ตอนที่ 248 ยังไม่ได้สติ

ลำนำสตรียอดเซียน

อย่างไรเสีย แม้ว่าเยี่ยเจินจีจะรู้สึกอึดอัดเพียงใด ทว่าความรู้สึกของเขาพลันค่อยๆ จางหายไปในที่สุุด

 

 

เขาโตเป็นผู้ใหญ่มานานแล้ว ทว่าสำหรับบางเรื่องนั้น แม้เขาจะเข้าใจ เขาก็ยังต้องใช้เวลาในการยอมรับมัน

 

 

ดังนั้น ขณะที่เขาจงใจเลือกเวลาที่ไม่ชนกับอาจารย์ในการไปเยี่ยมท่านป้าแต่แรก ทว่าในตอนนี้เขาสามารถไปเยี่ยมอาการท่านป้าของเขา ร่วมกับอาจารย์ได้อย่างใจเย็นแล้ว

 

 

เขาย้ำคิดอีกครั้ง ที่ความรู้สึกเขาเป็นเช่นนั้น เพราะเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่า วันหนึ่งท่านป้าของเขาจะกลายเป็นคู่ฝึกตนร่วมสัมพันธ์ของผู้ใด เขาจึงทนกับเรื่องนี้ไม่ได้นักสินะ อันที่จริง หลังจากที่เขาได้ใช้เวลาไตร่ตรองเรื่องนี้อย่างใจเย็น มันก็ไม่ได้มีอะไรเสียหายหากอาจารย์ของเขาจะมาครองคู่กับท่านป้า หากคนทั้งสองที่เขาใกล้ชิดได้อยู่ด้วยกันจริง เขาก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงนี้เขาคิดอยู่เสมอว่า บางทีเขาน่าจะหาเวลาออกไปผจญภัยข้างนอกดูบ้าง เท่าที่เขาจำได้ ท่านป้าในตอนนั้นก็หาได้แก่กว่าเขาในตอนนี้เท่าใดนัก ทว่านางมักจัดการกับสิ่งต่างๆ ด้วยท่าทางแก่ประสบการณ์เสียมากกว่า อีกทั้งนางยังไม่ได้คิดอย่างไร้เหตุผลดังที่เขาเป็น บางทีอาจเป็นเพราะเขามีประสบการณ์น้อยเกินไป ฉะนั้น แม้ตัวเขาจะไม่ใช่เด็กแล้ว ทว่าความคิดของเขายังเยี่ยงเด็กอยู่ดี

 

 

“ท่านอาจารย์” เยี่ยเจินจีหลุดจากภวังค์ความคิด เมื่อเห็นฉินซีเดินเข้ามา

 

 

ฉินซีพยักหน้าให้ แล้วเบนสายตาไปทางโม่เทียนเกอที่ยังคงนอนอยู่บนเตียง “วันนี้อาการของนางเป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

“ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง นางไม่ได้ทุเลาขึ้น หรือทรุดลงแต่อย่างใด” เยี่ยเจินจีกล่าว

 

 

ฉินซีเดินเข้าไป และใช้พลังวิญญาณของเขาตรวจสอบอาการของนาง เมื่อการตรวจสอบเสร็จสิ้น เขาก็ถ่ายพลังวิญญาณของเขา ด้วยวิชาลับที่ผ่านการฝึกฝนมานับไม่ถ้วนเข้าไปยังร่างกายของนาง เพื่อหล่อเลี้ยงพลังวิญญาณภายในร่างของนางไม่ให้ลดน้อยลง จนทำให้ร่างของนางต้องเหือดแห้ง

 

 

เวลาผ่านไปร่วมครึ่งเดือนแล้ว ทว่าโม่เทียนเกอยังคงไม่ได้สติแต่อย่างใด ถึงกระนั้น ฉินซีได้ค้นพบบางอย่างระหว่างขั้นตอนการดูแลของเขาในทุกครั้ง

 

 

