โม่เทียนเกอรู้สึกว่านางกําลังฝัน ทว่านางก็รู้สึกคล้ายกับว่าทุกอย่างเป็นเรื่องจริงเช่นกัน
ในความฝัน นางเป็นเพียงแสงสีขาวกลมเล็กลอยละล่องไปตามทะเลเมฆอันสุดลูกหูลูกตา นางช่างมี ความสุขเหลือเกิน เพราะนางสามารถเป็นอิสระ และเพลิดเพลินชีวาอยู่ในทะเลเมฆแห่งนี้ได้ แต่ทว่าครู่ต่อมา นางกลับพลันรู้สึกเศร้าสร้อย เนื่องจากไม่อาจก้าวพ้นทะเลเมฆแห่งนี้ไปได้
ในคราแรก ร่างกายขาวซีดของนางอ่อนแรง และปกคลุมไปด้วยความเย็นเยือกทั่วร่าง ทว่าไม่นานนัก ธารกระแสอุ่นได้ไหลเวียนผ่านร่างนางอย่างต่อเนื่อง เติมร่างอันขาวซีดให้มีสีแดงอุ่นตาขึ้นมา
ความอบอุ่นนี้สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างมากให้แก่นาง นางพบว่าตนเองแกร่งกล้ามากขึ้น และ สามารถเดินทางไปทั่วทะเลเมฆได้อย่างรวดเร็วยิ่งกว่าเดิม ครั้นต่อมา นางค้นพบว่าทะเลเมฆนี้ช่างประหลาดนัก มันผันผวนอยู่เสมอ ครู่หนึ่งมันมีสายฟ้าฟาดและพายุฝน ทว่าครู่ต่อมามันกลับสว่างสดใส และมีแสงตะวันสาดส่องให้เห็น ถึงกระนั้น มันก็เต็มไปด้วยพลังชีวิตอันเปี่ยมล้นมหาศาล
กระนั้นก็ตาม ไม่นานนัก ธารกระแสอุ่นพลันสลายไป และความอุ่นไอที่เคยปรากฏก็ค่อย ๆ เลือนหายไปเช่นกัน
นางจมดิ่งลงสู่ความฝันแห่งความจริง
“เทียนเกอ รีบไปตามพ่อของเจ้าให้กลับมากินข้าวเร็ว”
“ได้เจ้าค่ะ” เด็กสาวตัวน้อยที่กําลังเอนกายพิงโต๊ะระหว่างทําการบ้าน ลุกขึ้นยืนและตะโกนออกไปว่า “ท่านแม่ ข้าอยากกินลูกชิ้นปลาจัง วันนี้มีหรือไม่”
“ต้องมีอยู่แล้วสิจ๊ะ” เสียงที่ค่อย ๆ แผ่ซ่านด้วยรอยยิ้มขานตอบ “เรามีทุกอย่างที่เจ้าต้องการ ฉะนั้นรีบไปตามพ่อของเจ้าให้กลับมากินข้าวเถอะ”
“ท่านพ่อ! ท่านพ่อ…”
ความโศกเศร้าทั้งหมดของนางก่อตัวขึ้นเมื่อครั้นสูญเสียบิดา ฉะนั้นในก้นบึงของจิตใจ นางมักจะ จินตนาการอยู่เสมอว่าชีวิตจะเป็นเช่นไรหากบิดาของนางยังคงอยู่ นางจะมีชีวิตอันสมบูรณ์แบบได้หรือไม่
แม้ว่านางจะตระหนักรู้ถึงปัญหานี้อยู่บ้าง ทว่านางกลับไม่เคยตระหนักถึงความร้ายแรงของมัน แม้ตอนนี้นางได้ชื่อว่าเป็นลูกศิษย์พลังวิญญาณขั้นสูงของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่แล้ว มีทั้งวิทยายุทธแก่กล้าและครอบครองสรรพสิ่งต่างๆ ที่ผู้อื่นกลับไม่มี ทว่าสิ่งเหล่านั้นก็ไม่มากพอที่จะชดเชยความโศกเศร้าที่อยู่ภายในจิตใจนางได้
เมื่อนางได้เผชิญหน้ากับม่านพลังห้านิวรณ์พลิกสัมผัสภายในม่านพลังหมื่นปรัชญาแห่งธรรมชาติ ในที่สุด นางจึงล่วงรู้ถึงความอ่อนแอภายในสภาพจิตใจของนาง หาใช่เพราะความขี้ขลาด ความมั่นของแห่งจิตไม่แก่กล้าพอ หรือหาใช่จิตใจแห่งเต๋าสั่นคลอนไม่ หากแต่เป็นเพราะความโศกเศร้าในวัยเด็กได้หยั่งรากฝังลึกอยู่ภายในจิตใจนางมาโดยตลอด
