[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื่อน] ตอนที่ 22 นายท่านตระกูลอวิ๋นผู้น่าสงสาร

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

หลิวจิ้นเป่าเห็นสายตาเย็นชาของอวิ๋นเยี่ยจึงรีบคกเข่าลง แต่ไหนแต่ไรมานายท่านไม่เคยใช้สายตาเช่นนี้มองผู้อื่น หรือจะบอกว่ายังมีเรื่องที่ตัวเองไม่รู้เกิดขึ้น?

 

 

อวิ๋นเยี่ยหยิบกล้วยเครือสุดท้ายมาจากใต้บันได ปอกเปลือกออก หั่นเป็นชิ้นๆ มีดเล็กขยับไปมาอย่างคล่องแคล่ว ไม่นานกล้วยเครือนั้นก็ถูกหั่นเป็นชิ้นที่มีขนาดเท่ากัน เด็กสองคนนำกล้วยไปวางเรียงบนเสื่อไม้ไผ่ แล้วขนไปตากแดดข้างนอก

 

 

“หรงเอ๋อร์สุขภาพแข็งแรงดีหรือไม่”

 

 

เมื่อครู่ก่อนอวิ๋นเยี่ยมีความรู้สึกไม่พอใจต่อชาวฉางอันที่อาศัยอยู่ในหลิ่งหนาน ไม่รู้ว่าความโกรธแค้นนี้มาจากไหน รู้แค่ว่าความโกรธกำลังลุกเป็นไฟอย่างไร้เหตุผล แต่จู่ๆ ก็คิดว่าตัวเองทำแบบนี้ช่างไร้เหตุผลเสียจริง หน้าที่ที่ตัวเองมอบให้แก่หลิวจิ้นเป่าก็คือดูแลปกป้องลูกชายของตัวเองให้ดี ส่วนเรื่องอื่นนั้นไม่เกี่ยวกับเขา ดังนั้นเมื่อครู่จึงได้หั่นกล้วยต่อเพื่อปรับอารมณ์ของตัวเองให้เย็นลง

 

 

“เรียนนายท่านขอรับ นายน้อยร่าเริงแจ่มใสดีขอรับ ไม่เจ็บไม่ป่วย กินนมเยอะมาก องค์หญิงเพียงคนเดียวป้อนนมไม่ไหว จึงได้ให้แม่นมมาช่วยป้อน ถึงจะทำให้นายน้อยอิ่มได้ หากเป็นแบบนี้ไปอีกหลายวัน คาดว่าแม่นมเพียงคนเดียวก็คงเอาไม่อยู่”

 

 

หลิวจิ้นเป่ารู้จักนิสัยของนายท่านดี หากรู้สึกหดหู่ ขอเพียงแค่คิดได้ทุกอย่างก็จะดีขึ้น ดังนั้นจึงได้นำเรื่องดื่มนมของนายน้อยมาพูดเพื่อให้อวิ๋นเยี่ยดีใจ

 

 

มันได้ผล ใบหน้าของอวิ๋นเยี่ยเริ่มมีรอยยิ้มผุดขึ้น วางมีดในมือลง ตักน้ำออกมาจากโอ่งแล้วส่งให้หลิวจิ้นเป่า เพื่อให้เขาเทให้ตัวเองล้างมือ

 

 

“ท่านโหว ท่านมาถึงหลิ่งหนาน เหตุใดไม่พาองครักษ์มาด้วย หรือว่าพวกเหล่าจวงตายกันหมดแล้ว”

 

 

“เหลวไหล เจ้าคิดว่าข้าอยากจะมาที่หลิ่งหนานอย่างนั้นหรือ ข้าถูกคนจับพาตัวมาที่หนานจ้าวต่างหาก จากนั้นก็หาทางมาที่หลิ่งหนาน ต้องเผชิญความยากลำบากมากมาย เมื่อครู่ความโกรธก็เกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ หากไม่ใช่เพราะเจ้าพูดเรื่องลูกทำให้ข้าดีใจ วันนี้เจ้าคงหนีไม่พ้นกำปั้นของข้าแน่”

 

 

หลิวจิ้นเป่าร่างกายกำยำ มีกล้ามเนื้อแน่นไปทั้งตัว กวาดสายตามองไปทั่วทั้งสี่ทิศ หวังจะหาคนร้ายที่ลักพาตัวท่านโหวของเขา

 

 

อวิ๋นเยี่ยเตะเขาไปหนึ่งครั้งแล้วพูดว่า “เทน้ำดีๆ หากข้ารอให้พวกเจ้ามาช่วย ป่านนี้คงกลายเป็นศพไปแล้ว จะมาแกล้งทำเป็นเดือดร้อนอะไรตอนนี้ พวกที่ลักพาตัวข้าตายกันหมดแล้ว ไม่มีรอดแม้แต่คนเดียว”

 

 

“ท่านโหว วิทยายุทธสุดยอด!”

