน่อย ซีเอ๋อร์ไล่ตามพระองค์ไม่ทัน พระองค์วิ่งเร็วยิ่งนัก! ”
เมื่อได้ยินดังนั้น เด็กชายจึงหยุดอยู่กับที่ รอจนกระทั่งเด็กสาววิ่งเข้ามาใกล้จึงวิ่งหนีต่อ
ผ่านไปครู่ใหญ่ เด็กสาวนั่งลงกับพื้นโดยไม่สนใจสิ่งใด พลางทุบขาตนเองไม่หยุด
เด็กชายหันหลังกลับมา เขาเดินไปนั่งข้างๆ เด็กสาวด้วยความสงสัย
“ซีเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าไม่ไล่ตามแล้วเล่า? ”
“น่าเบื่อ หม่อมฉันวิ่งตามพระองค์ไม่ทัน อีกอย่าง นั่นเป็นของที่ฝ่าบาทมอบให้พระองค์ หากพระองค์ไม่ต้องการให้หม่อมฉันดู หม่อมฉันก็ไม่บังคับ”
เด็กชายกระวนกระวายใจ ก่อนจะนำกล่องผ้าที่กอดเอาไว้ในอ้อมแขน ยัดใส่มือของเด็กสาว
“ซีเอ๋อร์ เป็นไปได้อย่างไร! ข้าจะไม่ให้เจ้าดูได้อย่างไร! เอานี่ ให้เจ้า เจ้าอยากดูนานเท่าไรก็ได้! ”
“จริงหรือเพคะ? ” เด็กสาวกอดกล่องผ้าด้วยดวงตาเป็นประกาย
“อืม! ”
เด็กสาวค่อยๆ เปิดกล่องผ้าออก ด้านในกล่องมีตราประทับชิ้นหนึ่งวางอยู่บนผ้าสีเหลืองสด
เด็กสาวหยิบตราประทับออกมา และมองตัวอักษรที่อยู่บนนั้น
“เอ๊ะ เหตุใดจึงเป็น ‘หงส์โบยบิน’ ? ”
แก้มของเด็กชายแดงเล็กน้อย เขาก้มศีรษะลง “นี่เป็น… นี่เป็นสิ่งที่ท่านพ่อมอบให้ข้า เพื่อเอาไว้เลือกพระชายา! ”
เด็กสาวแย้มยิ้มจนดวงตาเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว “ฮ่า ฮ่า ฮ่า พระองค์เพิ่งกี่ชันษาเอง จะเลือกพระชายาแล้วหรือ! เด็กยิ่งนัก! ”
บุรุษและสตรีที่เป็นเชื้อพระวงศ์ กับบุคคลทั่วไปนั้นย่อมแตกต่างกัน
เด็กชายจับมือเด็กสาว ก่อนจะยัดตราประทับลงไปบนมือของนาง “ซีเอ๋อร์ ตราประทับนี้มอบให้เจ้า! ”
เด็กสาวรีบปฏิเสธทันที “ไม่เอา หม่อมฉันจะขอสิ่งที่พระองค์เอาไว้เลือกพระชายาได้อย่างไร! ”
เด็กชายจ้องมองแววตาสุกใสราวกับพระจันทร์ของเด็กสาว พลางเม้มริมฝีปาก ทันใดนั้น เขาก็จุมพิตแก้มของเด็กสาว
เด็กสาวตกตะลึง นางลูบแก้มบริเวณที่ถูกเด็กชายจุมพิต “รัชทายาท พระองค์… ล่วงเกินหม่อมฉัน หม่อมฉันจะไปฟ้องท่านราชครู! ”
เด็กชายรีบคว้าตัวเด็กสาวไว้ ท่าทางของเขาดูจริงจังเป็นพิเศษ “ซีเอ๋อร์ อย่าบอกท่านราชครู! ความจริงแล้ว ข้าต้องการ… ต้องการ… ”
“ต้องการอันใด? ”
เด็กชายไม่ลังเลอีกต่อไป เขาตัดสินใจเอ่ยว่า “ซีเอ๋อร์ ข้าต้องการอภิเษกกับเจ้า ให้เจ้าเป็นพระชายาของข้า เป็นฮองเฮาในอนาคตของจักรวรรดิต้าฉิน! ”
เด็กสาวตกตะลึง นางรีบยัดตราประทับไปในอ้อมแขนของเด็กชาย “ไม่ ไม่ได้! ”
“เหตุใดจึงไม่ได้? ซีเอ๋อร์ หรือว่าเจ้าไม่ชอบข้า? ”
“ชอบ ทว่า… ทว่าหม่อมฉันอภิเษกกับพระองค์ไม่ได้… ”
“เพราะเหตุใด… ”
เด็กน้อยยังไม่รู้ว่าชอบคือสิ่งใด นางเพียงคิดว่า การชอบผู้ใดผู้หนึ่งก็เหมือนกับการถือหุ่นกระบอกและเข็มเงินไม่ห่างมือ
“รัชทายาท ซีเอ๋อร์ชอบพระองค์ และชอบเล่นกับพระองค์ด้วย ทว่าโตขึ้น ซีเอ๋อร์อยากแต่งงานกับ… ”
เด็กสาวยังพูดไม่ทันจบ ด้านหลังก็มีเสียงกังวานไพเราะราวกับหุบเขาดังขึ้น “ซีเอ๋อร์! ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเด็กสาวราวกับสายน้ำในฤดูใบไม้ผลิ นางรีบหันหลังกลับไป “ท่านอาจารย์! ”
ทิศทางที่เด็กสาวจ้องมอง ปรากฏร่างสีขาวดั่งหิมะเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้าราวกับเทพเซียนจุติลงมาจากสวรรค์
ภายใต้ฤดูใบไม้ผลิอันแสนสดใส ชุดสีขาวบริสุทธิ์อันเป็นเอกลักษณ์พลันพลิ้วไหว ไร้ซึ่งคราบฝุ่นละอองและรอยยับย่น