สุดท้ายแล้ว หร่วนหมิงจูก็ยังไม่คืนสติสัมปชัญญะของนาง
ฉินซีเดินออกมาจากเรือนจือหลี่ด้วยความหนักใจ และมุ่งหน้าไปยังโถงกลางเพื่อเข้าพบประมุขเต๋าจิ้งเหอ
ประมุขเต๋าจิ้งเหอกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้มังกรของเขา รื้อค้นกองตำราและบันทึกหยก เมื่อเขาสังเกตเห็นฉินซี จึงละสายตาออกมาจากกองตำราเหล่านั้น “เหตุใดวันนี้จึงมาไวเหลือเกิน”
ฉินซีไม่ได้ตอบคำถาม เขาเลือกที่นั่งไม่ห่างจากประมุขเต๋าจิ้งเหอนัก และเริ่มรื้อค้นตำราเช่นกัน ขณะที่นั้นเองที่ฉินซีเอ่ยถามขึ้น “ท่านอาจารย์ ท่านกำลังหาอะไรอยู่”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอมิได้ละสายตาจากตำรา ทว่ายังคงพลิกหน้ากระดาษต่อไปเรื่อยๆ “ข้ากำลังหาหนทางช่วยหมิงจู” ครู่ต่อมา เขาถึงสังเกตเห็นว่าแทนที่ฉินซีจะตอบเขา ดูเหมือนว่าจิตใจของฉินซีกลับลอยละล่องไปไกลแสนไกล เขาจึงอดไม่ได้ที่จะกล่าว “เจ้าเองก็ต้องหาหนทางเช่นกัน เราจะไม่กังเวลเรื่องนางไม่ได้”
ฉินซีหลุดจากภวังค์ความคิด พลันกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ ข้ามีข้อเสนอ”
“หืม”
“เรา… น่าจะส่งหมิงจูไปอยู่ในการดูแลของศิษย์พี่ซวนหยินด้วย”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอเงยหน้าขึ้น จ้องมองเขาพลางเลิกคิ้ว
ฉินซีกล่าวอย่างช้าๆ “สภาพจิตใจของหมิงจูแตกสลายไปแล้ว หลังจากที่ข้าคิดเรื่องนี้จนถี่ถ้วน ข้ารู้สึกว่าที่ทุกอย่างเป็นเช่นนี้ เพราะนางพึ่งพาพวกเรามากเกินไป ศิษย์พี่ซวนหยินมีลูกศิษย์มากมาย หากเราส่งนางไปให้ศิษย์พี่ท่านดูแล นางอาจจะมีชีวิตที่แตกต่างออกไป”
“…” ประมุขเต๋าจิ้งเหอลูบเคราตนเองขณะครุ่นคิด ครู่ใหญ่ต่อมาเขาจึงเอ่ยขึ้นมาในที่สุด “สิ่งที่เจ้าพูดใช่ว่าจะไม่สมเหตุสมผล”
ฉินซีจึงกล่าวต่อไป “ท่านอาจารย์ ท่านเลี้ยงดูหมิงจูไว้ข้างกายอยู่เสมอ ฐานะของนางจึงสูงกว่าศิษย์อื่นทั่วๆ ไป นั่นทำให้นางได้รับอะไรมากกว่าศิษย์คนอื่นๆ ด้วย ทว่ามันก็ทำให้นางเสียโอกาสในการเรียนรู้จากผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ในดินแดนเดียวกันกับนางเช่นกัน บัดนี้ ศิษย์ทุกคนของศิษย์พี่ซวนหยินยังฝึกตนอยู่ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน เช่นเดียวกับหมิงจู บางทีนางอาจจะได้เรียนรู้บางอย่างจากพวกเขาบ้างก็ได้”
“แต่…” ประมุขเต๋าจิ้งเหอเอ่ยออกมาอย่างลังเล “คนที่หมิงจูทำร้ายในคราวนั้น ก็เป็นศิษย์ของซวนหยินด้วยเช่นกัน พวกเขาจะมิรู้สึกขุ่นเคืองใจหรือ หาก…”
