บริษัทของเซียวจิ่งสือเกิดปัญหาตอนแรกยังไม่มีคนรู้ ต่อมาปัญหามีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ บริษัทคู่แข่งเอามาแฉมากขึ้น ทำให้บริษัทวุ่นวายปั่นป่วนขึ้นมา
หลินหว่านได้แต่มองดูบริษัทของเซียวจิ่งสือทรุดลงไปทุกวันอย่างช่วยอะไรไม่ได้ ก็พลอยรู้สึกว้าวุ่นใจไปด้วย
เห็นได้ชัดว่าเซียวจิ่งสือเองก็ปั่นป่วนอยู่บ้าง ออกไปแต่เช้ากลับดึกดื่นค่อนคืนทุกวัน หน้าดำคล้ำเครียดเหนื่อยล้าลงทุกวัน เห็นแล้วหลินหว่านได้แต่นึกปวดใจ
“ยังหาคนมาร่วมทุนไม่ได้หรือคะ?” หลินหว่านถามเมื่อเห็นเซียวจิ่งสือกลับมาอย่างอ่อนล้าอีกครั้ง
“ไม่มี” เซียวจิ่งสือดูเหนื่อยมาก เขาตอบมาคำหนึ่งแล้วไม่พูดอะไรอีก หลินหว่านก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีก เธอได้ไปหาคนช่วยหลายราย แต่คนในวงการธุรกิจเหมือนจะรู้ว่าเซียวจิ่งสือใกล้จะล้มละลาย จึงพากันหลีกลี้หนีห่าง แน่นอนว่าไม่มีใครยอมช่วย
ทำอะไรไม่ได้ หลินหว่านจึงได้แต่มองดูเซียวจิ่งสือออกไปวิ่งเต้นหาคนมาร่วมทุน
ตอนนี้เธอเองก็หมดหนทางหาคนมาช่วยแล้ว
“พักสักหน่อยเถอะค่ะ” หลินหว่านแอบถอนใจ เธอได้แต่ให้เซียวจิ่งสือพักผ่อนจะได้ไม่เหนื่อยเกินไป บริษัทล้มไปยังสร้างใหม่ได้ แต่สุขภาพเสียไปเอากลับคืนมาไม่ได้
ระหว่างที่คิดอยู่นั้น เซียวจิ่งสือนอนหลับไปแล้ว คงจะเหนื่อยมากจริงๆ หลินหว่านเห็นแล้วรู้สึกละอายใจ อดไม่ได้ไปค้นหาในรายชื่อบันทึกการติดต่อหวังว่าจะหาคนที่ช่วยเซียวจิ่งสือได้สักคน
เรื่องนี้เธอเป็นต้นเหตุ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอพาฮั่วเทียนอวี่เข้ามาก็คงไม่กลายเป็นแบบนี้ เธอต้องรับผิดชอบช่วยเซียวจิ่งสือ
“ไม่ต้องหาแล้ว” กำลังค้นหารายชื่ออยู่ จู่ๆ เซียวจิ่งสือก็พูดขึ้น หลินหว่านสะดุ้งเฮือก หันไปก็พบว่าเป็นเซียวจิ่งสือ เธอนวดหัวคิ้ว “คุณนอนแล้วไม่ใช่เหรอคะ?”