 

 

ทันใดนั้นความชื่นชมของหลิวจิ้นเป่าที่มีต่อท่านโหวของเขาก็เหมือนกับเสียงเยินยอจากแม่น้ำที่พลุ่งพล่าน

 

 

ไม่ได้ยินคนพูดประจบมาหลายวันแล้ว เมื่อได้ฟังก็รู้สึกคุ้นเคยและดีใจ ความหดหู่ที่เกิดขึ้นจากการถูกลักพาตัวมาก็หายไปในทันที ยังคงเป็นคนในครอบครัวที่ดีต่อเขามากที่สุด

 

 

ท่านผู้เฒ่ายืนอยู่ด้านนอกห้อง มองเห็นเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นในห้อง ผู้ที่ดูยิ่งใหญ่และสง่างามในเมืองยงโจว ท่านเป่าที่ปกติดูเย่อหยิ่งหากพออยู่ต่อหน้าแขกของตัวเองกลับดูว่านอนสอนง่ายเหมือนกับลูกหมา

 

 

สามารถดูออกได้ว่าแขกของตัวเองนั้นต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่ หากความสัมพันธ์ของตัวเองและแขกนั้นกระชับขึ้นมาอีกสักนิด ไม่แน่หมู่บ้านของตัวเองอาจจะไม่ต้องมีเรื่องให้กังวล มองกลับไปด้านหลังที่ว่างเปล่าอย่างมีความสุข ที่ภูเขาลูกนั้น เสบียงอาหารที่องค์หญิงให้เป็นของขวัญคงเริ่มออกเดินทางแล้ว

 

 

“ท่านผู้เฒ่า ไม่ทราบว่าเครื่องบรรณาการที่ท่านนำไปมอบให้ครั้งนี้ได้ผลเป็นอย่างไรบ้าง” อวิ๋นเยี่ยยิ้มแล้วพูดคุยกับท่านผู้เฒ่าที่อยู่นอกรั้ว เขาชอบพูดคุยกับท่านผู้เฒ่า เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง แต่รู้สึกน่าสนใจเป็นอย่างมาก

 

 

“องค์หญิงชอบทองก้อนนั้นที่ท่านให้ยืมเป็นอย่างมาก แล้วยังมอบเสบียงอาหารให้อีกมากมาย เช่นนี้พวกเราก็มีเสบียงอาหารพอกินแล้ว และมากพอที่จะให้ข้าหมักเหล้าได้อีกหลายไห คืนนี้ข้าของเชิญท่านมาร่วมดื่มด้วย”

 

 

“ดีเลย เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจแล้ว อย่าลืมเรียกเหมิงหลู่มาด้วย พวกเราคุยกันถูกคอมาก”

 

 

“ท่านกับเหมิงหลู่? เหมิงหลู่พูดภาษาของชาวจงหยวนได้ตั้งแต่เมื่อไหร่”

 

 

“ท่านผู้เฒ่า ท่านเป็นคนฉลาด หรือท่านไม่รู้ว่าการสนทนาไม่จำเป็นต้องใช้คำพูด ยังมีวิธีอื่นๆ อีก” อวิ๋นเยี่ยภูมิใจกับการสร้างสรรค์รูปภาพมาใช้แทนการสนทนาของตัวเองเป็นอย่างมาก ภายหน้าหากได้พูดคุยกับคนชนเผ่าอื่นก็จะใช้วิธีนี้

 

 

ท่านผู้เฒ่าไปถามคนในชนเผ่าตัวเองอย่างงุนงงว่ากล้วยพวกนี้มาจากไหน กล้วยพวกนี้เป็นเสบียงอาหารที่ดี เมื่อตากแห้งแล้วนำมาต้มเป็นโจ๊ก ไม่เพียงแค่หอมหวาน แต่ยังช่วยให้อิ่มท้อง กล้วยพวกนี้หามาจากไหนกัน

 

 

อวิ๋นเยี่ยเดินเข้าไปในหอจู๋โหลว หลิวจิ้นเป่าเดินตามเข้ามาด้วย องครักษ์ของตระกูลอวิ๋นที่ติดตามมาด้วยเดินแยกตัวออกไปอย่างรู้งาน คอยเฝ้าระวังรอบๆ หอจู๋โหลว

 

 

