ตอนที่ 247 เด็กเอาแต่ใจ

ลำนำสตรียอดเซียน

เยี่ยเจินจีรู้สึกหดหู่ยิ่งนัก ความรู้สึกหดหู่ที่ก่อตัวขึ้นในใจของเขามันรุนแรงจนยากเกินจะอธิบายได้

 

 

เขารู้สึกว่าตนเองโดนหลอก และแม้ว่าจะขบคิดเรื่องนี้มากเพียงใดก็ตาม เขาก็ยังไม่อาจบอกได้ว่าเขาโดนหลอกอย่างไร เขาเพียงแต่รู้สึกรวดร้าวจากก้นบึ้งของหัวใจ จนเขาไม่อาจรวบรวมความกระตือรือร้นใดๆ ขึ้นมาได้เลย

 

 

“นี่ เจ้าทำอะไรกัน เจ้ามาเหม่ออะไรระหว่างกำลังต่อสู้กันเล่า”

 

 

เด็กหนุ่มตรงหน้าเขานั้นมีอายุไล่เลี่ยกับเขา และระดับการฝึกตนของพวกเขาก็ใกล้เคียงกันด้วย บัดนี้ เขากำลังตำหนิเยี่ยเจินจีด้วยความไม่พอใจ

 

 

คิ้วของเยี่ยเจินจีขมวดแน่น ทันใดนั้น เขาพลันรู้สึกเหลืออด จนต้องโยนอุปกรณ์พลังเวทของเขาลง และทิ้งตัวลงบนก้อนหินที่อยู่ข้างๆ พลางก้มหน้าลงด้วยโทสะ

 

 

ฮัวหลิงเดินตรงเข้ามาถามด้วยความฉงน “เป็นอะไร อารมณ์ไม่ดีงั้นหรือ”

 

 

เยี่ยเจินจีกล่าวอย่างขุ่นเคือง ด้วยใบหน้าที่ยังคงบึ้งตึง “ข้าโมโหชะมัด!”

 

 

“โมโหงั้นหรือ” ฮัวหลิงหยุดคิดชั่วครู่แล้วจึงกล่าวต่อ “เรื่องท่านป้าของเจ้าอย่างนั้นหรือ ท่านปรมาจารย์บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าท่านไม่เป็นไร เจ้ายังจะต้องห่วงอะไรอีก”

 

 

“ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก” แม้ท่านป้าของเขาจะยังไม่ได้สติ ทว่าอาจารย์ของเขายืนยันแล้วว่านางไม่เป็นอะไร เขาจึงไม่ได้เป็นกังวลนัก ถึงกระนั้นก็ตาม เมื่อเขาเห็นว่าอาจารย์ล้มเลิกการปิดประตูแห่งจิต แล้วรีบออกมาจัดการเรื่องนั้นเรื่องนี้ เขากลับรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาเสียในทันที

 

 

ทำไมเขาถึงรู้สึกอึดอัดกับเรื่องนี้นักนะ ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์หรือท่านป้าของเขา ทั้งคู่ต่างเป็นบุคคลที่เขาเคารพรัก มันไม่ดีหรือที่อาจารย์จะดูแลท่านป้าของเขาเป็นอย่างดี แม้ความคิดเชิงเหตุผลจะบอกเขาเช่นนั้น ทว่าหัวใจของเขากลับยังเปี่ยมไปด้วยความทุกข์

 

 

นั่นอาจเป็นเพราะเขามักคิดเสมอว่าตัวเองใกล้ชิดกับทั้งคู่มากที่สุด ทว่าพวกเขากลับปิดหูปิดตาเขามาตลอดอย่างนั้นหรือ ความจริงแล้ว เมื่อได้ใคร่ครวญเรื่องนี้อย่างรอบคอบ เมื่อไรก็ตามที่ท่านป้าพูดถึงอาจารย์ หรืออาจารย์พูดถึงท่านป้าก็ตาม ทั้งคู่มักจะแสดงสีหน้าไม่ชอบมาพากลทุกครั้ง เพียงแต่เขาไม่เคยฉุกคิดเลยว่าพวกเขาจะมีความสัมพันธ์ใดๆ ระหว่างกัน

 

 

