อวิ๋นจิ่นค่อยๆ หันหลังกลับมา รูปร่างสง่างามและทวงท่าราวกับเทพเซียน ใบหน้าหล่อเหล่าอย่างที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้นั้นเคร่งขรึมอย่างยิ่ง เขามองไปที่พ่อมดดั่งมองต้นหญ้าในโลกมนุษย์
คอของพ่อมดถูกตัดขาด เลือดไหลพุ่งออกมาราวกับน้ำพุ ก่อนจะล้มลงบนพื้นดัง ‘ตุบ’ ดวงตาของเขาจ้องมองใบหน้าของอวิ๋นจิ่นอย่างไม่เต็มใจ มุมปากเอ่ยว่า จิ่ว… คุณชายจิ่ว… เหตุ… เหตุใด…
ดวงตาคู่นั้นดูหวาดกลัวราวกับเห็นปีศาจในแดนนรกเก้าขุม
น่าเสียดายที่ยังเอ่ยคำพูดท่อนหลังไม่จบ พ่อมดก็สิ้นใจตายไปก่อน
อวิ๋นจิ่นหันกลับมามองด้วยสายตาเย็นชาว่างเปล่า เสื้อผ้าชั้นดีสีขาวหิมะทิ้งตัวลงโดยไร้รอยยับย่น อ่อนโยนราวกับแสงจันทร์ ชายเสื้อกวาดผ่านโคลนและคราบเลือดบนพื้น ทว่ากลับไร้รอยแปดเปื้อนใดๆ
ภายใต้แสงจันทร์ ร่างของอวิ๋นจิ่นยิ่งดูราวกับเทพเซียนบนสวรรค์ชั้นเก้า สงบนิ่ง สง่างาม เขาเหาะจากไปอย่างเงียบงัน
หลังอวิ๋นจิ่นจากไป ยังมีคนอีกสองคนมาถึงทางเข้าถ้ำ
หนึ่งคือเยี่ยโยวเหยาผู้แสนเย็นชาและหยิ่งทะนง อีกคนคือมู่หรงฉี
ขณะที่มู่หรงฉีมาถึง เยี่ยโยวเหยากำลังเดินเข้าไปในถ้ำ เมื่อได้ยินเสียงจากทางด้านหลัง เยี่ยโยวเหยาจึงหยุดฝีเท้าและหันกลับไป หลังจากเห็นว่าเป็นมู่หรงฉี เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
มู่หรงฉีแย้มยิ้มพลางเดินไปข้างหน้า “ช่างบังเอิญยิ่งนัก โยวอ๋องก็มาที่นี่ด้วยหรือ! ”
เยี่ยโยวเหยาไม่พูดสิ่งใด เขาทำเพียงพยักหน้า และเดินเข้าไปในถ้ำด้วยสายตาเย็นชาเต็มไปด้วยไอสังหาร
มู่หรงฉีเดินตามอยู่ด้านหลังอย่างเชื่องช้า
เมื่อเห็นร่างไร้ชีวิตของพ่อมด แววตาของเยี่ยโยวเหยาปรากฏความสงสัยเล็กน้อย ทว่าไม่นานก็เข้าใจว่าเกิดอันใดขึ้น แต่เขาไม่ได้พูดสิ่งใด
มู่หรงฉีก้าวไปข้างหน้าเพื่อตรวจสอบลมหายใจของพ่อมด
“สิ้นลมแล้ว! ผู้ใดลงมือกัน? ไม่คิดว่าจะมาถึงก่อนพวกเราหนึ่งก้าว! ”
มู่หรงฉีนึกไม่ออกว่ายังมีผู้ใดที่สามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้
หรือว่า…
มู่หรงฉีนึกถึงคนผู้หนึ่ง
อย่างไรก็ตาม เขาปฏิเสธอย่างรวดเร็ว
ต่อให้ตงหลิงหวงเจ็บแค้นที่นางถูกพ่อมดใช้มนตร์ดำทำร้าย ทว่านางไม่อาจตามหาที่อยู่ของพ่อมดได้ในเวลาอันสั้น ทั้งยังมาถึงก่อนพวกเขาก้าวหนึ่ง
กระทั่งมู่หรงฉีเอง กว่าจะตามหาพ่อมดเจอยังต้องใช้เวลาไม่น้อยทีเดียว!