“ออกมาครั้งนี้หวังว่าเจ้าจะไม่ได้บอกใคร” อวิ๋นเยี่ยเลิกคิ้วถามหลิวจิ้นเป่า เขาเป็นกังวลว่าหลี่อันหลานจะรู้ว่าตัวเองมาถึงหลิ่งหนานแล้ว เช่นนั้นจะไม่เป็นผลดีต่อตัวเองในสถานการณ์เช่นนี้

 

 

“ท่านโหวไม่ได้บอกให้ข้าน้อยบอกใคร เพียงแค่พูดว่าให้ข้าน้อยมาที่หมู่บ้าน แน่นอนว่าข้าไม่ได้บอกใครทั้งนั้น แม้แต่สหายที่อยู่ข้างล่างหอก็พึ่งจะทราบเมื่อสักครู่นี้”

 

 

“ดีมาก ในที่สุดเหล่าจวงก็สอนเจ้าออกมาได้ดีเช่นนี้ มีความเด็ดเดี่ยว ข้ามาถึงหลิ่งหนานก็ไม่มีใครรู้ ทั้งคนที่บ้านและคนในราชสำนักไม่มีใครรู้เลยสักคน บางทีฝ่าบาทอาจจะรู้ว่าข้าถูกโต้วเยี่ยนซานลักพาตัวมา แต่เขาคงคาดไม่ถึงว่าข้าจะข้ามภูเขานับหมื่นมาจนถึงหลิ่งหนาน”

 

 

“โต้วเยี่ยนซาน?” เส้นประสาทของหลิวจิ้นเป่ากระตุกขึ้นเมื่อเขาพูดถึงชื่อนี้ นี่คือบุคคลอันตราย เผาเมืองฉางอัน ลอบฆ่าฮ่องเต้ วางยาฮ่องเต้ ขึ้นชื่อเรื่องความโหดร้าย ทำให้คนรู้สึกหวาดกลัว

 

 

“ข้าบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าเขาตายแล้ว ไม่เช่นนั้นท่านโหวของเจ้าจะมีอารมณ์อยากพักผ่อนในวันหยุดที่หมู่บ้านแห่งนี้ได้อย่างไร”

 

 

“ท่านเป็นคนฆ่า?”

 

 

คำพูดนี้ออกจากปากหลิวจิ้นเป่าทำให้รู้สึกแย่ เมื่อครู่ตัวเองพึ่งจะสรรเสริญว่าท่านโหวนั้นกล้าหาญไม่มีใครเทียบได้ ฆ่าโจรตายไปหลายคนราวกับบี้มดตายไปหลายตัว ดังนั้นเมื่อพูดคำนี้ออกไป ก็แสดงว่าคำพูดพวกนั้นช่างไร้สาระ

 

 

ถูกเตะไปหนึ่งที หลิวจิ้นเป่าจึงได้วางใจ ท่านโหวเตะคนได้ แสดงว่าคงไม่เป็นอะไร

 

 

“ท่านโหว ทองหัววัวนั้นเป็นสมบัติที่หายาก เหตุใดท่านไม่เก็บเอาไว้เพื่อเพิ่มความเป็นสิริมงคล เหตุใดจึงมอบให้องค์หญิง สิ่งของมีค่าควรจะเป็นของตระกูลเราทั้งหมด ถึงแม้ว่าองค์หญิงจะเป็นแม่ของนายน้อย แต่มันก็ไม่เหมือนกัน”

 

 

“ทำไมจะไม่เหมือนกัน” อวิ๋นเยี่ยถามทั้งๆ ที่รู้

 

 

“นายน้อยเป็นคนของตระกูลเรา แต่องค์หญิงไม่ใช่ ไม่ว่าท่านจะให้อะไรแก่นายน้อยนั่นเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว แต่กับองค์หญิงนั้นไม่เหมือนกัน นางทุ่มเทให้กับการดูแลดินแดน นอกจากการเลี้ยงนายน้อยแล้ว นางก็ไม่เคยสนใจตระกูลอวิ๋นเลย กิจการของตระกูลเราที่หลิ่งหนานยังต้องเสียภาษีอีกด้วย แถมยังต้องจ่ายมากกว่าคนอื่นๆ อีก เถ้าแก่หลิวมาคุยกับข้าหลายรอบแล้ว ให้ข้าช่วยเกลี้ยกล่อมองค์หญิง ถึงแม้จะไม่ให้สิทธิพิเศษแก่ตระกูลอวิ๋น แต่อย่างน้อยก็ควรจะให้สิทธิที่เท่าเทียมกัน ท่านไม่คิดว่านางเอื้อให้แก่คนนอกมากกว่าหรอกหรือ”

