พันกว่าปีต่อมา จอมจักรพรรดิฝูซีกลับชาติมาเกิดเป็นรัชทายาทเสวียนเยี่ย ในฐานะโอรสสวรรค์
ใบหน้าของพ่อมดพลันซีดขาวอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น
บนผาเก็บดาว ซูจิ่นซีค่อยๆ ลืมตาขึ้น ขณะที่พลังวิญญาณค่อยๆ ไหลเข้าสู่ร่างของนาง
“แม่นางพิษน้อย เจ้าฟื้นแล้ว! ”
ดวงตาของจอมวายร้ายไป๋เฉ่าทอประกายอยู่ภายใต้หน้ากากเย็นชา
ซูจิ่นซีรู้สึกได้ถึงบางอย่าง นางค่อยๆ หันศีรษะมองไปทางเยี่ยโยวเหยาที่นอนอยู่ไม่ไกล เมื่อเห็นร่องรอยบริเวณลำคอของเยี่ยโยวเหยา แววตาของนางก็เต็มไปด้วยความสับสน
ซูจิ่นซีราวกับต้องการพูดบางอย่าง แต่กลับไม่พูดสิ่งใด ดวงตาของนางทอประกาย “เยี่ยโยวเหยา… ”
เยี่ยโยวเหยาลุกขึ้น ก่อนจะเดินมายังข้างกายของซูจิ่นซีอย่างเชื่องช้า และโอบกอดซูจิ่นซีไว้ในอ้อมแขน เขาก้มศีรษะลงไปที่หมวยผมของซูจิ่นซี พลางเงยหน้าและหลับตาลง
ซูจิ่นซีจึงหลับตาลงเช่นกัน น้ำตาของนางไหลรินอาบสองแก้ม
แม้จะถูกมนตร์ดำของพ่อมดทำร้ายจนเสียสติ ทว่าซูจิ่นซีรับรู้สึกได้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด
ตั้งแต่ที่สวนตี้เหมยเมืองเหยาเฉิง จนมาถึงสกุลจงเมืองเย่หลิน ตลอดทาง เยี่ยโยวเหยารีบเร่งเดินทางอย่างหวาดกลัวและบ้าคลั่ง
ที่สกุลจง เขาอยู่เคียงข้างนางตลอดเวลา
ตลอดทางจากเมืองเย่หลินแคว้นหนานหลี จนมาถึงผาเก็บดาวแคว้นตงเฉิน เขาไม่เคยทอดทิ้งนาง
ที่ด้านบนผาเก็บดาว นางสูญเสียการควบคุมและบ้าคลั่ง อาศัยเพียงความสามารถของเขา เขาย่อมสามารถหลบหลีกและหลุดพ้นไปได้ ทว่าเขาเลือกที่จะแบกรับด้วยตนเอง
ยังมี… อายุขัยสิบปีนั่นอีก…
เมื่อกลับมาพบกันอีกครั้ง หลังแยกจากกันด้วยความเป็นความตาย ย่อมมีคำพูดร้อยพันที่ต้องการบอก ทว่าเวลานี้ พวกเขากลับไม่พูดสิ่งใด ทำเพียงโอบกอดกันอย่างแนบแน่นและอยู่เคียงข้างกันอย่างเงียบงัน
คำพูดนับพัน เข้าใจถึงความห่วงใย
ตงหลิงหวงที่อยู่อีกด้านหนึ่งค่อยๆ ลืมตาขึ้น มู่หรงฉีที่ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลพลันรู้สึกยินดี เขาไม่ได้สนใจบาดแผลบนร่าง และรีบวิ่งไปยังข้างกายตงหลิงหวง พลางจับมือของนาง
“เจ้าฟื้นแล้ว ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นแล้ว? เป็นอย่างไรบ้าง? รู้สึกไม่สบายที่ใดหรือไม่? ”
หากในเวลานี้มีผู้ที่รู้จักมู่หรงฉีดี ย่อมรู้ว่ามู่หรงฉีไม่เคยสูญเสียการควบคุมในสถานการณ์เช่นนี้
ตงหลิงหวงที่นอนอยู่บนเตียงศิลา มองมู่หรงฉีที่เป็นเช่นนี้ด้วยความรู้สึกตกใจเล็กน้อย ทว่านางรีบซ่อนความรู้สึกทั้งหมดในดวงตา ทั้งยังแสดงออกอย่างเงียบงัน ก่อนจะดึงมือตนเองออกจากมือของมู่หรงฉี
ดวงตาของมู่หรงฉีปรากฏความอึดอัดและสิ้นหวัง
จากนั้น ตงหลิงหวงก็มองตงหลิงจวิ้นที่อยู่ด้านหลังของมู่หรงฉี