ทว่าในความเป็นจริง หากบิดานางยังอยู่ ชีวิตนางจะสมบูรณ์แบบจริงแน่หรือ บิดานางคือผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลัง เลื่องชื่อในแถบคุนอู๋ตะวันออก ทว่ามารดานางเป็นเพียงปุถุชนธรรมดาเท่านั้น แม้บิดานางจะรักมารดานางสุดหัวใจเท่าไร ทว่าท่านทั้งสองก็ไม่มีวันครองคู่เป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบได้
หากปุถุชนได้ครองคู่กับผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงาน พวกเขาจะมีชีวิตที่สุขสมจวบจนวาระสุดท้ายได้อย่างไร
ยามใดที่พวกเขายังคงอยู่ในโลกมนุษย์ พวกเขาคือคู่รักที่ทุกผู้ทุกนามล้วนแต่ยินดี ทว่ายามใดที่พวกเขามาเยือนคุนอู๋ พวกเขาจะไม่มีวันได้สุขสมอย่างสมบูรณ์แบบเป็นแน่แท้ ไม่ว่าบิดานางจะปฏิบัติต่อมารดานางดีเช่นไร มารดานางก็มักถูกดูแคลนจากผู้อื่นเสมอ และเพราะมารดานางเป็นเพียงปุถุชน โม่เทียนเกอจึงถูกดูแคลนจากผู้อื่นด้วยเช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้น ในฐานะปุถุชน มารดานางมีอายุขัยเพียงราวๆ ร้อยปี และมีวัยสาวที่แสนสั้นเพียงสิบกว่า ปีเท่านั้น ในทางกลับกัน บิดานาง ซึ่งเป็นผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงาน มีอายุขัยราวห้าถึงหกร้อยปี เจ็ดถึงแปดร้อยปีก็ยังคงเป็นไปได้
นอกจากนั้น แม้จะครอบครองพลังหยินบริสุทธิ์ แต่ก็ไร้ซึ่งรากวิญญาณ มารดานางจึงถูกลิขิตให้มีอายุ ขัยเพียงยี่สิบกว่าปีเท่านั้น
แม้ว่าโม่เทียนเกอจะมีบิดา ทว่านางก็ยังคงต้องสูญเสียมารดาอยู่ดี แม้ว่านางไม่จําเป็นต้องตระเวนไปทั่วหล้าเป็นเวลาอีกหลายสิบปี ทว่ามันก็เป็นไปไม่ได้ที่นางจะหลีกพ้นความทรมานถ้วนทั่วนี้ได้
เมื่อโม่เทียนเกอ ผู้ยังคงอยู่ในห้วงความฝัน ตระหนักได้ว่าแม้จะได้บิดาคืนมาแต่ก็ต้องสูญเสียมารดาไป นางจึงล่วงรู้ถึงความจริงได้ในที่สุด
ในช่วงชีวิต ผู้คนอาจหลีกหนีซึ่งเคราะห์กรรมทั้งหลายได้ ทว่าพวกเขาไม่มีวันชดเชยให้กับทุกสิ่งที่เศร้า เสียใจได้ มันสําคัญมากยิ่งขึ้นสําหรับผู้ที่ก้าวเดินบนเส้นทางสู่ความป็นเซียน เสาะแสวงหาลัทธิเต๋าอันยิ่งใหญ่ ที่จะเข้าใจในหลักการนี้ได้ เจ้ารู้สึกสุขใจเมื่อได้รับบางสิ่ง ทว่าเจ้าจะไม่รู้สึกเศร้าใจหากสูญเสียบางสิ่ง เพราะเจ้าจะทรมานจากความสูญเสียในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งตราบจนชั่วนิรันดร์ ฉะนั้น เจ้าควรสุขใจกับทุกเศษเสี้ยวที่เจ้าได้ครอบครอง
โม่เทียนเกอลืมตาของนาง ขณะที่ตื่นขึ้นจากห้วงความฝันที่แสนยาวนานเหลือเกิน จิตใจนางอยู่ในภาวะสงบนิ่ง
“ท่านป้า!” เสียงของเยี่ยเจินจีเต็มไปด้วยความกังขา แต่ก็เต็มไปด้วยความเปรมปรีดาเช่นกัน “ท่านป้า ในที่สุด ท่านก็ฟื้นแล้ว!”