เขาฝึกตนด้วยสองวิชาเป็นหลัก หนึ่งคือศาสตร์แห่งสามวงจรเริ่มต้น ซึ่งเป็นวิชาที่เขาได้มาร่วมกับลูกประคำวิญญาณพลังหยางระหว่างการเดินทางของเขา หลังจากที่สร้างฐานแห่งพลังงานได้ จากที่เล่าลือกันมา วิชาฝึกตนนี้สัมพันธ์กับยุคอดีตอันไกลโพ้นเป็นอย่างมาก เนื่องจากเหล่าผู้ฝึกตนแห่งโบราณกาลเชื่อว่าจุดกำเนิดของโลก หรือสามพลังวิญญาณเริ่มต้นนั้น เป็นฐานรากของการฝึกตน พวกเขาเชื่อว่าพลังวิญญาณทั้งสาม อันได้แก่ หยางขั้นสุด หยินขั้นสุด และพลังงานกลาง สามารถรวมเป็นหนึ่งได้ ทำให้พวกเขาสามารถบรรลุลัทธิเต๋าอันยิ่งใหญ่ได้ วิชานี้เหมาะสำหรับใช้พัฒนาระดับการฝึกตน ทว่าการฝึกฝนนี้ต้องเสียสละอย่างมาก เวลานี้เขาได้รับพลังหยางขั้นสุด และพลังงานกลางแล้ว เขาขาดแต่เพียงพลังหยินขั้นสุดเท่านั้น

 

 

อีกหนึ่งวิชาคือ วิชาปราณหยางบริสุทธิ์ที่ได้รับถ่ายทอดมาจากหยวนเป่า เนื่องจากเขามีลูกประคำวิญญาณพลังหยางภายในร่าง เขาจึงมีแหล่งพลังวิญญาณหยางที่ไม่สิ้นสุด ในเวลานี้ เรียกได้ว่าเขาได้บรรลุถึงวิชาฝึกปราณหยางบริสุทธิ์แล้ว และพลังวิญญาณหยินอันเบาบางแต่เดิมในร่างกายของเขานั้น ได้จางหายไปนานมากแล้ว เหลือแต่เพียงพลังวิญญาณหยางบริสุทธิ์เท่านั้น

 

 

ทุกครั้งที่เขาถ่ายพลังวิญญาณหยางเข้าไปในร่างกายของโม่เทียนเกอ เขาพบว่าเส้นใยแห่งพลังวิญญาณหยางของเขา และพลังวิญญาณหยินบริสุทธิ์ในร่างกายของโม่เทียนเกอนั้นดึงดูดกันและกัน และไม่สามารถแยกออกจากกันได้ เวลานี้นางยังไม่ได้สติ นางจึงไม่สามารถควบคุมพลังวิญญาณของตัวเองได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ พลังดึงดูดระหว่างพลังวิญญาณทั้งสองชนิดนั้น เกิดขึ้นโดยสัญชาตญานอย่างสิ้นเชิง

 

 

สิ่งที่น่าอัศจรรย์ไปมากกว่านั้นคือ ทุกครั้งที่เขาบำรุงร่างกายให้นางเรียบร้อยแล้ว เขาพบว่าเขาไม่ได้สูญเสียพลังวิญญาณของเขาไปเลยแม้แต่น้อย ในทางกลับกัน เขาพบว่าเขามีพลังวิญญาณมากขึ้นเล็กน้อยเสียด้วยซ้ำ

 

 

หากว่ากันตามเหตุผลแล้ว มันไม่น่าจะเป็นเช่นนั้นได้ พลังวิญญาณจะไม่เพิ่มขึ้นเองอย่างไร้เหตุผล เมื่อคนผู้หนึ่งได้ใช้พลังวิญญาณในการรักษาผู้อื่น ปกติแล้วพวกเขามักจะต้องสูญเสียพลังวิญญาณเสมอ ไม่มีทางที่พลังวิญญาณจะเพิ่มขึ้นได้ ถึงกระนั้นก็ตาม พฤติการณ์ดังกล่าวพลันเกิดขึ้นแล้ว เขาใช้เวลาหลายวันในการใคร่ครวญเรื่องนี้ แต่จนแล้วจนรอดก็มิอาจเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นได้

 

 