“สรุปแล้วเจ้าโมโหเรื่องอะไรกันแน่ ใช่เรื่องที่พูดกับข้าไม่ได้หรือเปล่า”

 

 

เยี่ยเจินจียังคงครุ่นคิดขณะที่เขาจ้องหน้าฮัวหลิง จนในที่สุดเขาก็เอ่ยออกมา “ก็ได้ ข้าจะเล่าให้ฟัง แต่เจ้าห้ามไปเล่าต่อเด็ดขาด”

 

 

ฮัวหลิงเลิกคิ้วขึ้น “ข้าไม่เล่าหรอกน่า เราเป็นสหายกันไม่ใช่หรือ”

 

 

เยี่ยเจินจีพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวอย่างช้าๆ “ข้าสงสัยว่า… อาจมีเรื่องลับลมคมในบางอย่างระหว่างท่านป้ากับอาจารย์”

 

 

“โอ้… ท่านป้าของเจ้ากับท่านอาจารย์ของเจ้า… อะไรนะ!” ฮัวหลิงที่พยักหน้าอยู่ พลันอุทานขึ้นเมื่อตระหนักได้ว่าบางอย่างไม่ถูกต้อง เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงขยับเข้ามากระซิบกับเยี่ยเจินจี “ไม่น่าเป็นเช่นนั้นนา พวกเขาไม่ค่อยได้เจอกันไม่ใช่หรือ”

 

 

“ข้าก็เคยคิดเช่นนั้น” เยี่ยเจินนั่งลง ท่าทางน่าสังเวชยิ่งนัก “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ตอนที่ท่านป้าเกิดเรื่องขึ้นในม่านพลังหมื่นปรัชญาแห่งธรรมชาติ ท่านอาจารย์เป็นคนแรกที่สัมผัสเรื่องนั้นได้…”

 

 

ฮัวหลิงตะลึงงัน “เจ้าพูดจริงหรือ”

 

 

“มิเช่นนั้นข้าจะรู้สึกหดหู่ไปทำไมกัน” เยี่ยเจินจีกล่าวอย่างเศร้าใจ “อีกอย่าง ตอนที่ท่านป้าเกิดเรื่องขึ้น ท่านอาจารย์ลนลานยิ่งนัก แล้วท่านปรมาจารย์ก็พูดอะไรแปลกๆ ด้วย”

 

 

หลังจากใช้เวลาคิดเรื่องนี้พอสมควรแล้ว ฮัวหลิงจึงกล่าว “แม้สิ่งที่เจ้าสงสัยจะเป็นความจริง เจ้าจะมัวหดหู่ไปทำไม ทั้งท่านป้าและอาจารย์ของเจ้า ต่างก็เป็นคนที่เจ้าใกล้ชิดสนิทสนม ไม่ดีหรือหากพวกเขาจะอยู่ด้วยกันน่ะ”

 

 

“เจ้าพูดถูก แต่…” ความจริงแล้ว เยี่ยเจินจีเองก็ไม่เข้าใจว่าเขาหดหู่ทำไม เขาเพียงแต่รู้สึกขุ่นเคืองเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่เขาเห็นอาจารย์ไปช่วยดูแลท่านป้าของเขาทุกเมื่อเชื่อวัน ด้วยวิชาที่ท่านปรมาจารย์ได้ถ่ายทอดให้ ซ้ำยังออกตามหาสมุนไพรวิญญาณทุกหนทุกแห่งเพื่อจะนำมาปรุงยาด้วย… เขาเพียงแต่รู้สึกรำคาญใจเมื่อเขาเห็นอาจารย์ทำสิ่งเหล่านั้น ดังนั้น เขาจึงรู้สึกว่าอาจารย์ช่างขวางหูขวางตาเสียเหลือเกิน

 

 

หลังจากที่เขาอธิบายความรู้สึกจบ ฮัวหลิงกลับรู้สึกขบขันขึ้นมาเสียอย่างนั้น “เจ้ารู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกินสินะ”

 

 

เยี่ยเจินจีแสดงท่าทางประหลาดใจ

 

 