ตงหลิงจวิ้นรีบเดินมาข้างหน้า “พี่หญิง ท่านรู้สึกอย่างไร? ดีขึ้นบ้างหรือไม่? ”
ตงหลิงหวงพยักหน้าเล็กน้อย “ดีขึ้นมากแล้ว ขอบใจเจ้ามาก จวิ้นเอ๋อร์ ที่นี่คือที่ใด? ”
“ท่านพี่ แท้จริงแล้ว จวิ้นเอ๋อร์ไม่ได้ทำสิ่งใด หากท่านจะขอบคุณ ก็ขอบคุณฉีอ๋องเถิด! ฉีอ๋องให้จวิ้นเอ๋อร์พาท่านพี่ออกมา และเป็นฉีอ๋องที่พาท่านพี่มายังผาเก็บดาวแห่งนี้ เพื่อช่วยท่านพี่ ฉีอ๋องจึงได้รับบาดเจ็บตอนที่ไปตามหาไข่มุกทะเลใต้พิภพ ทั้งเขายังเกือบจะเสียชีวิตอีกด้วย”
ตงหลิงหวงจึงหันไปตรวจดูมู่หรงฉีอย่างจริงจัง นางพบว่าร่างกายของมู่หรงฉีเต็มไปด้วยบาดแผล แม้กระทั่งบนใบหน้า ทั้งบาดแผลเหล่านั้นล้วนเป็นบาดแผลที่เกิดจากไฟไหม้ทั้งสิ้น
บาดแผลเหล่านั้น คงเจ็บปวดมากกระมัง?
ตงหลิงหวงขมวดคิ้วเล็กน้อย ดวงตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดอย่างชัดเจน ทว่าไม่นานก็ถูกแทนที่ด้วยท่าทางไม่แยแส ซึ่งไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น
“ขอบคุณฉีอ๋องที่ช่วยชีวิต ข้า เชื้อพระวงศ์แห่งแคว้นตงเฉินจะไม่ลืมบุญคุณของฉีอ๋องในครั้งนี้ หากมีโอกาสต้องตอบแทนอย่างแน่นอน! ”
เห็นได้ชัดว่าเป็นคำพูดที่ไร้ช่องโหว่ ในกรณีนี้ก็สมเหตุสมผลดี ทว่าในใจของมู่หรงฉีกลับรู้สึกอัดอั้นราวกับมีบางอย่างขวางกั้น ทั้งเขายังรู้สึกหงุดหงิดใจอย่างบอกไม่ถูก
เขารู้ดีว่าตนเองเป็นคนโลภ และต้องการบางอย่างที่มากกว่านี้ แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด
……
เวลาผ่านไปนานแล้ว เยี่ยโยวเหยาจึงปล่อยซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีเดินลงจากเตียงศิลา รอยยิ้มอบอุ่นทักทายมาจากระยะไกล
ซูจิ่นซีรู้สึกได้ถึงบางอย่าง มือที่ค้ำเตียงไว้พลันหยุดชะงัก ทันใดนั้น นางก็เงยหน้าขึ้น เป็นดั่งที่คิดไว้จริงๆ อวิ๋นจิ่นยืนอยู่ด้านนอกไม่ไกลนัก
อวิ๋นจิ่นเดินมาข้างหน้าสองก้าว เขายังคงมีรอยยิ้มอบอุ่นดังเดิม เป็นรอยยิ้มสำหรับซูจิ่นซี รอยยิ้มนั้นราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิที่พัดผ่านต้นหลิว ผีเสื้อโบยบินล้อหมู่ภมร ดอกไม้ทั่วทั้งผาเก็บดาวผลิบาน
“พระชายา”
หากเป็นเมื่อก่อน เมื่อเผชิญหน้ากับรอยยิ้มของอวิ๋นจิ่น ซูจิ่นซีคงมอบรอยยิ้มอ่อนโยนกลับไป ทว่าเวลานี้ ซูจิ่นซีกลับขมวดคิ้วเล็กน้อยโดยไม่พูดสิ่งใด
ราวกับมีบางอย่างเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบงัน
ผ่านไปครู่ใหญ่ ซูจิ่นซีจึงกล่าวทักทายตามปกติ “หมอหลวงอวิ๋น ในที่สุดท่านก็กลับมา”
อวิ๋นจิ่นพูดอย่างละอายเล็กน้อย “กระหม่อมหลงทางอยู่ในดินแดนต้องห้ามของสกุลจง ทั้งยังติดอยู่ในดินแดนเสมือนจริง จึงไม่อาจออกมาได้ทันเวลา ทำให้พระชายาเป็นกังวลแล้ว”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วแน่นขึ้นเล็กน้อย “ไม่เป็นอันใดก็ดีแล้ว! ”