“พวกเขาต้องรู้สึกขุ่นเคืองเป็นแน่” ฉินซีกล่าว “แต่ศิษย์พี่ซวนหยินปฏิบัติต่อทุกคนอย่างยุติธรรมเสมอมา ชิงอวี่กับเฟิงเสวี่ยเองก็เป็นคนอารมณ์ดี สำหรับเว่ยจยาซือที่ต้องบาดเจ็บในคราวนั้น พื้นเพเดิมของนางก็มิได้แย่แต่อย่างใด หากท่านพานางไปส่งถึงมือของศิษย์พี่ซวนหยินด้วยตนเอง พวกนั้นคงไม่ทำให้หมิงจูต้องลำบากหรอก ถึงแม้พวกนั้นจะขุ่นเคืองใจอยู่ภายในก็ตาม”
ฉินซีหยุดพูดไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเสริมต่อไปว่า “อีกอย่าง การปล่อยให้หมิงจูได้รับการปฏิบัติอย่างเย็นชาจากศิษย์ธรรมดาคนอื่นๆ บ้าง ก็ไม่เลวเช่นกัน เวลานี้นางลืมทุกอย่างในอดีตไปจนหมดสิ้น หากนางสามารถเริ่มต้นใหม่ในฐานะศิษย์ทั่วไปได้ นางอาจจะไม่ได้มีนิสัยอย่างเช่นทุกวันนี้”
ประมุขเต๋าจิ้งเห้อลดสายตาลงต่ำพลางครุ่นคิด ทีแรกเขาสงสัยว่าจะทำอย่างไรให้หมิงจูฟื้นคืนสติปัญญากลับมา ทว่าบัดนี้ดูเหมือนว่าพวกเขาจะขัดเกลาอารมณ์ของนางแทนหรือ
“หากเจ้าว่าอย่างนั้น… มันก็ฟังดูสมเหตุสมผลอยู่” ประมุขเต๋าจิ้งเหอเอ่ยอย่างรอบคอบ “แม้หมิงจูจะคืนสติปัญญาได้ แต่ก็มิอาจแก้ไขสภาพจิตใจที่แหลกสลายไปแล้วของนางได้ นางควรจะได้เริ่มต้นใหม่”
“นั่นคือสิ่งที่ข้าคิด” ฉินซีเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงยกประเด็นอื่นขึ้นมาพูดต่อ “ท่านอาจารย์ มีเหตุประหลาดบางอย่างเกิดขึ้น ท่านพอจะไขข้อข้องใจนี้ได้หรือไม่”
“อะไรหรือ”
“ข้า… ข้าค้นพบว่าตอนที่ข้าช่วยรักษาเทียนเกอ พลังวิญญาณของข้ามิได้ลดลงแต่อย่างใด ตรงกันข้ามมันกลับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยด้วยซ้ำ”
เมื่อได้ฟังสิ่งที่ฉินซีพูด ประมุขเต๋าจิ้งเหอที่กำลังเหม่อลอย พลันหลุดออกจากภวังค์ความคิดกลับมา เขาเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ “จริงหรือ”
“ขอรับ” ฉินซีพยักหน้า “มันเป็นเช่นนี้เมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ข้าลองหลายครั้งแล้ว แต่ไม่มีครั้งไหนที่มันไม่เกิดขึ้น”
เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ขัดต่อหลักเหตุและผล จากนั้นประมุขเต๋าจิ้งเหอยื่นมือออกมา พลันกล่าวว่า “ขอข้าดูหน่อย”
ฉินซียื่นมือขวาออกไป หลังจากที่ประมุขเต๋าจิ้งเหอสัมผัสเส้นลมปราณของเขา และถ่ายพลังวิญญาณของเขาลงไป ไม่นานนักเขาก็พลันขมวดคิ้วขึ้น
เมื่อฉินซีเห็นท่าทีของประมุขเต๋าจิ้งเหอก็อดไม่ได้ที่จะถาม “อาจารย์ มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า”
ใช้เวลาครู่ใหญ่ทีเดียวกว่าประมุขเต๋าจิ้งเหอจะปล่อยมือของฉินซี จากนั้นเขาก็ส่ายหัว และกล่าวว่า “เจ้ามิได้สังเกตเลยใช่ไหมว่ามันมีวงจรเล็กๆ อยู่ภายในร่างกายของเจ้า”