ขณะที่เขาขมวดคิ้วอยู่นั้นเอง เขาพลันเหลือบไปเห็นเยี่ยเจินจี มีท่าทีอมทุกข์นั่งอยู่ที่หางตาของเขา เขาจึงเอ่ยปากถาม “เป็นอะไรไป”

 

 

เยี่ยเจินจีเงยหน้าขึ้น จ้องมองมาที่เขาอย่างไร้ความรู้สึกอยู่พริบตาหนึ่ง พลันก้มหน้าลงอีกครั้ง “ข้าไม่ได้เป็นอะไร”

 

 

ฉินซีพิจารณาสิ่งเห็น แล้วจึงเอ่ยถาม “ช่วงนี้เจ้าดูไม่ค่อยสดชื่นเลย แต่มันคงไม่ได้มีแค่เรื่องของป้าเจ้าใช่ไหม”

 

 

การได้ยินคำพูดของฉินซียิ่งทำให้เยี่ยเจินจีซึมเศร้ามากขึ้นไปอีก “ท่านอาจารย์ ท่านรู้หรือ”

 

 

ฉินซียิ้มอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อได้เห็นท่าทางตรงหน้าของเยี่ยเจินจี เขาเดินเข้าไปนั่งข้างๆ พลางเอื้อมมือออกไปลูบหัวของเยี่ยเจินจี ซึ่งกระตุ้นให้เขาส่งเสียงออกมาดังลั่น “ท่านอาจารย์ ข้าไม่ใช่เด็กแล้วนะ!”

 

 

รอยยิ้มบนใบหน้าของฉินซีมิได้เลือนหายไป “แม้เจ้าจะไม่ใช่เด็กด้วยอายุอานามแล้ว ทว่านิสัยของเจ้าก็ยังเป็นเด็กมิได้เปลี่ยนแปลงไป”

 

 

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เยี่ยเจินจีกพลันก้มหน้านิ่ง และไม่พูดจา

 

 

ฉินซีกล่าวพลางถอนหายใจ “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่สบายใจ ทว่าไม่เคยมีกรณีใดที่อาจารย์ต้องรายงานความเป็นไปให้ลูกศิษย์ฟัง หากเจ้าอยากรู้นัก เจ้าแค่มาถามข้าก็ย่อมได้แล้ว เหตุใดเจ้าถึงไม่ถามเล่า”

 

 

ศีรษะของเยี่ยเจินจีทรุดต่ำลงไปอีก เขาตระหนักดีว่าเขาเองที่ผิดในเรื่องนี้ อาจารย์และศิษย์เปรียบเสมือนบิดาและบุตร ปกติอาจารย์ของเขาช่างใจดีมากพอแล้ว ทว่าอาจารย์ก็คืออาจารย์อยู่วันยังค่ำ เขาต้องเคารพฉินซีโดยไม่ให้ขาดตกบกพร่อง

 

 

“ตอนนี้เจ้าก็ยังไม่ถามอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นข้าก็ขอตัว หากเจ้าจะไม่ถามอะไรข้า…”

 

 

“ท่านอาจารย์!” เยี่ยเจินจีเงยหน้าขึ้นทันที เมื่อเห็นว่าฉินซีกำลังยิ้ม เขาจึงรู้ว่าตนเองโดนแกล้งเข้าแล้ว เขาจึงกล่าวอย่างหัวเสีย “ท่านอาจารย์ ท่านจงใจแกล้งข้านี่นา”

 

 

ฉินซียิ้มกว้างกว่าเดิม พลันตบบ่าของเยี่ยเจินจี “เจ้าเด็กน้อย เจ้ามีเรื่องอันใดที่พูดไม่ออกอยู่หรือ เจ้ากลัวว่าข้าจะตำหนิเจ้าใช่ไหม หรือเจ้าเองที่กำลังตำหนิข้าอยู่ในตอนนี้กัน”

 

 

เยี่ยเจินจีจับหัวของตนเอง พลันกล่าวอย่างขวยเขิน “ข้ารู้สึก… เหมือนไม่มีสิ่งใดจะต้องพูด ฮัวหลิงบอกว่าข้าแค่หึงเท่านั้น อีกไม่นานข้าก็คงหายดี”