พูดถึงตรงนี้ หลินหว่านชะงักไม่พูดอะไรอีก สถานการณ์แบบตอนนี้ต่อให้เซียวจิ่งสือนอนก็คงไม่กล้าหลับสนิท
“ฉันหาดูนิดเดียวเองค่ะ ไม่แน่ว่าจะหาคนมาช่วยได้นะคะ” หลินหว่านพูดอย่างอับจน รู้ทั้งรู้ว่าการหาผู้ร่วมทุนนั้นริบหรี่เต็มที ตอนนี้บริษัทของเซียวจิ่งสือใกล้จะล้มเต็มทีแล้ว
ทุกคนต่างเชื่อกันว่าเขาจะล้มละลาย แน่นอนว่าไม่มีใครยอมช่วยเขา นอกซะจากเธอไปหาเหลยลี่
เหลยลี่มีทั้งกำลังทรัพย์และกำลังคนมหาศาล แค่ช่วยบริษัทของเซียวจิ่งสือสำหรับเขาแล้วขนหน้าแข้งไม่ร่วงด้วยซ้ำ จึงไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญนัก
แต่หลินหว่านไม่อยากหาเขา เธอรบกวนเหลยลี่มากเกินไปแล้ว เขาเองก็เป็นนักธุรกิจเป็นไปไม่ได้ที่จะยอมสูญเงินก้อนโตเพราะคำพูดของเธอ
พอคิดได้เช่นนั้น หลินหว่านก็วางมือถือลง พูดว่า “ตอนนี้บริษัทยังไม่ล้มไม่ใช่หรือคะ อีกสองวันเดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง”
หลินหว่านพูดคำพูดนี้เพื่อปลอบเซียวจิ่งสือและก็ปลอบใจตัวเองด้วย บริษัทของเซียวจิ่งสือตอนนี้ร่อแร่เต็มที จะล้มไม่ล้มจะรอดไม่รอดชวนให้ต้องลุ้นกันเหงื่อตก
ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้ มะรืนนี้จะล้มครืนลงมา เรื่องที่จะล้มนั้นมันแน่อยู่แล้ว เหลืออยู่ก็แค่เวลาเท่านั้น
“ตอนนี้ยังไม่ล้มก็เหมือนล้ม คนพวกนั้นไม่ยอมช่วยหรอก” คำพูดเหมือนปลอบตัวเองของหลินหว่าน เซียวจิ่งสือแค่ฝืนยิ้มออกมา แล้วดึงเธอกลับมาเผชิญหน้ากับความเป็นจริง ขณะที่รู้สึกอบอุ่นอยู่ในใจ
เขาแค่คิดว่าจะทำให้ดูน่าสงสารเท่านั้น และก็อยากให้คนพวกนั้นตกหลุมเขาด้วย ไม่ได้ย่ำแย่จริงๆ ซะหน่อย แต่หลินหว่านไม่รู้นี่
เธอช่วยเขาขนาดนี้ในยามที่เขาตกยาก เขาไม่ได้มองคนผิดเลย
เขาวางศีรษะอิงไหล่ของหลินหว่าน เซียวจิ่งสือปิดตาลงแกล้งทำเป็นหลับ
หลินหว่านตัวแข็งทื่อ เธอยอมรับการสัมผัสจากเซียวจิ่งสือไม่ได้จริงๆ ตอนนั้นภาพที่เห็นมันติดตาตรึงใจเธอเกินไป
แต่ตอนนี้เซียวจิ่งสือเป็นอย่างนี้แล้ว เธอจะทำให้เขาเสียใจในเวลานี้ได้อีกงั้นหรือ?
แล้วนี่เขาก็ไม่ได้ตั้งใจด้วย หลินหว่านอัดอั้นตันใจ แต่ก็ไม่ได้ผลักเขาออก แค่หันหน้าหนีไม่พูดอะไรอีก
เช้าวันรุ่งขึ้นหลินหว่านนัดเจ้าของกิจการที่เคยร่วมมือกันมาก่อนเพื่อเจรจาความร่วมมือกับบริษัทของเซียวจิ่งสือ เธอบอกเซียวจิ่งสือแล้วออกไปอย่างรีบร้อน
เซียวจิ่งสือมองตามเงาร่างเธอ ขมวดคิ้วมุ่น
ตอนหลินหว่านมาถึงสถานที่นัดหมาย เจ้าของกิจการนั้นมาถึงแล้ว พอเห็นหลินหว่านเขาก็เลิกคิ้วเป็นเชิงให้เธอเข้ามา
“ท่านประธานหลินคะ ฉันอยากจะพูดเรื่อง…”
“เรื่องความร่วมมือกับเซียวจิ่งสืองั้นหรือ?” ไม่ทันรอให้หลินหว่านเอ่ยปาก ประธานหลินก็พูดออกมาก่อน
พอฟังเช่นนั้น หลินหว่านก็ผงกศีรษะ ขณะที่ในใจกลับนึกระแวงประธานหลินขึ้นมา เธอไม่ใช่คุณหนูใหญ่ที่ไม่รู้เรื่องราวเล่ห์เหลี่ยมของโลกภายนอก ตอนนี้เซียวจิ่งสือตกอยู่ในสภาพนี้ ประธานหลินนี่รู้ว่าเธอมาเจรจากับเขาเรื่องความร่วมมือกับเซียวจิ่งสือ ยังยอมพบหน้าทำให้หลินหว่านสงสัยมาก
ขณะคิดอยู่นั้น ประธานหลินก็สั่งอาหาร สถานที่พวกเขานัดพบเป็นร้านอาหารแห่งหนึ่ง เพราะต้องร้องขอความช่วยเหลือ อาหารมื้อนี้หลินหว่านจึงเป็นคนจ่าย ประธานหลินสั่งอาหารที่แพงที่สุด ทำให้หลินหว่านตากระตุก
หลินหว่านพ่นลมจากปาก เอ่ยปากถามว่า “ท่านประธานเซียวเห็นอย่างไรคะเรื่องที่ฉันมาเจรจา?”