 

 

“เจ้าช่างขี้บ่นเหมือนกับคนแก่เสียจริง ทองก้อนนั้นไม่ได้จะให้องค์หญิง เพียงแต่ให้คนพวกนั้นดู ไม่หลอกล่อพวกเขาแล้วจะบุกเข้าไปในหุบเขาได้อย่างไร หากไม่เข้าไปในหุบเขา ข้าจะจัดการพวกเขาได้อย่างไร หากไม่จัดการพวกเฝิงอั้งแล้วจะจัดการความคิดที่พวกเขาจะยึดครองหลิ่งหนานได้อย่างไร การที่องค์หญิงเก็บภาษีจากตระกูลอวิ๋นไปเยอะนั้นเป็นเรื่องสมควรแล้ว ที่จริงแล้วร้านค้าที่หลิ่งหนานมีไว้เพื่อหาเงินให้นาง นางคิดจะใช้อย่างไรก็แล้วแต่นาง ปัญหาเพียงแค่เรื่องเงินนิดเดียวก็ยอมไม่ได้ ช่างไม่ได้เรื่องเสียจริง”

 

 

ได้ฟังแผนการของท่านโหว หลิวจิ้นเป่ารู้สึกตื่นเต้น ใบหน้าเริ่มแดงขึ้นมา ตีที่หน้าอกแล้วพูดว่า “ท่านโหวต้องการให้ข้าทำอะไร สั่งมาได้เลย จะต้องจัดการพวกเขาให้ได้ ไม่ให้เหลือแม้แต่ซาก”

 

 

หลิวจิ้นเป่าตื้นตันจนแทบจะร้องไห้ ในที่สุดท่านโหวของเขาก็รู้จักฆ่าคนแล้ว ในสายตาของเขา ท่านโหวที่ไม่เคยฆ่าใครคนนั้นไม่มีคุณสมบัติมากพอจะเป็นท่านโหว มีดล้ำค่าของตัวเองที่ไม่เคยได้เปื้อนเลือดย่อมไร้ประโยชน์ เหมือนไม่ได้ใช้ทักษะที่มีของตัวเอง ลุงเจียงเคยบอกว่าตัวเองนั้นเป็นนักฆ่าแต่กำเนิด สักวันจะต้องตายด้วยคมดาบ ไม่เป็นไร ขอเพียงแค่ก่อนตายได้ฆ่าอย่างสะใจ ถึงแม้ตายก็ไม่เสียดาย

 

 

อวิ๋นเยี่ยถูกสายตาอำมหิตของหลิวจิ้นเป่าทำให้ตกใจ ในสมองของเขามีแต่ความคิดที่จะฆ่าคน ดูจากอารมณ์ของเขาในตอนนี้ดูเหมือนอยากจะหาคนมาฆ่า ทำไมเมืองที่สวยงามอยางกวนจงจึงได้มีคนโง่เช่นนี้

 

 

“บอกข้ามาตามตรง เจ้าฆ่าคนในเมืองหลิ่งหนานตายไปมากแค่ไหน” ไม่ได้ถามว่าฆ่าไปกี่คน ดูจากกลิ่นอายของการฆ่าคนบนตัวเขาที่ล้างไม่ออก คนที่ตายด้วยน้ำมือของเขาเกรงว่าจะนับไม่ถ้วน

 

 

“ท่านโหว ข้าน้อยก็เพียงแต่แค่ติดตามท่านแม่ทัพไปที่ริมฝั่งมหาสมุทร มีคนในแคว้นเล็กๆ ไม่อนุญาตให้กลุ่มพ่อค้าของตระกูลเราใช้ช้อนเพื่อแลกอัญมณีและเครื่องหอม ดังนั้นเถ้าแก่หลิวจึงโกรธ ตระกูลเราแล้วก็มีคนขององค์หญิงที่รวมกันสามร้อยคนจึงจัดการคนพวกนั้น ท่านโหว ตอนนี้ทิศทางลมนั้นแปรปรวน นั่งเรือกลับไม่ได้ ไม่เช่นนั้นท่านก็จะได้พบกับเรือที่มีแต่สมบัติล้ำค่า อัญมณีสีเขียวมรกตที่ใหญ่เท่ากำปั้น และยังมีเพชรตาแมว เหล่าหลิวตั้งใจซ่อนอัญมณีชั้นเลิศไว้เป็นพิเศษ เตรียมไว้เอากลับไปให้ท่านย่า แล้วยังบอกอีกว่าสิ่งของของตระกูลเราน่าเสียดายถ้าจะให้องค์หญิง”

 