ฮัวหลิงกล่าวต่อไป “นับตั้งแต่ท่านป้าพาเจ้ากลับมา ตอนที่เจ้าติดตามท่านป้าของเจ้า และต่อมาตอนที่เจ้าติดตามท่านอาจารย์ของเจ้า เจ้าเป็นศิษย์เพียงคนเดียวที่อยู่เคียงข้างพวกเขาเสมอมา พวกเขาเองก็ดูแลเจ้าเป็นอย่างดี เจ้าจึงรู้สึกมีความสุขยิ่งนักมาโดยตลอด… เพราะคนที่พวกเขาใส่ใจมากที่สุดก็คือเจ้า อย่างไรก็ตาม บัดนี้ เจ้าพบว่าคนที่เจ้าเชื่อมาตลอดว่าใส่ใจเจ้า กลับปกปิดเรื่องสำคัญไม่ให้เจ้ารู้ มันก็เลยทำให้เจ้ารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้สำคัญต่อพวกเขาสินะ”

 

 

เยี่ยเจินจีทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ทว่าเขาไม่อาจหักล้างคำพูดของฮัวหลิงได้ “ข้าก็ไม่รู้ อย่างไรเสีย ข้าเพียงแค่รู้สึกรำคาญใจทุกครั้งที่เห็นอาจารย์ในทุกวันนี้ จนข้าไม่อยากจะกลับไปเสียด้วยซ้ำ”

 

 

ท่าทางของเขาในตอนนี้ ยิ่งทำให้ฮัวหลิงรู้สึกขบขัน “ความจริงแล้ว เจ้าหึงใช่ไหมล่ะ”

 

 

“…” เยี่ยเจินจีไม่ได้กล่าวอะไร เขาเพียงแต่นั่งก้มหน้าเงียบๆ

 

 

ฮัวหลิงพลันเดินเข้ามานั่งข้างๆ เขา “เจ้าคิดว่าอาจารย์แย่งท่านป้าไปจากเจ้าหรือ”

 

 

เยี่ยเจินจีเงียบไปชั่วขณะ ก่อนที่เขาจะกล่าวออกมาตรงๆ ว่า “นิดหน่อย”

 

 

ฮัวหลิงหัวเราะเบาๆ “เจ้าเคารพท่านอาจารย์มาโดยตลอด ทีนี้พอเจ้าพบว่าเขาปิดบังบางอย่างไม่ให้เจ้ารู้… และ… เขาไม่เคยขอความเห็นอันใดจากเจ้าตั้งแต่แรก เจ้าก็เลยคิดว่าเขาขวางหูขวางตาใช่ไหม”

 

 

“…”

 

 

ฮัวหลิงรู้คำตอบของเยี่ยเจินจีอยู่แล้ว โดยที่ไม่ต้องรอให้เขาพูดอะไร เขาจึงตบบ่าของเยี่ยเจินจีและกล่าวว่า “ช่างมันเถอะ เราจะไปก้าวก่ายเรื่องของผู้ใหญ่มากไม่ได้หรอก อีกอย่างอาจารย์ของเจ้าเองก็ดีกับเจ้าเหลือเกิน บอกข้ามาตามตรง ท่านเคยทำไม่ดีกับเจ้าหรือเปล่า”

 

 

เยี่ยเจินจีใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงตอบอย่างตรงไปตรงมา “ไม่เคย” พลันกล่าวเสริมทันที “แต่ข้าก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี”

 

 

ฮัวหลิงส่ายหัว “งั้นข้าขอถามอะไรเจ้าหน่อย หากเจ้าไม่รู้เรื่องนี้ เจ้าอยากให้ท่านอาจารย์กับท่านป้าของเจ้าอยู่ด้วยกันหรือไม่”

 

 

ครั้งนี้ เยี่ยเจินจีใช้เวลาค่อนข้างนานในการไตร่ตรอง หลักจากผ่านไปนาน ในที่สุดเขาก็กล่าว “ทีแรกข้าเคยคิดว่าในเมื่อข้าอยากติดตามทั้งท่านป้ากับท่านอาจารย์ไปตลอด มันคงจะดีหากท่านทั้งสองอยู่ด้วยกัน แต่… แต่นี่มันคนละเรื่องกันเลยนะ!”