 

 

“อืม ดูเหมือนเจ้าจะตัดสินใจแก้ไขปัญหาด้วยตนเองแล้ว” ฉินซีกล่าวด้วยความโล่งใจ “อย่างไรเสีย เจ้าคงมีบางเรื่องที่เจ้าจะรู้สึกไม่สบายใจ หากมิได้เอ่ยปากถามสินะ”

 

 

เยี่ยเจินจีพยักหน้ารับ “ข้า… ลึกๆ แล้วข้ารู้สึกรำคาญใจอย่างมาก แต่หลังจากได้ไตร่ตรองดูแล้ว ข้าเห็นว่าอาจารย์มิได้ผิดแต่อย่างใด เป็นข้าเองที่ใจแคบเกินไป”

 

 

“นั่นมิใช่ความใจแคบหรอก มันคือความเสน่หา” ฉินซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “การที่เจ้ารู้สึกไม่สบายใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องท่านป้าของเจ้า หรือเรื่องของข้า นั่นแสดงให้เห็นว่าความรักของเจ้านั้นมีอยู่จริง ถึงกระนั้นก็ตาม มันยังมีบางเรื่องที่ข้าไม่สมควรจะบอกเจ้าในตอนนี้ เมื่อเจ้าหาคำตอบให้ตัวเองได้แล้ว เจ้าค่อยกลับมาคุยกับข้าอีกครั้ง ดีไหม”

 

 

เยี่ยเจินจีจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไรกัน เมื่อเป็นเรื่องเช่นนี้ ไม่มีอาจารย์คนไหนมาคอยอธิบายตนเองให้ลูกศิษย์ฟังเป็นแน่ มันดีมากพอแล้วที่อาจารย์ ซึ่งเป็นกังวลในความรู้สึกหดหู่ของเขา เต็มใจที่จะยอมพูดคุยกับเขาถึงเรื่องนั้นอย่างมีเมตตา

 

 

“ข้าเข้าใจแล้ว ท่านอาจารย์”

 

 

“เอาละ อยู่ดูแลป้าของเจ้าที่นี่เถอะ หากเจ้าอยากจะกลับ เจ้าก็เรียกซิ่วฉินและคนอื่นๆ ให้มาเฝ้าแทนแล้วกัน”

 

 

“โอ้…” เยี่ยเจินจีตอบรับ พลันถามต่อ “ท่านอาจารย์ ท่านจะไปแล้วหรือขอรับ”

 

 

ฉินซีกล่าวอย่างช้าๆ พร้อมกับยิ้ม “ท่านปรมาจารย์ค้นพบตำรับยาใหม่เพิ่มเติมเล็กน้อย ซึ่งอาจช่วยให้ท่านป้าของเจ้าฟื้นตัวเร็วขึ้น แต่สมุนไพรวิญญาณที่ต้องใช้ในตำรับยาพวกนั้นช่างหายากยิ่งนัก อีกสองสามวัน ข้าจะเสี่ยงโชคออกไปหาดูเสียหน่อย ข้าเลยต้องกลับไปเตรียมการก่อน”

 

 

“เอ๋ ท่านอาจารย์กำลังจะออกไปหรือขอรับ” เยี่ยเจินจีมองหน้าเขา จากนั้นจึงหันกลับไปมองโม่เทียนเกอที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง “แล้วท่านป้าล่ะขอรับ”

 

 

ฉินซีกล่าว “ท่านปรมาจารย์ก็อยู่ที่นี่ เจ้ายังจะต้องห่วงอะไรอีกล่ะ” จากนั้นเขายังสำทับอีกว่า “เวลาที่ข้าไม่อยู่ที่นี่ เจ้าต้องดูแลท่านป้าให้ดี อย่ามัวแต่คิดเรื่องเหลวไหล หากมีปัญหาอะไร จงไปหาท่านปรมาจารย์ เข้าใจไหม”

 

 