 

อวิ๋นเยี่ยยิ้มออกมา เงาของซินเย่วโผล่มาตลอดเวลา หลี่อันหลานถูกต่อต้านจากเจ้าของร้านเพราะว่าเรียกเก็บภาษีจำนวนมาก ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าองค์หญิงต้องไม่ได้รับเงินในส่วนของตัวเองเป็นแน่ เทียบไม่ได้เลยกับน่ารื่อมู่

 

 

“เจ้าไม่ได้ให้เงินในส่วนของหรงเอ๋อร์ใช่ไหม”

 

 

“ท่านโหว นายน้อยจะขาดส่วนนี้ไปได้เช่นไร สมบัติทั้งสามห้องกองเต็มจนจะถึงเพดานแล้ว แม่บ้านเหอเป็นคนดูแลกุญแจ องค์หญิงขอหลายครั้งก็ไม่เคยให้ ทุกเดือนก็จะลงบัญชีกับเถ้าแก่หลิวหนึ่งครั้ง ข้าน้อยเป็นพยาน ไม่มีการโกงแม้แต่บาทเดียว วันนั้นเถ้าแก่หลิวและแม่บ้านเหอจัดงานต้อนรับ จัดงานเลี้ยงโต๊ะจีนที่เมืองยงโจวสามวัน ใครจะมาก็ได้ขอเพียงแค่มาอวยพรความเป็นศิริมงคลให้กับนายน้อยก็พอ จะกินอะไรก็ได้ แกะในพื้นที่รัศมีสามลี้ถูกฆ่าตายหมดแล้ว เถ้าแก่หลิวบอกว่าอาหารเรียบง่ายเกินไป คนก็มาน้อยไม่สมศักดิ์ศรีของนายน้อยเอาเสียเลย”

 

 

อวิ๋นเยี่ยอ้าปากค้าง นี่เรียกว่าเรียบง่ายหรือ แต่ก็จริง ตอนนี้หลิ่งหนานไม่มีอะไรน่ากิน อาหารทะเลที่ล้ำค่าคนกวนจงก็กินไม่ถนัด สิ่งของล้ำค่าในหุบเขาก็ไม่มีข้อมูลที่แน่ชัด คนในราชวงศ์ถังไม่ชอบกินอาหารป่า เพราะว่าสัตว์ป่าที่เกิดตามธรรมชาตินั้นผอมมาก ไม่มีน้ำมัน เทียบไม่ได้เลยกับอาหารที่หลากหลายของตระกูลอวิ๋น ราษฎรที่อาศัยอยู่ในเมืองยงโจวอดตายไปแล้วกว่าสองพันคน เทียบไม่ได้แม้แต่เมืองเล็กๆ ของกวงจง แน่นอนว่ามีความทุรกันดารอยู่บ้าง

 

 

“พวกเจ้าผลักไสไล่ส่งองค์หญิงแล้วนางไม่โกรธหรือ ไม่ใช่ว่ามีคนในเมืองหลายคนมาขอนางแต่งงานหรอกหรือไง” อวิ๋นเยี่ยไม่เข้าใจว่าหลี่อันหลานคิดอะไรอยู่ หากเป็นซินเย่วงานเลี้ยงครบรอบหนึ่งร้อยวันของลูกชายตัวเองแต่ตัวเองกลับไม่มีสิทธิในการตัดสินใจ นางคงเผาห้องให้ลุกเป็นไฟ หญิงสาวที่แข็งแกร่งแห่งดินแดนเสฉวนไม่ใช่คนที่อ่อนแออย่างองค์หญิงจะเทียบได้

 

 

“เหตุใดองค์หญิงจะต้องคัดค้าน นายน้อยของพวกเรา พวกเราก็อยากจะจัดงานให้ยิ่งใหญ่ แล้วนางก็ไม่ต้องออกเงิน อีกอย่างพวกเราก็เป็นคนรับใช้ของนายน้อย ไม่ใช่ขององค์หญิง เถ้าแก่หลิวและแม่บ้านเหอพูดเรื่องนี้ไว้ชัดเจน หากไม่ใช่เพราะว่านายน้อยห่างจากแม่ไม่ได้ พวกข้าก็อยากจะสร้างห้องใหญ่ให้กับนายน้อย ตอนนี้อาศัยอยู่ในตำหนักเล็กๆ ขององค์หญิงเลยต้องลำบากนายน้อย คิดถึงบ้านของเราที่อยู่ในเมืองหลวง แล้วหันกลับไปดูที่ที่นายน้อยอาศัยอยู่ แม่บ้านเหอพูดไปก็ร้องไห้ไป”