เมื่อได้เห็นสีหน้าอันตื่นเต้นของเขา โม่เทียนเกอจึงขยับมุมปากของนางเพื่อเผยรอยยิ้มอันอ่อนโยน “เจ้า…” หลังจากไม่ได้เอ่ยวาจาพักใหญ่ เสียงนางได้แหบแห้งไปเสียแล้ว
“โอ้ ท่านป้า ท่านดื่มชาก่อนเถอะ” เยี่ยเจินจีรีบยกชามาให้ และช่วยประคองนางให้นั่งบนเตียง
โม่เทียนเกอ ผู้ดื่มชาลงไปจนหมดในคราเดียว กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใช่ว่าข้าเคลื่อนไหวไม่ได้ เจ้าไม่ต้อง ทําเช่นนี้หรอก” ความจริงแล้ว พลังวิญญาณภายในร่างนางนั้นเปี่ยมล้นมหาศาล นางจึงรู้สึกมีพลังเป็นล้นพ้น
เยี่ยเจินจียังคงเอ่ยปากถาม โดยไม่สนใจสิ่งที่นางพูด “ท่านป่า ตอนนี้ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง ท่านสบายดี ไหม รอข้าก่อน ข้าจะไปตามท่านปรมาจารย์มาเดี๋ยวนี้” เมื่อพูดจบ เยี่ยเจินจีรีบวิ่งตรงออกไปด้านนอก โม่เทียนเกอไม่อาจห้ามเขาไว้ได้ทัน
ช่วยไม่ได้ โม่เทียนเกอได้แต่ส่ายหัว และลุกขึ้นจากเตียง
นางจําเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนนางจะหมดสติได้ ทว่านางกลับไม่รู้ว่าตนหมดสติไปนานเท่าไร สามวันได้หรือไม่ หรือว่าห้าวันกัน กระนั้นก็ตาม สิ่งนี้คือพรจากสวรรค์ที่แฝงกายมาเป็นแน่ หากสิ่งนี้ไม่เกิดขึ้น นางคงจะเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิต เพื่อสร้างขุมพลังของนางด้วยภาวะอวิชชา และในตอนนั้น ทุกอย่างคงจะผิดพลาดอย่างแน่นอน
แม้ว่าร่างกายของผู้ฝึกการสร้างฐานแห่งพลังงานจะไร้ซึ่งปฏิกูล และไม่อาจสร้างสิ่งสกปรกใดๆ ได้แล้ว นางยังคงรู้สึกไม่สบายตัวหลังจากได้หลับใหลไปนานแสนนาน ขณะที่โม่เทียนเกอกําลังล้างหน้าล้างตา นางพลันเห็นเยี่ยเจินจีนําทางประมุขเต๋าจิ้งเหอมาด้วยความรีบร้อน
“ท่านอาจารย์”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอซึ่งมีสีหน้าขึงขัง พยักหน้ารับและรีบดึงข้อมือนางไปตรวจลมปราณในทันที
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ประมุขเต๋าจิ้งเหอจึงปล่อยข้อมือนางในที่สุด สีหน้าของเขาโล่งใจขึ้นมาก “เจ้าไม่เป็นไรเสียที”
โม่เทียนเกอสับสนงงงวย “ท่านอาจารย์ท่านกําลังทําอะไรอยู่ จะมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นกับข้าได้กัน” ใน เมื่อหร่วนหมิงจูไม่ได้ทําให้นางบาดเจ็บ ร้ายที่สุดจึงมีเพียงแต่จิตหยั่งรู้ของนางที่ได้รับผลกระทบเท่านั้น พวกเขาไม่จําเป็นต้องกังวลขนาดนี้ใช่ไหม