“อือ…” เยี่ยเจินจีใช้เวลาครุ่นคิดอยู่ครุ่หนึ่ง ทว่าในที่สุด เขาพลันกลืนคำพูดที่ว่าเขาอยากจะติดตามไปด้วยกลับลงไป ท่านป้าของเขายังอยู่ในสภาพเช่นนี้ และอาจารย์ของเขากำลังจะออกไปตามหายา เขาไม่ควรก่อเรื่องให้วุ่นวาย เขาสามารถออกไปผจญภัยได้ ทันทีที่ท่านป้าของเขาหายดี

 

 

หลังจากเฝ้ามองอาจารย์ของตนเดินจากไป เยี่ยเจินจียังคงนั่งใคร่ครวญอะไรบางอย่าง ราวกับว่าเขามีเรื่องราวมากมายอยู่ภายในใจ

 

 

ส่วนฉินซี หลังจากออกจากบ้านพักหมิงชินแล้ว เขาพลันแวะไปที่เรือนจือหลี่ก่อน

 

 

แม้ว่าเขาจะเริ่มรู้สึกรำคาญหร่วนหมิงจูมานานแล้ว ทว่าสุดท้ายแล้ว นางก็คือเพื่อนเล่นที่สมัยเด็กเติบโตมาด้วยกันกับเขา และทั้งคู่ยังมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ตั้งแต่สมัยเมื่อพวกเขายังหนุ่มสาวกว่านี้ด้วย

 

 

ผู้ที่ให้การดูแลหร่วนหมิงจูทั้งสี่ก็คือโม่เหมย รั่วหลาน เมิ่งจู๋ และซวงจู พวกนางมิได้สำราญกับธุระครั้งนี้เท่าใดนัก พวกนางจึงมิได้กระตือรือร้นเท่าที่ควร หลังจากที่พวกนางเห็นเขาเดินเข้ามา พวกนางจึงพลันลุกขึ้นทักทายเขาอย่างสดชื่นในที่สุด

 

 

“อาจารย์ลุงโส่วจิ้ง”

 

 

ฉินซีพยักหน้าให้ พลันถามว่า “หมิงจูเป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

โม่เหมยตอบ “ศิษย์พี่หร่วนสบายดี ทว่านางไม่ตอบสนองต่อผู้ใดเลย ไม่ว่าเราจะถามอะไร นางก็ไม่ตอบ นางเอาแต่อยู่กับตัวเอง พูดกับตัวเองเท่านั้น”

 

 

“นางได้สติปัญญากลับมาแล้วหรือไม่”

 

 

“เรื่องนี้…” โม่เหมยครุ่นคิดอยู่สักครู่ก่อนจะตอบออกมา “เราไม่รู้เจ้าค่ะ…. ท่านปรมาจารย์แวะมาหานาง เขาบอกว่าศิษย์พี่หร่วนกำลังตกอยู่ในฝันร้ายที่เกิดจากความหมกมุ่นแห่งจิต เนื่องจากม่านพลังห้าความสับสนรังควานวิญญาณ บางทีลึกๆ แล้วนางอาจเข้าใจอะไรบ้าง และนางเพียงแต่ไม่ยินยอมที่จะเผชิญหน้ากับมัน หรือบางทีนางอาจกำลังสับสน และไม่อาจแยกแยะความแตกต่างระหว่างผู้คนหรือสิ่งของได้อย่างชัดเจน”

 

 

ฉินซีขมวดคิ้ว และหันมองไปมองหร่วนหมิงจูที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เล็ก ซึ่งกำลังจ้องมองบางสิ่งด้วยสายตาาว่างเปล่า ดูเหมือนว่านางจะไม่ได้ยินเสียงพูดคุยใดๆ หรือแม้แต่รับรู้การมาถึงของเขา

 

 

เขาเดินเข้าไปหา และร้องเรียกนาง “หมิงจู”

 

 

ร่างกายของหร่วนหมิงจูไม่ขยับ ราวกับว่านางไม่ได้ยินเขาแม้แต่น้อย ถึงกระนั้น ริมฝีปากของนางกลับขยับ และพึมพำบางอย่างที่ไม่มีใครเข้าใจ

 

 

โม่เหมยเองก็ตามมาด้วย นางฟังอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวขึ้นมา “อาจารย์ลุงโส่วจิ้ง ศิษย์พี่หร่วนบอกว่า นางไม่ใช่หร่วนหมิงจู”