ฉินซีตะลึงงัน เขายกมือของเขาขึ้น และเริ่มเคลื่อนย้ายพลังวิญญาณภายในร่างของเขา พลังวิญญาณหยางอันอบอุ่น เคลื่อนตัวไปตามเส้นลมปราณสู่ตานเถียนของเขา จากนั้นมันก็เคลื่อนตัวออกจากตานเถียนอีกครั้งหนึ่ง ไม่ถูกต้อง! ท่ามกลางพลังวิญญาณหยางของเขา มีเส้นใยของสุดยอดพลังวิญญาณหยินบริสุทธิ์ปรากฏอยู่ มันหลอมรวมเข้ากับพลังกลางของเขา ถูกเก็บไว้ในส่วนลึกของตานเถียน และไหลเวียนไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ภายในตานเถียนของเขา
เส้นใยพลังวิญญาณหยินนี้มิได้เหมือนกับพลังวิญญาณหยินที่เขาเคยมี ก่อนที่เขาจะฝึกฝนวิชาพลังหยางบริสุทธิ์ ในตอนนั้นพลังวิญญาณหยินของเขามิได้บริสุทธิ์แต่อย่างใด มันถูกผสมเข้ากับพลังวิญญาณหยางของเขา และพวกมันมิอาจแยกออกจากกันได้โดยง่าย อย่างไรก็ตาม เส้นใยพลังวิญญาณหยินนี้บริสุทธิ์เป็นที่สุด ไม่มีมลทินใดเข้ามาเจือปนแม้แต่น้อย ถึงแม้จะถูกผสมเข้ากับพลังวิญญาณหยาง และพลังกลางของเขาแล้ว มันกลับเป็นสามวงจรที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งสับเปลี่ยนเวียนวนเข้าด้วยกัน
หลังจากนั้นครู่ใหญ่ เขาหยุดและเอ่ยขึ้นว่า “ในเมื่อข้ามิอาจหาพลังหยินขั้นสุดได้ ข้าจึงกดพลังกลางของข้าเข้าไปในส่วนลึกของตานเถียน ข้าไม่คาดคิดเลยว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เกิดขึ้น… ท่านอาจารย์”
ท้ายที่สุดแล้ว ประมุขเต๋าจิ้งเหอคือผู้ฝึกตนขั้นกลางแห่งการสร้างจิตวิญญาณใหม่ เพียงมองแค่ปราดเดียว เขาพลันเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นโดยคร่าวในทันที เขาลูบเคราของเขา พลางกล่าวอย่างช้าๆ “เจ้าจำคุณสมบัติศาสตร์แห่งต้นกำเนิดของเทียนเกอได้หรือไม่”
ฉินซีตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นเขากลับกล่าวต่อ “ศาสตร์แห่งต้นกำเนิด… คือการฝึกฝนสำหรับผู้ที่มีรากวิญญาณทั้งห้าที่เหมือนและสมดุลกัน จุดหมายของมันคือการกำเนิดปฐมบทความโกลาหล ธาตุทั้งห้านั้นจะเสริมสร้าง และพิฆาตซึ่งกันและกัน ส่วนหยินและหยางจะเคลื่อนตัวอยู่ในวงจรที่ไม่มีที่สิ้นสุด จนทำให้บรรลุถึงสภาวะที่ยั่งยืนด้วยตัวเองได้”
“ถูกต้อง” โม่เทียนเกอมิอาจปกปิดวิชาการฝึกตนนี้จากประมุขเต๋าจิ้งเหอได้ ฉะนั้น ชายทั้งสองจึงทราบว่าวิชาของศาสตร์แห่งต้นกำเนิดคืออะไร ประมุขเต๋าจิ้งเหอขยุ้มเคราของเขา และกล่าวต่อว่า “ภายในร่างของเทียนเกอประกอบด้วยวงจรของพลังวิญญาณหยินทั้งห้า แรกเริ่มเดิมที วิชาการฝึกตนเช่นนี้แตกต่างจากวิชาที่เจ้าใช้ฝึกตนโดยสิ้นเชิง รากวิญญาณทั้งสองของเจ้านั้น ทั้งธาตุโลหะและธาตุไฟ ต่างก็มีความยอดเยี่ยมด้วยกันทั้งคู่ และเจ้าเองก็เชี่ยวชาญในวิชาการฝึกตนด้วยธาตุไฟ ยิ่งเมื่อรวมกับลูกประคำพลังวิญญาณหยินที่เจ้าได้ชำระล้างมาแล้ว