 

 

ฮัวหลิงรู้สึกขบขันเป็นที่สุด “เจ้าหวังให้ทั้งสองอยู่ด้วยกัน แต่เจ้าก็ไม่ต้องการให้พวกเขามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน เพราะเจ้าคิดว่าเจ้าควรเป็นคนที่พวกเขาใส่ใจมากที่สุด แม้แต่ตัวพวกเขาเองก็ต้องไม่เข้ามาแทนที่ของเจ้าภายในใจพวกเขา ข้าพูดถูกไหม”

 

 

“…”

 

 

“ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ารู้สึกใช่ไหมว่าหากทั้งสองมีความสัมพันธ์เช่นนั้นจริง ตัวเจ้าภายในใจของพวกเขาจะถูกลืมไว้เบื้องหลัง เจ้ารู้สึกใช่ไหมว่าตัวเองจะเป็นส่วนเกิน”

 

 

“…”

 

 

การได้เห็นภาพของเยี่ยเจินจีที่หดหู่เช่นนี้ ทำให้ฮัวหลิงระเบิดเสียงหัวเราะออกมา เขากล่าวต่อ “พี่ชาย เราต่างก็อายุล่วงสี่สิบปีมาแล้ว แม้ว่าเราจะเป็นผู้ฝึกตน และมีอายุยืนยาวกว่าปกติก็ตาม ทว่าเราไม่ใช่เด็กๆ อีกต่อไป ทำไมเจ้าถึงยังเอาแต่ใจเช่นนี้กัน”

 

 

เยี่ยเจินจีจ้องเขม็งไปที่ฮัวหลิง พลันกล่าวอย่างคับข้องใจ “เจ้าพูดอย่างกับเจ้าเข้าใจเรื่องนี้ดี ไปเรียนรู้มาจากไหนกันล่ะ”

 

 

ฮัวหลิงตอบ “ก่อนที่ข้าจะอายุครบสิบขวบ ตอนนั้นข้ายังอาศัยอยู่กับท่านพ่อท่านแม่ ข้ามักจะมีความคิดแบบเด็กๆ เช่นนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ในตอนนั้นมันดีมาก จนทำให้ข้ารู้สึกเหมือนเป็นส่วนเกินเวลาที่พวกท่านอยู่ด้วยกัน” ขณะที่เขากำลังรำลึกถึงเรื่องราวในวัยเด็ก สีหน้าของเขาดูมีความสุขขึ้นอีกครั้ง เขาเหลือบไปมองเยี่ยเจินจี และกล่าวต่อ “ทว่าพอข้าโตขึ้น เขารู้สึกว่าข้าช่างไร้เดียงสาเหลือเกิน ข้าควรจะดีใจที่ท่านพ่อท่านแม่มีความรู้สึกดีๆ ต่อกันมิใช่หรือ ความรู้สึกระหว่างพวกท่าน กับความรู้สึกที่พวกท่านมีให้ข้าไม่เหมือนกัน ไม่ว่าความสัมพันธ์ของพวกท่านจะเดีเพียงไร ข้าก็ยังเป็นคนสำคัญที่สุดของพวกท่านอยู่ดี”

 

 

“…” แม้เขาจะรู้ดีว่าฮัวหลิงพูดถูก ทว่าหัวใจของเยี่ยเจินจีก็ยังเปี่ยมไปด้วยความไม่ยินยอม เขาพึมพำออกมา “แต่ท่านอาจารย์ไม่บอกอะไรข้าสักนิด…”

 

 

“เหตุใดเขาต้องพูดเรื่องนี้กับเจ้าด้วย” ฮัวหลิงมองด้วยความสับสน “เจ้าเป็นผู้น้อย หาใช่ผู้อาวุโสกว่าไม่ จำเป็นด้วยหรือที่ต้องสาธยายเรื่องของตนเองให้ผู้น้อยฟัง”

 

 

เยี่ยเจินจีมิอาจหาคำพูดใดมาสนับสนุนตัวเองได้ แม้สติของเขาจะบอกว่าฮัวหลิงพูดถูก เขาก็มิอาจหยุดตัวเองไม่ให้รู้สึกไม่สบายใจได้…

 

 

“เฮ้อ…” ฮัวหลิงตบบ่าของเขาอีกครั้ง “ข้าว่า… เจ้าเด็กน้อย เจ้าอายุก็ล่วงสี่สิบปีเข้าไปแล้ว ไม่ได้เป็นหนุ่มวัยกระเตาะอีกต่อไป เข้าใจไหม การฝึกฝนคงทำให้สมองเจ้าทึบไปหมดแล้วสินะ”

 

 

เยี่ยเจินจีผลักมือของฮัวหลิงออกไป “อย่างไรเสีย ข้าก็ไม่พอใจอยู่ดี!”