เมื่อได้ยินดังนั้น ประมุขเต๋าจิ้งเหอจึงชี้นิ้วไปที่นางทันที และกล่าวว่า “สาวน้อย เจ้ามันเลินเล่อเสียจริง! จะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าอย่างนั้นหรือ หากเจ้าตื่นขึ้นมาช้ากว่านี้สักหน่อย จะต้องมีเรื่องเกิดขึ้นกับเจ้าอย่าง แน่นอน!”
“หืม” โม่เทียนเกอรู้สึกสับสนมากยิ่งขึ้น
เยี่ยเจินจีจึงกล่าวว่า “ท่านป้า ท่านรู้ไหมว่าท่านหลับไปนานเท่าไร”
“นานขนาดนั้นเลยหรือ”
“ท่านหลับไปสามปีแล้ว!” เยี่ยเจินจีอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมา “ท่านป่า ท่านหลับไปนานสามปีเต็ม!”
โม่เทียนเกอตะลึงงัน “ขนาดนั้นเลยหรือ” มันเป็นแค่ห้วงความฝันสําหรับนาง แต่กลับกินเวลาถึงสามปี เต็ม!
ประมุขเต๋าจิ้งเหอกล่าวว่า “เอาละ เมื่อข้าเห็นเจ้าสบายดีแล้ว หากเจ้าอยากรู้อะไร ก็ถามเจินจีแล้วกัน” ครั้นประมุขเต๋าจิ้งเหอพูดจบ เขาก็สะบัดชายเสื้อและจากไปในทันที
โม่เทียนเกอรู้สึกมีบางอย่างผิดแปลกไป เมื่อดูจากอารมณ์ของประมุขเต๋าจิ้งเหอ มันกลับไม่สมเหตุสมผลที่เขาจะสงบนิ่งเช่นนี้ได้เลย
นางคิดทบทวนสักครู่ จึงถามเยี่ยเจินจีไปว่า “ท่านปรมาจารย์ของเจ้าเป็นอะไรไป ทําไมท่านถึงดูทุกข์ใจเช่นนี้
เยี่ยเจินจีกล่าวตอบว่า “บางที่อาจเป็นเพราะอาจารย์ยังไม่กลับมาจนถึงบัดนี้ก็ได้”
โม่เทียนเกองงงวย “อาจารย์ของเจ้า… ยังไม่กลับมาหรือ” ตลอดสามปีที่ผ่านมานี้ ท้ายที่สุดแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“ขอรับท่านป้า ตอนที่ท่านเกิดเรื่องขึ้น อาจารย์ตัดสินใจออกจากการปิดประตูแห่งจิต ท่านปรมาจารย์กล่าวว่าท่านป้าได้ปิดห้วงมหรรณพแห่งความรู้ของท่าน ทําให้ท่านจะไม่ตื่นขึ้นมาสักพักหนึ่ง อาจารย์จึงออก ไปตามหาวัตถุดิบ เพื่อมาปรุงยาที่อาจช่วยท่านป้าให้ฟื้นขึ้นมาได้”
“…”
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ เมื่อเห็นว่าโม่เทียนเกอยังคงไม่ตอบสนอง เยี่ยเจินจีจึงอดไม่ได้ที่จะเรียกนาง “ท่านป้า”
“หือ” โม่เทียนเกอหลุดจากภวังค์ความคิด
เยี่ยเจินจีเต็มไปด้วยคําถามมากมาย “เป็นอะไรไปหรือขอรับ”
“ไม่มีอะไร” นางข่มความสับสนวุ่นวายไว้ข้างใน และยิ้มออกมา “เจินจี บอกข้าทีว่าเกิดอะไรขึ้นตลอด สามปีที่ผ่านมานี้”
“ได้ขอรับ”