พอได้ฟัง ประธานหลินที่เดิมตั้งใจว่าจะทานข้าว มองดูหลินหว่านแล้วจู่ๆ ก็หัวเราะออกมา ที่จริงวันนี้เขาอยากจะดูซิว่าหลินหว่านคิดจะทำอย่างไรบ้าง
หลายคนรู้ดีว่าเซียวจิ่งสือเป็นนายทุนหนุนหลังให้หลินหว่าน เขาเองก็ย่อมจะรู้ด้วยเช่นกัน แต่หลินหว่านหน้าตาดี ตอนนี้เซียวจิ่งสือตกเวทีไปแล้ว เขาจึงคิดจะดึงตัวหลินหว่านมา ดูว่าหลินหว่านจะยอมหันมาซบอกเขาหรือไม่
ที่ไหนได้หลินหว่านกลับดูเหมือนจะเข้าใจว่าเขาจะร่วมมือด้วยอย่างนั้น บริษัทของเซียวจิ่งสือเป็นอย่างนั้นไปแล้ว เขาไม่ฉวยโอกาสรวบซื้อกิจการของเขาก็นับว่าไม่เลวแล้ว ยังจะร่วมมือกับบริษัทที่รู้แน่ว่าจะล้มอยู่แล้วได้อย่างไรกัน
ประธานหลินวางตะเกียบอย่างขัดใจ “เรื่องความร่วมมือผมเชื่อว่าคุณหลินน่าจะเข้าใจชัดแจ้งยิ่งกว่าผมซะอีก ตอนนี้คนในวงการธุรกิจพากันถอยห่างจากเซียวจิ่งสือ เพราะกลัวว่าเขาจะมาขอร้องให้ช่วย ถึงยังไงเขาก็พังแน่ๆ อยู่แล้ว พวกเราไม่ฉวยโอกาสกว้านซื้อกิจการก็ถือว่าใจดีมากแล้ว คุณยังเห็นว่าผมจะร่วมมือกับเขาอีกจริงๆ เหรอ?”
ประธานหลินพูดตรงๆ หลินหว่านก็เข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ดี ไม่ใช่ว่าคนพวกนี้ไม่เข้ามาซื้อกิจการก็นับว่าดีแล้ว แต่บริษัทของเซียวจิ่งสือตอนนี้เป็นตัวปัญหายุ่งยาก คนพวกนี้ไม่อยากได้เองต่างหาก
หลินหว่านลงนั่งฝั่งตรงข้ามประธานหลิน มองดูอาหารที่ทยอยเสริฟขึ้นโต๊ะ ประธานหลินเจริญอาหารดีมาก เขากินอย่างเอร็ดอร่อย ขณะที่หลินหว่านรู้ตัวว่าตัวเองถูกหลอก
“มื้อนี้ผมไม่ให้คุณหลินจ่ายหรอก แต่ไหนแต่ไรมาผู้ชายที่ให้ผู้หญิงเลี้ยงล้วนแต่เป็นพวกไร้ความสามารถกันทั้งนั้น เรื่องนี้ผมแค่ล้อคุณหลินเล่นนะ”
พอทานเสร็จ ประธานหลินจึงเอ่ยปากพูดความจริง หลินหว่านไม่ได้สนใจเงินค่าอาหารแค่นั้นหรอก
แต่ประธานหลินพูดเช่นนี้ เธอก็ไม่มีอะไรจะพูด ยังคงนิ่งเงียบอยู่คิดจะฟังดูว่าท่านประธานหลินที่หลอกนัดเธอออกมาเพราะอยากจะพูดอะไร
“วันนี้ที่นัดคุณออกมาผมก็ไม่ได้หลอกคุณ ผมถูกใจความสวยของคุณ เมื่อก่อนคุณอยู่กับเซียวจิ่งสือผมก็ไม่อยากแย่งของรักใคร และก็ไม่ต้องการเป็นศัตรูกับเซียวจิ่งสือเพราะคุณหลิน แต่ตอนนี้เซียวจิ่งสือหมดอำนาจแล้ว ผมแค่อยากถามคุณหลินว่าคุณต้องการเปลี่ยนผู้สนับสนุนหรือเปล่า?”
หึ! หลินหว่านยังนึกว่าเขามีอะไรจะพูดซะอีก ที่แท้ก็คิดจะซื้อตัวกันนี่เอง