ยิ่งทำให้พลังวิญญาณหยางในร่างกายเจ้างอกงามขึ้นเรื่อยๆ ทว่าสิ่งที่ขาดไปนั้นคือความบริสุทธิ์ ถึงกระนั้นก็ตาม เวลานี้เจ้ากำลังฝึกตนตามศาสตร์แห่งสามวงจรเริ่มต้น ขณะที่มันอาจไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อพลังวิญญาณหยางและพลังกลางหลอมรวมกัน ทว่าเมื่อมีพลังวิญญาณหยินขั้นสุดเข้ามารวมด้วยแล้ว มันจึงกลายเป็นวงจรอย่างหนึ่ง”
“…” ฉินซีขมวดคิ้ว เขาไตร่ตรองอยู่นานก่อนที่จะเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง “ท่านอาจารย์ ท่านกำลังพยายามจะบอกว่า… ศาสตร์แห่งสามวงจรเริ่มต้นของข้า กับศาสตร์แห่งต้นกำเนิดนั้น เป็นศาสตร์ที่แตกต่างกัน แต่นำไปสู่ผลลัพธ์เดียวกันอย่างนั้นหรือ”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอพยักหน้า “ข้าก็เดาว่าเช่นนั้น อย่างไรก็ตาม วงจรของนางเป็นวงจรธาตุทั้งห้า ในขณะที่ของเจ้าเป็นวงจรหยินและหยาง หลังจากที่ร่างของเจ้าได้เปลี่ยนเป็นร่างหยางบริสุทธิ์ เจ้าจึงกดพลังงานกลางลึกเข้าไปในตานเถียน และเจ้าก็มิอาจสรรหาพลังวิญญาณหยินขั้นสุดมาได้ ฉะนั้น ศาสตร์แห่งสามวงจรเริ่มต้นจึงสูญเสียประสิทธิภาพไปโดยปริยาย ช่วงสองสามวันมานี้ที่เจ้าไปรักษานาง เจ้ากลับได้รับพลังวิญญาณหยินบริสุทธิ์จากนาง ฉะนั้น ศาสตร์แห่งสามวงจรเริ่มต้นของเจ้าเริ่มใช้งานได้จริง”
ฉินซีก้มหน้าลงและจมดิ่งอยู่ในภวังค์ความคิด ทันใดนั้น เขาพลันร้องขึ้นเสียงดัง “ท่านอาจารย์! ท่านคิดว่าศาสตร์แห่งสามวงจรเริ่มต้นนี้ จะสามารถสร้างปฐมบทความโกลาหลอันเล็กน้อยขึ้นภายในร่างข้า และเริ่มผลิตพลังวิญญาณขึ้นมาเองอย่างนั้นหรือ”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอส่ายหัว “ข้าได้แต่เดาเท่านั้น เวลานี้ข้ายังให้คำตอบอะไรเจ้าไม่ได้ หากเจ้าอยากรู้ เจ้าทำได้แต่เพียงพยายาม และพิสูจน์ด้วยตัวเองเถิด”
“…” ฉินซีนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ท่าทางของเขาดูเคร่งเครียดเป็นที่สุด หากสิ่งที่อาจารย์ของเขาพูดเป็นความจริง มันจะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเส้นทางแห่งการฝึกตนของเขา
หากว่าศาสตร์แห่งสามวงจรเริ่มต้นมีกลไกเช่นนั้นจริง แสดงว่าเขาได้ฝึกตนผิดวิธีมาโดยตลอด เดิมทีเขาเคยคิดว่าไม่ว่าจะเป็นพลังวิญญาณหรือปราณ เขาเพียงแค่ต้องแสวงหาความบริสุทธิ์เท่านั้น ทว่าเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว นอกเหนือจากความบริสุทธิ์ดังที่กล่าวมา ยังคงมี “ความสมดุล “และ “วงจร” อีกด้วย