 

 

ความตะลึงงันถาโถมเข้ามา ฉินซีพลันนิ่งเงียบอยู่นานสองนาน เมื่อเขามองไปที่หร่วนหมิงจูอีกครั้ง เขารู้สึกเห็นใจนางยิ่งนัก

 

 

เดิมทีหมิงจูเป็นสาวน้อยที่แสนน่ารักยิ่งนัก ความสุขเพียงน้อยนิดที่เขาได้รับในวัยเด็กอันขมขื่น ล้วนมาจากนางทั้งสิ้น ไม่ใช่ว่าเขาไม่ซาบซึ้งต่อนางแต่อย่างใด ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป หมิงจูค่อยๆ เปลี่ยนไป และกลายเป็นสตรีที่โหดเ**้ยม และแปลกประหลาดยิ่งขึ้นทุกวัน ซึ่งนั่นทำให้ระยะห่างระหว่างคนทั้งสองยิ่งไกลมากขึ้นเรื่อยๆ

 

 

สำหรับเรื่องนี้แล้ว จะโทษแต่หมิงจูก็คงไม่ถูก ม่านพลังห้าความสับสนรังควานวิญญาณคือบททดสอบที่ทำให้คนผู้หนึ่งสูญเสียสติปัญญาไป ขณะที่เกิดเรื่อง นางกำลังเกิดภาพหลอน นางจึงกระทำสิ่งที่อุกอาจลงไปเช่นนั้น หากมองแบบตัดสิน นางหาได้ทำสิ่งใดผิดไม่ ุเพราะม่านพลังห้าความสับสนรังควานวิญญาณนั้น ทำให้พวกเขามองเห็นสิ่งที่พวกเขาเกลียดหรือโหยหา โชคร้ายที่เทียนเกอเพียงแต่อยู่ใกล้กับนางเท่านั้น จึงทำให้เกิดผลลัพธ์เช่นนี้ขึ้น

 

 

หลังจากเหตุการณ์ครานั้น อาจารย์ของเขาเคยแอบบอกเขาว่า หมิงจูพึมพำว่าตัวนางมิได้อยากเป็นหร่วนหมิงจู และนางเองก็หาใช่หร่วนหมิงจูไม่ สภาพจิตใจของนางคงจะถูกกระตุ้น จึงทำให้จุดอ่อนถูกเปิดเผยออกมา

 

 

ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นภายในม่านพลังหมื่นปรัชญาแห่งธรรมชาติ พวกเขาก็ค้นพบบางอย่างหลังจากตรวจสอบกันมาอย่างต่อเนื่อง

 

 

อาจเป็นเพราะหร่วนหมิงจูรู้ตัวว่านางทำเรื่องผิดพลาดมามากมาย ทว่านางไม่อาจหาญพอที่จะเผชิญหน้ากับความผิดพลาดเหล่านั้น นางจึงอยากมีตัวตนใหม่

 

 

นางไม่ได้ตั้งใจจะสังหารโม่เทียนเกอ เนื่องด้วยความแค้นอันใดทั้งสิ้น หากแต่นางอิจฉาในตัวตนของโม่เทียนเกอ อิจฉาทุกสิ่งที่โม่เทียนเกอมี นางจึงอยากเป็นโม่เทียนเกอเสียเอง เริ่มต้นทุกอย่างใหม่ แล้วกลับไปยังตอนที่นางยังไม่เคยทำสิ่งใดผิดพลาดไป

 

 

เมื่อได้เห็นหมิงจูมีสภาพเช่นนี้ ใช่ว่าท่านอาจารย์ของเขาจะไม่รู้สึกสงสาร เขาบอกว่าเขาต้องรับผิดชอบที่ทำให้หร่วนหมิงจูมีอุปนิสัยอย่างเช่นทุกวันนี้ ทว่าหมิงจูกลับต้องรับผลกรรมนั้นแต่เพียงผู้เดียว เขาไม่ได้สอนให้หมิงจูฝึกจิตใจให้เข้มแข็ง หากแต่สอนให้นางแบกรับทุกผลลัพธ์ของการกระทำที่ผิดพลาดทั้งหมด นางไม่สามารถรับได้ทั้งหมด นางจึงพังทลายอย่างสิ้นเชิง