นางจําได้แต่เพียงว่าตอนนั้นหร่วนหมิงจูได้ล่วงเข้าสู่กำแพงปีศาจและพยายามจะทําร้ายนาง ตอนนั้น นางกําลังเผชิญหน้ากับม่านพลังห้าความสับสนรังควานวิญญาณ นางจึงเหลือพลังวิญญาณเพียงหยิบมือในการป้องกันหร่วนหมิงจูเท่านั้น ครั้นี่พวกเขาทั้งสองกําลังสับประยุทธ์คุมเชิงอยู่นั้น ทั้งคู่กระตุ้นม่านพลังโดยไม่รู้ตัว โม่เทียนเกอไม่อาจจําเรื่องราวต่อจากนั้นได้ แต่จากที่เยี่ยเจินจีเล่าวันนี้ ในที่สุด นางจึงค้นพบว่าจิตหยั่งรู้ของนางถูกบางสิ่งเร้ามากเกินไป จนทําให้นางปิดห้วงมหรรณพแห่งความรู้ไป
ครั้นเยี่ยเจินจีเล่าถึงวิธีที่ฉินซีพาเธอกลับมารักษา คิ้วของนางก็ขมวดผูกติดกันแน่น
“อาจารย์ของเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าบาดเจ็บ”
เยี่ยเจินจีเหลือบมองนางอย่างระมัดระวัง ก่อนที่จะกล่าวตอบว่า “อาจารย์…สัมผัสได้ถึงลางร้าย”
“…” โม่เทียนเกอจ้องมองไปที่เบื้องหน้า และนิ่งเงียบเป็นเวลานานแสนนาน
“ท่านป้า” เยี่ยเจินจีไม่อาจคาดเดาได้ว่านางกําลังคิดเช่นไรจากสีหน้าของนาง
โม่เทียนเกอเรียกสติกลับคืนมา และฝืนยิ้ม “มีอะไรหรือ”
“ท่านป้า ท่านกําลังคิดถึงสิ่งใดอยู่หรือ”
“ข้าไม่ได้คิดถึงสิ่งใดเสียหน่อย” คําตอบของนางช่างราบเรียบนัก “มีอะไรอีก เจ้าเล่าต่อสิ”
“ขอรับ” เยี่ยเจินจีค่อย ๆ เล่าเรื่องราวต่อ “ท่านอาจารย์บอกว่าท่านปิดห้วงมหรรณพแห่งความรู้ของ ตนเอง ถึงท่านป้าจะไม่ได้รับบาดเจ็บ ทว่าเราไม่อาจคาดเดาได้ว่าท่านจะฟื้นขึ้นมาเมื่อไร อาจารย์บอกว่าหากท่านหมดสติไปแค่ชั่วครู่ ก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร ทว่าหากท่านหมดสติไปเป็นเวลานาน ร่างกายของท่านอาจอ่อนแรงและเหือดแห้งได้ ฉะนั้น อาจารย์จึงอยากให้ท่านปรมาจารย์ช่วยคิดหาหนทางแก้ไข… ต่อมา ท่านปรมาจารย์นําตําราศาสตร์ต่างๆ ออกมา และบอกให้ท่านอาจารย์ฝึกฝนร่ำเรียนวิชานั้น อาจารย์ต้องใช้พลังวิญญาณของเขาในการบํารุงร่างกายของท่านทุกวัน หลายวันจากนั้น ท่านปรมาจารย์ได้ค้นพบตํารับยาบางชนิด และบอกว่ามันอาจช่วยให้ท่านฟื้นขึ้นมาได้รวดเร็วเล็กน้อย แต่สมุนไพรวิญญาณทั้งหลายที่จําเป็นสําหรับตํารับยานี้เป็นของหายาก หลังจากนั้นไม่นาน ท่านอาจารย์จึงออกไปจากขุนเขา เพื่อตามหาสมุนไพรวิญญาณเหล่านั้น”
“แล้วตอนนี้ล่ะ”