ขณะที่ประมุขเต๋าจิ้งเหอกำลังครุ่นคิดประเด็นนี้ เขาพลันพ่นเสียงหัวเราะออกมาดังสนั่นในที่สุด “ข้าคาดไม่ถึงเลย หากมันเป็นเช่นนั้นจริง เจ้าและเทียนเกอถือเป็นคู่ครองที่ฟ้าประทานมา ข้าเคยเห็นตำราวิชาการฝึกตนของนางมาก่อน เจ้าศาสตร์แห่งต้นกำเนิดนั่นก็คือวงจรแห่งธาตุทั้งห้า และการสับเปลี่ยนกันของหยินและหยาง ซึ่งจะก่อกำเนิดปฐมบทความโกลาหลขึ้นภายในร่างกาย เห็นได้ชัดว่านางมีปราณหยินบริสุทธิ์ นางจึงสามารถปรับความสมดุลของธาตุทั้งห้าภายในพลังวิญญาณหยินของนางได้ ส่วนเจ้า ศาสตร์แห่งสามวงจรเริ่มต้นของเจ้าขาดแต่เพียงพลังวิญญาณหยินขั้นสุด ตราบใดที่เจ้ายังสรรหามันมาไม่ได้ เจ้าจะไม่มีวันบรรลุการฝึกตนด้วยวิชานี้ ด้วยเหตุนี้เอง ร่างของเจ้าจึงได้เปลี่ยนเป็นร่างพลังหยางบริสุทธิ์ เห็นได้ชัดว่าเจ้าไม่อาจฝึกพลังวิญญาณหยินขั้นสุดได้ หากเจ้าทั้งสองได้ทำการฝึกตนร่วมสัมพันธ์ เทียนเกอก็จะสามารถรับเอาพลังวิญญาณหยางขั้นสุดจากเจ้าได้ และในตอนนั้น นางก็จะฝึกศาสตร์แห่งต้นกำเนิดต่อไปได้ ส่วนเจ้า เมื่อศาสตร์แห่งสามวงจรเริ่มต้นของเจ้ารับเอาพลังวิญญาณหยินขั้นสุดจากนางมา เจ้าเองก็จะสามารถสร้างพลังงานวิญญาณเริ่มต้นทั้งสามได้ ฮ่าๆ ๆ ๆ นี่มันช่างเหมาะสมกันยิ่งกว่าการฝึกตนร่วมสัมพันธ์ทั่วไประหว่างคนที่มีปราณหยินบริสุทธิ์กับปราณหยางบริสุทธิ์เสียอีก!”
ทันทีประมุขเต๋าจิ้งเหอพูดจบ เขาก็พบว่าฉินซีดูไม่สบายใจเลย เขาจึงถามขึ้นว่า “เป็นอะไรไป ไม่ดีหรืออย่างไร”
ฉินซีส่ายหัวหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง “ข้าไม่อยากให้… ความสัมพันธ์ของข้ากับนางต้องข้องเกี่ยวกับเรื่องของการฝึกตน” หากทุกสิ่งอย่างในความสัมพันธ์ของพวกเขามีเพียงเพื่อพัฒนาการฝึกตนเท่านั้น เหตุใดเขาจึงต้องรอมาจนบัดนี้ อาจารย์เคยกล่าวไว้นานแล้วว่า หนทางที่ง่ายที่สุดในการรับเอาพลังวิญญาณหยินขั้นสุดสำหรับเขาก็คือ การฝึกตนร่วมสัมพันธ์กับนาง ทว่าเขาปฏิเสธมาโดยตลอด เพราะเขาไม่อยากกอบโกยผลประโยชน์มากจนเกินไปจากการฝึกตนร่วมสัมพันธ์นั้น
“นี่!” ประมุขเต๋าขมวดคิ้ว และมองเขาอย่างไม่พอใจ “เจ้าคิดลบเกินไปหรือเปล่า ทำไมเจ้าต้องเลี่ยงประโยชน์จากการฝึกตนร่วมสัมพันธ์ด้วย มันก็เพื่อประโยชน์ของทั้งสองฝ่ายมิใช่หรือ”
“…” ฉินซีก้มหน้านิ่ง และเงียบอยู่เป็นเวลานานสองนาน
การได้เห็นสภาพของฉินซีตรงหน้านี้ ทำให้ประมุขเต๋าจิ้งเหอหมดความอดทน “นี่ นี่ ทำไมเจ้าไม่พูดอะไรบ้าง ข้าล่ะไม่เข้าใจเสียจริง ใครๆ ก็อยากตักตวงประโยชน์จากการฝึกตนร่วมสัมพันธ์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้กันทั้งนั้น แต่เจ้ากลับไม่เต็มใจเอาเสียเลย”
“ข้า…” ฉินซีเอ่ยขึ้นอย่างลังเล “หากต้องเป็นเช่นนั้นจริง ข้าคงรู้สึกเหมือนแค่หลอกใช้นาง”