 

 

หากเรื่องนี้เป็นเรื่องของผู้อื่น ฉินซีรู้สึกว่าเขาคงแข็งใจได้ เราต้องรับผิดชอบในความผิดพลาดที่เราได้กระทำขึ้น อีกอย่าง อย่างกับว่าพวกเขามิได้ให้โอกาสนางแต่อย่างใด ถึงกระนั้นก็ตาม นี่คือหมิงจู เขามิอาจทนปล่อยให้นางเป็นเช่นนี้ได้

 

 

เขาเฝ้ามองหมิงจูเปลี่ยนจากเด็กสาวซุกซนและจุกจิกเล็กน้อย ทว่ายังคงเป็นเด็กสาวที่น่ารักและจิตใจดี กลายเป็นนางเช่นปัจจุบันมานานหลายปี เมื่อเขาได้เห็นนางในเวลานี้ และจดจำได้ว่านางคนเดิมเป็นเช่นไร เขาจะยังใจแข็งกับนางลงได้อย่างไร

 

 

หากตอนนั้น พวกเขาอดทนสั่งสอนนางสักหน่อย แทนที่จะปล่อยนางให้เผชิญชะตากรรมด้วยตัวเองที่ลานแยกนั่นเป็นเวลาหกสิบปี นางจะกลายเป็นเช่นในปัจจุบันนี้หรือไม่ หากทุกคนใส่ใจนางสักหน่อยเมื่อนางกลับมา นางจะรอดพ้นจากชะตากรรมที่นางกำลังพบเจออยู่ในเวลานี้หรือเปล่า

 

 

น่าเสียดายที่โลกใบนี้มิได้มีที่ให้คำว่า “หาก” มากนัก

 

 

“ศิษย์พี่” หร่วนหมิงจูพลันเงยหน้าขึ้นอย่างกะทันหัน และยิ้มให้กับเขา “ท่านมาเยี่ยมข้าหรือ” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาช่างอ่อนโยน หาได้เหมือนน้ำเสียงของหร่วนหมิงจูผู้โหดเ**้ยมคนนั้นไม่

 

 

ฉินซีเพ่งสายตาของเขาไปที่นาง ชั่วขณะหนึ่งเขามิอาจบอกได้ว่านางได้สติปัญญากลับมาแล้วหรือไม่

 

 

หร่วนหมิงจูยิ้มออกมาอีกครั้ง ปรบมือและชี้ไปยังประตู “ศิษย์พี่ เราไปที่เขาด้านหลังกันไหม คราวก่อนท่านบอกว่าท่านจะจับสัตว์วิเศษไฟโลกันตร์มาให้ข้านี่”

 

 

“…” จับสัตว์วิเศษไฟโลกันตร์มาให้นาง… นั่นเป็นเรื่องที่พวกเขาคุยกันเมื่อครั้งอายุเพียงสิบสามหรือสิบสี่ปี เป็นไปได้ไหมว่านางลืมสิ้นทุกสิ่งอย่างที่เคยเกิดขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมากัน

 

 

ฉินซีมองไปรอบ ๆ ทำให้โม่เหมย รั่วหลาน เมิ่งจู๋ ซวงจู เข้ามาล้อมรอบคนทั้งสอง จากนั้นเขาพลันถามขึ้นว่า “หมิงจู เจ้าจำพวกเราได้หรือไม่”

 

 

หร่วนหมิงจูส่ายหัว และแววตาแห่งความสับสนก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง “ไม่ ท่านไม่ใช่ศิษย์พี่ของข้า ท่านคือท่านปรมาจารย์” นางเผยรอยยิ้มให้เห็นอีกครั้ง พร้อมกับดึงแขนเสื้อของฉินซี “ท่านปรมาจารย์ ข้าอยากได้สัตว์วิเศษไฟโลกันตร์ ศิษย์พี่บอกข้าว่าเขาจะหามันมาให้ข้า”