เยี่ยเจินจีเหลือบมองโม่เทียนเกอครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่านางนิ่งสงบมาก จึงทําให้เขารู้สึกสับสนภายในจิตใจ ถึงกระนั้น ด้วยความไม่กล้าเอ่ยปากถาม เขาจึงได้แต่เล่าเรื่องราวต่อไป “ตั้งแต่ที่ท่านอาจารย์ไปจากขุนเขา ท่านอาจารย์ก็ไม่กลับมาอีกเลย เขาได้แต่ส่งจดหมายเป็นครั้งคราว พร้อมกับส่งสำรับยาที่เขาปรุงขึ้นกลับมาให้ด้วย สําหรับเรื่องการดูแลบํารุงร่างกายของท่าน ท่านปรมาจารย์เป็นผู้รับผิดชอบหน้าที่นี้”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าถึงแม้จะผ่านไปสามปี นอกจากร่างกายของนางจะยังคงสมบูรณ์ไร้ที่ติแล้ว พลัง วิญญาณของนางก็ยังคงเปี่ยมล้นมหาศาลด้วย และเหตุผลที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมดนี้ก็เป็นเช่นนี้เอง….
“ทําไมอาจารย์ของเจ้ายังไม่กลับมาล่ะ”
“ท่านอาจารย์ยังตามหาวัตถุดิบสําหรับตํารับยาสําคัญที่สุดไม่พบ ท่านอาจารย์จึงยังไม่กลับมา” เยี่ยเจินจีถกเถียงกับตนเองครู่หนึ่ง แต่ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็นิ่งเงียบและไม่พูดอะไรออกมาอีก
เขารู้สึกขัดแย้งอยู่ภายในใจ แม้ว่าเขาจะเลิกโกรธอาจารย์ของตนไป้นานนมแล้ว แต่เขายังคงไม่ยอมเอ่ยถึงอาจารย์ในทางที่ดี
“ฉะนั้น นี่แปลว่า… ตลอดหลายปีมานี้ อาจารย์ของเจ้ายังไม่ได้สร้างจิตวิญญาณใหม่หรือ”
เยี่ยเจินจีส่ายศีรษะ “เดิมที่อาจารย์พร้อมที่จะเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตต่อไป แต่ใครจะไปคิดกันว่าท่านป้าจะมาเกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน…”
“…”
“ท่านป้า มีอะไรหรือขอรับ”
โม่เทียนเกอรู้สึกไม่สบายใจยิ่งนัก นางเบือนหน้าและเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “แล้วหร่วนหมิงจูล่ะ นาง เป็นอย่างไรบ้าง”
“ศิษย์พี่หร่วน…” เยี่ยเจินจีกล่าว “ศิษย์พี่หร่วนไม่เป็นอะไรแล้ว แต่ดูเหมือนว่านางจะถูกกระตุ้นมากเกินไปในม่านพลัง นางจึงหลงลืมเรื่องราวมากมายไป”
“อย่างนั้นหรือ” โม่เทียนเกอถามอย่างไม่รู้ นางไม่ได้ชอบและไม่ได้ชังหร่วนหมิงจูนัก นางไม่ชอบ อุปนิสัยใจคอของหร่วนหมิงจู แต่นางไม่อาจโยนความผิดทั้งหมดเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นภายในม่านพลังไปให้หร่วนหมิงจูได้ นางต่างหากที่อับโชค และบังเอิญไปพบกับหร่วนหมิงจูเข้าในตอนนั้น ซึ่งได้เข้าสู่กำแพงปีศาจไปแล้ว
“ตอนนี้ ศิษย์พี่หร่วนถูกท่านปรมาจารย์ส่งไปยังยอดเขาหยาดน้ำค้างหวาน ท่านปรมาจารย์บอกว่าจะให้นางไปพักกับบรรดาลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ซวนหยิน นางคงจะพัฒนาขึ้นได้แน่” เมื่อเล่าถึงตอนนี้ เยี่ยเจินจีสังเกตเห็นว่าโม่เทียนเกอยังคงสงบนิ่งตลอดการเล่าที่ผ่านมา จึงอดไม่ได้ที่จะถามไปว่า “ท่านป่า ท่านไม่มีความเห็นเลยหรือ”