“มันไม่มีเรื่องการหลอกใช้ หรือไม่หลอกใช้อะไรทั้งนั้น” ประมุขเต๋าจิ้งเหอตำหนิเขา “เจ้าเด็กเหลือขอ ทำไมเจ้าถึงได้สมองทึบเช่นนี้นะ ผลประโยชน์พวกนั้นมันก็แค่เรื่องรองเท่านั้น เรื่องรอง เข้าใจไหม เจ้าคิดว่าผลประโยชน์จากการฝึกตนร่วมสัมพันธ์ จะลบล้างความรู้สึกระหว่างพวกเจ้าทั้งสองได้หรือ”
รอยยิ้มบิดเบี้ยวปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฉินซี “ท่านอาจารย์ ท่านคิดว่านางมีใจให้ข้าบ้างไหม”
“…” คำถามนี้ทำให้ประมุขเต๋าจิ้งเหอลังเลอยู่นานก่อนที่จะเอ่ยขึ้นอีกครั้งในที่สุด “ก็น่าจะมีบ้าง… จริงไหม ข้าไม่เชื่อหรอกว่านางจะไม่…”
“แต่ข้าไม่เชื่อว่านางมี” ฉินซียังคงก้มหน้า และหัวเราะกับตัวเองเบาๆ “ปีนั้นที่ข้าไปพานางกลับมาจากคุนอู๋ตะวันออก ข้าสังเกตเห็นว่านางน่าจะเริ่มมีใจให้ข้าบ้างระหว่างการเดินทาง ทว่าข้าเป็นคนถอนตัวออกมาด้วยเหตุผลบางอย่างเอง นางเป็นคนฉลาด ไม่เหมือนสตรีเหล่านั้น ที่ฉวยโอกาสเวลาที่อยู่กับข้าตามลำพังแล้วเข้าหาข้า นางควบคุมตัวเองและรักษาระยะห่างอย่างชัดเจน… ด้วยเหตุนี้เองทำให้ข้าชื่นชมนางเสียเหลือเกิน ทว่าตอนนี้ เวลาสามสิบห้าปีได้ล่วงเลยไป มีสักกี่ครั้งที่เราได้พบหน้าซึ่งกันและกัน แม้ว่านางจะมีใจให้ข้าในตอนนั้น ทว่าข้าเกรงว่าความรู้สึกเหล่านั้นคงจะเลือนหายไปหมดแล้ว ใช่ไหม”
“แต่จากที่ข้าเห็นอยู่ทุกวัน ไม่มีวันไหนเลยที่นางจะไม่เป็นห่วงเจ้า”
“อีกอย่าง” ฉินซีขัดประมุขเต๋าจิ้งเหอ “ข้าจะอธิบายเรื่องตัวตนของข้าอย่างไร จนถึงบัดนี้ ข้ายังไม่เคยบอกนางเลยว่าฉินซีก็คือฉินโส่วจิ้ง นางประทับใจในตัวฉินซี ประการแรก เป็นเพราะข้าไปอยู่เป็นเพื่อนนางเป็นเวลาสองเดือน หลังจากที่ท่านลุงรองของนางตาย และช่วยนางให้หลุดจากสถานะน่าอึดอัดในชีวิตยามนั้น ประการที่สอง เป็นเพราะนางคิดว่าข้ามีระดับการฝึกตนอยู่ในดินแดนเดียวกันกับนาง นางจึงคิดว่าเราทั้งสองคนทัดเทียมกัน ท่านอาจารย์ ท่านเองก็รู้ว่าศักดิ์ศรีของนางมันมากเพียงใด หากนางรู้ความจริงเข้า นางจะยอมเข้าใกล้ข้าเพียงน้อยนิดอย่างนั้นหรือ”
เมื่อเห็นว่าประมุขเต๋าจิ้งเหอนิ่งเงียบไม่เอ่ยคำใดออกมา ฉินซีก็ได้แต่หัวเราะอย่างขมขื่น “เอาเถอะ สมมติว่าตอนนี้นางยังมีใจให้ข้าอยู่ ความรู้สึกนั้นจะมากพอที่นางจะให้อภัยการหลอกหลวงของข้าได้ไหม แม้ข้าจะรู้ดีว่าข้ามิเคยกระทำผิดต่อนาง ทว่าข้าก็มิอาจอธิบายเรื่องนี้ให้นางฟังอย่างใจเย็นได้”
เขาถอนหายใจก่อนจะกล่าวพูดต่อไป “ความรู้สึกที่ไม่จำเป็นต้องมีอยู่ การปกปิดตัวตนของข้า ไหนจะเรื่องผลประโยชน์ของการฝึกตนร่วมสัมพันธ์ที่เราเพิ่งพูดกันไปอีก… พอมีหลายเรื่องถาโถมเข้ามาเช่นนี้ ข้ามิอาจรู้เลยว่าหลังจากนี้ นางจะมีท่าทีตอบสนองเช่นไร”