……
ทุกคนอำลาผาเก็บดาวอย่างรวดเร็ว
ตงหลิงหวงและตงหลิงจวิ้นกล่าวลาทุกคน ก่อนจะกลับวังหลวงแคว้นตงเฉิน
เมื่อเห็นตงหลิงหวงมีท่าทีเฉยเมย ทั้งยังจากไปอย่างไม่ลังเล ภายในใจของมู่หรงฉีรู้สึกเสียใจจนไม่อาจพรรณนา
เขาเดินไปที่ขอบหน้าผา นำจี้หยกที่มีความสัมพันธ์กับจงจื่อเยียนออกมา และใช้พลังภายในทำลาย ทันทีที่คลายมือออก ผงหยกที่ถูกบดจนละเอียดก็ลอยออกไป
จากนั้นจึงหันหลังกลับ และควบม้าตามทุกคนไปอย่างรวดเร็ว
แม้จะมีรถม้า ทว่าซูจิ่นซีไม่นั่ง ตลอดทาง นางขึ้นไปนั่งบนม้าตัวเดียวกับเยี่ยโยวเหยา
ซูจิ่นซีสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่คุ้นเคยอันแข็งแกร่งและทรงพลังของบุรุษที่อยู่ด้านหลัง นางขยับตัวเพื่อหาท่าทางที่เหมาะสมและผ่อนคลาย ก่อนจะซุกศีรษะไว้ในอ้อมอกของเยี่ยโยวเหยา พลางหลับตาลงอย่างพึงพอใจ
ตอนที่ซูจิ่นซีถูกควบคุมโดยพลังมนตร์ดำของพ่อมด นางคิดว่าคงไม่มีโอกาสได้มีความสุขอยู่ในอ้อมแขนอันอบอุ่นและปลอดภัยนี้แล้ว
ร่างเล็กกะทัดรัดของซูจิ่นซีถูกบดบังด้วยร่างของเยี่ยโยวเหยา ทั้งนางยังหลับตา นางจึงไม่เห็นอวิ๋นจิ่นที่ควบม้าตามติดมาด้านหลัง ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความอ้างว้างโดดเดี่ยว
หลังจากกลับมาถึงเมืองเย่หลิน เยี่ยโยวเหยาจึงพาซูจิ่นซีกลับมาที่คฤหาสน์ในเมืองเย่หลินของพวกเขา ส่วนมู่หรงฉีก็กลับจวนฉีอ๋อง
เดิมที อวิ๋นจิ่นบอกทุกคนว่าจะกลับสกุลจง ทว่าขณะที่ผ่านถนนฉางอัน เมื่อแน่ใจว่าไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น อวิ๋นจิ่นก็ควบม้าออกนอกเมือง
ค่ำคืนมืดมิด ท้องฟ้ากลายเป็นสีดำสนิท
ภูเขาและป่าด้านนอกเมืองเย่หลินถูกปกคลุมไปด้วยหมอกควันหนาทึบ แม้จะมีแสงจันทร์ ทว่าในระยะเพียงหนึ่งก้าว กลับไม่อาจมองเห็นสิ่งใดได้เลย
ภายในถ้ำลึกลับกลางป่าแห่งหนึ่ง เสียงหัวเราะของหญิงสาวและเสียงครวญครางที่ไม่น่าฟังดังออกมาอย่างต่อเนื่อง
เพียงได้ยินครั้งแรก ก็นับว่าแปลกประหลาดอย่างมาก เมื่ออยู่ท่ามกลางสายหมอก ขุนเขา และป่าลึก
ทางเดินคับแคบมืดมิด เมื่อเดินเข้าไปจนสุดทาง ภายในถ้ำมีแสงไฟ ม่านหมอกสะท้อนแสงระยิบระยับ ละอองน้ำซ้อนกันเป็นชั้นๆ
พ่อมดในเสื้อคลุมสีดำลึกลับ เดินหยอกล้อกับหญิงสาว ดวงตาภายใต้ใบหน้าดุร้ายเต็มไปตัณหาจนทำให้หญิงสาวผู้นั้นใบหน้าแดงก่ำ
ทันใดนั้น แสงสีขาวก็เปล่งประกายขึ้น พ่อมดหยุดชะงัก ใบหน้าน่ากลัวยิ่งถมึงทึง เขาค่อยๆ หันหลังกลับมาอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น…
เมื่อเห็นร่างสีขาวที่อยู่ข้างหลัง ใบหน้าถมึงทึงก็แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัว
พ่อมดชี้นิ้ว และเอ่ยอย่างไม่เชื่อสายตาว่า “เจ้า… เป็นเจ้า… ”