เยี่ยโยวเหยาออกจากถ้ำไปแล้ว มู่หรงฉีกำลังจะจากไป ทันใดนั้น เสียงสะอื้นของสตรีก็ดังมาจากผ้าม่านที่อยู่ลึกเข้าไปในถ้ำ
มู่หรงฉีหยุดฝีเท้าและเดินไปตามเสียงนั้น
ชั้นม่านหมอกเปิดออก สายลมพัดโชย กลิ่นหอมอบอวล เมื่อก้าวเข้าใกล้เสียงนั้นมากขึ้น ลมหายใจที่คุ้นเคยทำให้หัวใจของมู่หรงฉีบีบรัดอย่างรุนแรง มือที่เปิดผ้าม่านพลันกำแน่น ทั้งยังก้าวเท้าด้วยความลังเล
“ท่าน… ท่านอย่าเข้ามา… ” ทันใดนั้น เสียงที่คุ้นเคยก็ดังมาจากส่วนลึกของผ้าม่าน
เสียงนั้นเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและความหวาดกลัว ไม่ต้องการให้มู่หรงฉีเข้าไปจริงๆ
ทว่าเมื่อได้ยินเสียงนั้น หัวใจของมู่หรงฉีรู้สึกราวกับมีบางสิ่งบีบรัดจนแน่น ทำให้เขาแทบหายใจไม่ออก
มุมปากของเขาสั่นระรัว และต้องการพูดอันใดบางอย่าง ทว่าคำพูดมากมายเหล่านั้นกลับกลายเป็นคำพูดประโยคเดียว “หลิงเซียว พี่ขอโทษ! ”
ทันใดนั้น เสียงสะอึกสะอื้นของหญิงสาวก็หยุดลง ราวกับว่าอากาศโดยรอบบริเวณถูกอัดแน่น
เมื่อมู่หรงฉีก้าวต่อไปข้างหน้า “อ้าก… ” หลิงเซียวจวิ้นจู่ที่อยู่ด้านหลังผ้าม่านก็กรีดร้องและร่ำไห้เสียงดัง
นางร้องไห้จนแผ่นดินโลกและสวรรค์โศกเศร้า ร้องไห้จนหัวใจแตกสลาย และร้องไห้ราวกับถ้ำจะพังทลายลงมา
มู่หรงฉีหยุดชะงัก เท้าหนักอึ้งนับพันชั่ง ไม่อาจก้าวไปข้างหน้าได้อีก
แม้เขาจะเคยหลั่งเลือดในสนามรบ และได้เห็นการนองเลือดนับครั้งไม่ถ้วน แม้ตอนที่อยู่ในห้องพิจารณาคดี เขาจะแสดงออกอย่างโหดเหี้ยม ทว่ายามนี้ เขากลับหวาดกลัว และไม่กล้าเผชิญหน้ากับความจริงที่อยู่หลังม่านหมอกนั้น
เวลาผ่านไป หลิงเซียวจวิ้นจู่ยังคงร้องไห้อย่างหนัก น้ำเสียงเศร้าโศกไม่อ่อนแรงลงแม้แต่น้อย แต่กลับยิ่งรุนแรงมากขึ้น
หัวใจที่ถูกบีบรัดของมู่หรงฉีค่อยๆ ผ่อนคลายลงด้วยความเจ็บปวดอย่างลึกซึ้ง นัยน์ตาของเขาแดงก่ำ เขายกมือปัดผ้าม่านที่เหลือออกทีละชั้น และเดินไปข้างหน้า
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าอย่างกะทันหัน หลิงเซียวจวิ้นจู่พลันตื่นตระหนก นางตะโกนว่า “อย่าเข้ามา ท่านอย่าเข้ามาที่นี่… ”
“ท่านถอยออกไป ข้าไม่ต้องการเห็นหน้าท่าน… ”
“ท่านออกไป ไปให้พ้น ไปให้พ้น! ”
สถานการณ์อันน่าสลดใจและสิ้นหวังอันใดที่ทำให้หญิงสาวผู้นี้ไม่ต้องการพบหน้าบุรุษอันเป็นที่รัก ทั้งที่นางต้องการความช่วยเหลือมากที่สุด และต้องการเอาชีวิตรอดมากที่สุด?