 

 

“งั้นเจ้าก็ไปบอกท่านอาจารย์แล้วกัน!” ฮัวหลิงเองก็ไม่รู้แล้วว่าเขาจะทำสิ่งใดได้อีก ในเมื่อเขาได้พูดทุกอย่างที่พูดได้ไปแล้ว หลังจากที่ใช้เวลาคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาขยับเข้าไปใกล้เยี่ยเจินจี และแสร้งหัวเราะคิกคัก “ความจริงแล้ว ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะหาเมียให้ตัวเองบ้างนะ ถ้ามีใครมาทำให้เจ้าเหนื่อย เจ้าจะได้ไม่มีเวลามารู้สึกไม่พอใจ”

 

 

“ไปให้พ้น!” เยี่ยเจินจีกล่าวพลางผลักเขาออกไป “เจ้าพูดอะไรไร้สาระ!”

 

 

ฮัวหลิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นคำแนะนำจากใจข้า แม้ผู้ฝึกตนแห่งลัทธิเต๋าอย่างเราจะไม่สนับสนุนเรื่องนี้ ทว่าการฝึกตนร่วมสัมพันธ์ก็เป็นสิ่งดีอยู่วันยังค่ำ ลองดูท่านอาจารย์ของเจ้าสิ วัยขนาดนี้แล้ว เขายัง…”

 

 

“ท่านอาจารย์ข้ายังไม่แก่! เขาอายุแค่หนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าปีเท่านั้น เข้าใจไหม สำหรับผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังแล้ว เขายังอ่อนวัยนัก ยิ่งไปกว่านั้นเขากำลังจะสร้างจิตวิญญาณใหม่ด้วย!”

 

 

ฮัวหลิงรู้สึกบันเทิงมากขึ้นกว่าเดิม “เมื่อครู่ เจ้ายังบอกอยู่เลยว่า ท่านอาจารย์เจ้าช่างขวางหูขวางตา ตอนนี้มาปกป้องเขาทำไมกัน”

 

 

“ข้า…” เยี่ยเจินจีอ้าปากขึ้น ทว่ากลับพูดอะไรไม่ออก

 

 

“เฮ้อ… เด็กสมัยนี้!” ฮัวหลิงผู้แสร้งทำเป็นชายชรากล่าว “เจ้าจะเอาแต่ใจอะไรนักหนา”

 

 

เยี่ยเจินจีเพียงแต่ก้มหน้า ไม่ได้ตอบโต้อะไร หลังจาก่เขาได้ฟังสิ่งที่ฮัวหลิงพูด เขาก็รู้สึกว่าตัวเองช่างเอาแต่ใจเสียจริง เขาไม่ชอบให้ใครมาพูดถึงอาจารย์ของเขา ทว่าเขาก็รู้สึกว่าอาจารย์ของเขาช่างขวางหูขวางตาเหลือเกิน

 

 

“ข้าว่าไม่ว่าข้าจะพูดอะไรไปก็คงไม่มีประโยชน์ ความจริงแล้ว ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่เข้าใจหรอก เจ้าแค่ไม่พอใจเท่านั้นเอง ใช่ไหม”

 

 

เยี่ยเจินจีถอนหายใจ “ใช่ เจ้าพูดถูกทุกอย่าง”

 

 

“อันที่จริง ข้ามีคำแนะนำจากใจให้เจ้านะ” ฮัวหลิงพูดอย่างจริงจัง

 

 

“หืม”

 

 

“เจ้า… ควรจะหาเมียได้แล้ว!”

 

 

เยี่ยเจินจีตีฮัวหลิงอย่างแรง “เพ้อเจ้อ!”