“ความเห็น เจ้าอยากได้ความเห็นแบบไหนกัน” โม่เทียนเกอลุกขึ้นเพื่อเติมชา ยังคงดูสงบนิ่งเหมือนเช่นเคย
“…” เยี่ยเจินจีบอกไม่ถูก แต่เขาคิดว่านางไม่น่ามีปฏิกิริยาเช่นนี้ เขาควรจะพูดอย่างไรดี หากท่านป้ามี ความสัมพันธ์บางอย่างกับท่านอาจารย์ของเขาจริง นางไม่ควรสงบนิ่งขนาดนี้ได้ใช่ไหม แต่หากไม่มีเรื่องอะไร ระหว่างพวกเขาสองคน นางก็ควรจะประหลาดใจในการกระทําของท่านอาจารย์ไม่ใช่หรือ
เยี่ยเจินจีเงยหน้าขึ้น ขณะที่เขาหมายจะพูดออกไป เขาก็พบว่าทั่วทั้งโต๊ะพลันท่วมไปด้วยน้ำชา “ท่านป้า! ชา! ท่านเทชาหกหมดแล้ว!”
“โอ้!” โม่เทียนเกอสะดุ้งตกใจ และนั่นปลุกให้เธอตื่นขึ้นจากภวังค์ จากนั้น นางจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเพื่อเช็ดมือทั้งสองข้าง พร้อมกับฝืนยิ้ม
ดูเหมือนว่าเยี่ยเจินจีจะตระหนักได้ถึงบางอย่าง ทว่าเขาไม่ยอมเอ่ยถามออกไป เขาจึงกล่าวเพียงแค่ว่า “ท่านป่า ท่านควรพักผ่อนเสียก่อน ข้าจะไปส่งข่าวบอกท่านอาจารย์ก่อน”
ประกาศหยุดการเผยแพร่นิยาย
ทีมงานมีความเสียใจที่ต้องแจ้งให้แฟนนักอ่านทราบว่า นิยายเรื่อง “ลำนำสตรียอดเซียน” จะยุติการแปลและจัดจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 29 เมษายน 2564 เป็นต้นไป เนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญาที่ตกลงไว้กับเจ้าของลิขสิทธิ์
เราพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อหาทางออกร่วมกับเจ้าของลิขสิทธิ์ แต่เมื่อพิจารณาจากยอดขายที่ผ่านมาแล้ว ทางเจ้าของลิขสิทธิ์ยังคงยืนยันที่จะปฏิเสธไม่ต่อสัญญานิยายเรื่องนี้กับเรา ทีมบรรณาธิการและนักแปลเองก็ลำบากใจเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องยุติการแปลแต่เพียงเท่านี้
ขอบคุณทุกกำลังใจและคำติชมจากผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามนิยายเรื่องนี้มาโดยตลอด
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกท่านจะให้การสนับสนุนนักแปลและนิยายถูกลิขสิทธิ์ของเราต่อไป
และเตรียมพบกับกองทัพนิยายแปลมาใหม่ ที่เราคัดสรรมาให้ทุกท่านได้อ่านกันอย่างจุใจ รับรองว่าไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน!
Ink Stone Thailand
https://www.facebook.com/InkStoneThailand