มู่หรงฉีไม่เพียงไม่หยุด แต่กลับเดินเร็วขึ้นอีกสองก้าว ในที่สุด… ผ้าม่านชั้นสุดท้ายก็ถูกเปิดออก…
นี่เป็นฝันร้ายที่มู่หรงฉีไม่อาจลบออกไปจากใจได้ตลอดชีวิต…
เป็นฝันร้ายชั่วชีวิต…
เขายืนนิ่งอยู่ที่เดิม ดวงตาแดงฉานราวกับลาวาแห่งนรก เห็นได้ชัดว่าดวงตาของเขาร้อนผ่าว ทว่าบรรยากาศโดยรอบกลับเย็นชาและกดดันอย่างน่าหวาดกลัว
มู่หรงฉีกำหมัดแน่น แม้เล็บจะแทงเข้าเนื้อ ทว่าเขาไม่รู้สึกเจ็บปวดแม้แต่น้อย ขาทั้งสองข้างหนักอึ้งราวกับมีตะกั่วถ่วงไว้ ไม่อาจเดินไปข้างหน้าได้เลย
ร่างเล็กผอมบางของหลิงเซียวจวิ้นจู่ขดตัวอยู่ในมุมที่หนาวเย็น เห็นได้ชัดว่านางไม่มีหนทางให้ถอยหนีได้อีกแล้ว ทว่านางยังคงหดตัวราวกับไม่เหลือความมั่นใจใดๆ ความเศร้าโศกเหลือคณา ดวงตาแดงฉานที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตา กลายเป็นสีแดงเพลิงแห่งความสิ้นหวัง เสื้อผ้าบนร่างกายหลุดลุ่ยไม่มีชิ้นดี ไม่มีส่วนใดเป็นระเบียบ รอบบริเวณเต็มไปด้วยเลือดสีแดง
เมื่อมู่หรงฉีปรากฏตัวขึ้น ร่างของนางพลันสั่นสะท้าน นางอดยกแขนเสื้อขึ้นมาปิดบังใบหน้าและร่างกายของตนเองไม่ได้
มุมปากของมู่หรงฉีกระตุก เขากำหมัดแน่นจนข้อนิ้วส่งเสียงดังแกร๊ก
เขาพูดว่า “หลิงเซียว ในโลกนี้มีผู้ใดที่คู่ควรกับความภาคภูมิใจของเจ้า ทำร้ายตัวเองเช่นนี้ได้อย่างไร? ”
น้ำเสียงที่คุ้นเคยนั้น ทำให้ประตูที่ปิดอยู่ในใจของหลิงเซียวจวิ้นจู่เปิดออก
นางไม่อาจทำตัวเข้มแข็งได้อีกต่อไป น้ำตาพลันไหลพราก นางพุ่งตัวเข้าไปกอดขาทั้งสองของมู่หรงฉี “พี่ฉี เหตุใดจึงมาตอนนี้? เหตุใดจึงมาช่วยหลิงเซียวตอนนี้? เหตุใด ก่อนหน้านี้ท่านไม่ปรากฏตัว? เพราะเหตุใด? ”
“พี่ฉี ท่านรู้หรือไม่ หลายวันมานี้หลิงเซียวหวาดกลัวมากเพียงใด? หลิงเซียวรอคอยที่จะพบท่านมากเพียงใด? เฝ้าหวังเพียงใดว่าท่านจะมาช่วยหลิงเซียว? ”
“พวกมันคือปีศาจร้าย เป็นปีศาจกินคน! เป็นปีศาจที่คลานออกมาจากขุมนรก! ”
ในโลกนี้มีปีศาจที่คลานออกมาจากขุมนรกที่ใดกัน?
สิ่งที่น่าหวาดกลัว… คือจิตใจของมนุษย์!
เส้นผมสีขาวหิมะนั้นสะดุดตามู่หรงฉี ทำให้เขาเจ็บปวดใจ เขาทรุดตัวลงกับพื้น พลางยกมือลูบไล้ผมขาวบนศีรษะของนางอย่างแผ่วเบา เมื่อมือเคลื่อนที่มาหยุดลงบนหัวไหล่ของหลิงเซียวจวิ้นจู่ เขาจึงสวมกอดร่างกายของนางอย่างระมัดระวังและอ่อนโยน
มู่หรงฉีเงยหน้าขึ้น บุรุษผู้ที่ในชีวิตนี้ไม่เคยเสียน้ำตาแม้แต่หยดเดียวกลับร้องไห้ออกมา เป็นเพราะอดกลั้นต่อความเจ็บปวดภายในหัวใจ ร่างกายของเขาจึงสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้
“น้องพี่ ทั้งหมดนี้เป็นคราวเคราะห์ เป็นคราวเคราะห์… ”
หลิงเซียวจวิ้นจู่ที่สิ้นหวังพลันได้สติ ความคิดของนางกระจ่างใสราวกับไม่เคยเป็นมาก่อน หัวใจของนางไม่เคยสดใสเท่ายามนี้
พี่ฉีของนาง เห็นนางเป็นน้องสาวเสมอมา นี่คือความจริง ที่นางไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าชีวิตนี้นางจะทุ่มเทและเสียสละมากเพียงใด
แต่คำว่ารัก มันง่ายเช่นนั้นหรือ?
หัวใจที่ทุ่มเทให้ไปแล้ว ยากที่จะเอากลับคืน แม้ร่างกายจะแหลกสลาย แม้ร่างกายจะเต็มไปด้วยบาดแผล ก็ไม่อาจฟื้นคืนได้
เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ ทันใดนั้น นางก็คว้าเสื้อของมู่หรงฉีและพูดว่า “ไม่… พี่ฉี พวกเราเป็นสามีภรรยากัน พวกเราเข้าพิธีอภิเษกสมรสกันแล้ว พี่ฉีคือพระสวามีของหลิงเซียว! คือพระสวามีของหลิงเซียว! พี่ฉี สวรรค์และโลกเป็นพยาน เป็นพยานรักของพวกเราทั้งสอง! ”