 

 

ฮัวหลิงระเบิดเสียงหัวเราะอีกครั้ง “ที่จริง ข้าว่าเรื่องสำคัญที่สุดคือเจ้าโกรธท่านอาจารย์ แต่เจ้าไม่ได้โกรธท่านป้าใช่ไหมล่ะ”

 

 

“เลอะเทอะ! ท่านป้ายังนอนไม่ได้สติ เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับนางเลย…”

 

 

“แต่เจ้าเพิ่งพูดเองมิใช่หรือ ว่าท่านป้าก็มีท่าทีแปลกๆ ทุกครั้งที่เอ่ยถึงท่านอาจารย์น่ะ”

 

 

“…”

 

 

เมื่อได้เห็นท่าทีของเยี่ยเจินจีแล้ว ฮัวหลิงก็หัวเราะลั่นอีกครั้ง “เจ้าไม่รู้ตัวเลยหรือ ว่าความรู้สึกของเจ้าต่อท่านป้ามันค่อนข้างไม่ปกติเอาเสียเลย”

 

 

เยี่ยเจินจี ผู้สัมผัสได้ถึงความหมายโดยนัยเบื้องหลังคำพูดนั้น จ้องเขม็งไปที่ฮัวหลิง ก่อนจะพูดด้วยเสียงเข้ม “เลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว! ท่านป้าก็คือท่านป้า ข้าเคารพนางในฐานะอาจารย์และผู้อาวุโสกว่าเสมอ”

 

 

“แหม… ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้นเสียหน่อย” ฮัวหลิงอธิบายในทันที “ข้าแค่บอกว่า เพราะท่านป้าเป็นสตรีอาวุโสกว่าเพียงนางเดียวที่เจ้าสนิทสนมด้วยตั้งแต่เจ้ายังเล็ก และยิ่งไปกว่านั้น นางก็ดูแลเจ้าเป็นอย่างดี ใจของเจ้าต้องเห็นว่านางเป็นแบบอย่างอันไร้ที่ติของสตรี และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเจ้าถึงรู้สึกว่าอาจารย์ช่างน่ารำคาญเหลือเกิน ใช่ไหมล่ะ”

 

 

เยี่ยเจินจีถึงกับตะลึง เขาเองไม่เคยคิดถึงประเด็นนี้เลย อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาตรึกตรองให้รอบคอบขึ้น ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ หากแม้มีสตรีนางใดเข้ามาในชีวิตเขา แน่นอนว่ามันจะดีที่สุดหากนางมีอุปนิสัยละม้ายคล้ายคลึงกับท่านป้าของเขา

 

 

“ความจริงแล้ว ท่านป้าของเจ้าเป็นเพียงมโนภาพของสตรีในอุดมคติของเจ้า ก่อนที่เจ้าจะรักใครก็ตาม มโนภาพคงยากที่จะมีสิ่งใดมาแทนที่ได้ ดังนั้น หัวใจของเจ้าจึงถือว่าอาจารย์เปรียบเสมือนศัตรูหัวใจนั่นเอง…”

 

 

“เพ้อเจ้อ! ศัตรูหัวใจอะไรกัน มันจะมากเกินไปแล้ว…”

 

 

เมื่อฮัวหลิงเห็นท่าทางอึดอัดของเยี่ยเจินจี เขาพลันยิ้มและกล่าว “เอาเถอะ ข้าหมายความเช่นนั้นแหละ แค่เจ้าเข้าใจข้าก็เพียงพอแล้ว ข้าถึงได้บอกให้เจ้าไปหาเมียเสีย เจ้าจะได้ไม่ต้อง…”

 

 

“หุบปาก!” เยี่ยเจินจีเอ่ยขณะที่ก้มหน้าลง “ก่อนที่ข้าจะก้าวสู่ดินแดนการก่อเกิดขุมพลัง ข้าจะไม่มาคิดเรื่องหยุมหยิมเหล่านี้”

 

 

ฮัวหลิงยักไหล่ แสดงถึงความอับจนหนทาง “ข้าไม่ได้บอกว่าเจ้าต้องหา ข้าก็แค่แนะนำ สิ่งที่เจ้าเป็นในทุกวันนี้มันก็ดีอยู่แล้วเช่นกัน ข้าพูดรวมๆ นะ เจ้าจะไม่รู้สึกเช่นนี้เมื่อเจ้าโตขึ้น ตอนนี้… เจ้าแค่ยังไม่โตเท่านั้น”

 

 

“ไปให้พ้นเลย!” เยี่ยเจินจีกล่าวด้วยความฉุนเฉียว “เจ้าต่างหากที่ยังไม่โต!” ​​​​​​​