สุดท้ายแล้วน่าจะเป็นอย่างหลังสุดมากกว่า
สวีโหย่วหรงเงยหน้าขึ้นและถามเฉินฉางเซิง “ทำไมเจ้าไม่กิน”
“อ้อ เอ่อ กินสิ” สองปีที่ผ่านมาใต้อิทธิพลของถังซานสือลิ่ว เฉินฉางเซิงก็พูดเก่งขึ้นมากแล้ว ทว่าเมื่ออยู่ตรงหน้านางก็เหมือนกับว่าเขาได้กลับไปเป็นเด็กน้อยผู้ว่านอนสอนง่ายในเมืองซีหนิง คำพูดของเขาล้วนเรียบง่าย ความคิดก็บริสุทธิ์ และการปกปิดอารมณ์ความรู้สึกทั้งปวงก็เป็นเรื่องสำคัญสำหรับเขา
อาทิในตอนนี้ เขานั้นค่อนข้างเสียสมาธิ ดังนั้นเมื่อหยิบตะเกียบขึ้นมาก็จับไม่แน่น ครั้นยื่นมือออกไปหยิบตะเกียบที่ตก ก็ยังไปกระทบถูกร่มกระดาษทองที่กางอยู่ด้านข้าง ส่งผลให้เสียงโต้เถียงจากโต๊ะเตี้ยด้านหน้าของพวกเขาดังขึ้นให้ได้ยินอีกครั้งหนึ่ง
“ฤดูใบไม้ผลิปีก่อนเจ้าสำนักเฉินเข้าสู่จิงตูและถูกจวนขุนพลเทพเย้ยหยัน จากนั้นก็ถูกกดดันอีกหลายครั้ง เขามีพรสวรรค์สูงส่ง ผลการสอบเข้าก็ยอดเยี่ยม แต่ทุกสำนักกลับถูกกดดันให้ปฏิเสธ ไม่ยอมรับเขาเข้าเป็นศิษย์ หากใต้เท้าสังฆราชไม่ได้ช่วยปกป้องเขาเป็นการลับแล้ว เขาคงไม่อาจเข้าสู่สำนักฝึกหลวงที่ปิดตัวลงแล้ว คนเช่นเจ้าบอกว่าการยกเลิกสัญญาหมั้นหมายของเขานั้นไร้หัวใจ แต่พวกเจ้าไม่มีใครคิดบ้างหรือว่า หากตระกูลสวีไม่ทำตัวไร้ยางอายเช่นนั้นก่อน คู่สวรรค์สร้างเช่นนี้จะลงเอยแบบนี้ได้อย่างไร”
“แล้วเรื่องพวกนี้เกี่ยวอะไรกับคุณหนูโหย่วหรง ในการชุมนุมไม้เลื้อย นกกระเรียนขาวกลับขึ้นเหนือ นางยอมรับว่ามีการหมั้นหมายจริงในจดหมายที่นกกระเรียนนำมา มิเช่นนั้นแค่หนังสือสมรสในมือเฉินฉางเซิงจะทำให้คณะทูตจากแดนใต้พูดอะไรไม่ออกได้อย่างไร ต่อให้เฉินฉางเซิงมีความขัดแย้งกับจวนขุนพลเทพ ก็ไม่มีเหตุผลที่จะทำให้คุณหนูโหย่วหรงเสียหน้าเช่นนั้น!”
“หึ ในตอนนั้นสวีซื่อจียืนกรานปฏิเสธที่จะรับรู้การหมั้นหมายและคนในจวนขุนพลเทพตงอวี้ก็ทำตัวเจ้ายศเจ้าอย่าง แต่กลายเป็นว่าฐานะของเจ้าสำนักน้อยเฉินเปลี่ยนไปแล้วในตอนนี้ ก็เลยเปลี่ยนมาเกาะขาของเขาแทนกระนั้นหรือ พวกเขารู้จักมียางอายบ้างหรือไม่! พวกเจ้าบอกว่าการที่เจ้าสำนักน้อยเฉินยกเลิกการหมั้นนั้นน่าละอายรึ แต่ข้าคิดว่าจวนขุนพลเทพตงอวี้นั่นแหละที่ทำให้ตนเองต้องขายหน้า!”
“แต่กระนั้น เรื่องพวกนี้ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ เหตุใดนางต้องมาทนกับเรื่องใส่ร้ายนินทาเช่นนี้ด้วย”
“บอกได้แค่ว่าเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์นั้นโชคร้ายที่เกิดมาในตระกูลเช่นนั้น มีบิดามารดาเช่นนั้น!”
…
โต๊ะเตี้ยที่มุมห้องนั้นเงียบมาก มีแต่เพียงเสียงของน้ำแกงในหม้อเท่านั้น
เฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงนั่งตรงข้ามกันที่โต๊ะเตี้ย บรรยากาศก็ดูเหมือนจะหนักอึ้งขึ้นมาอีกครา
เขามาถึงจิงตูได้เกือบสองปีแล้ว เรื่องของการหมั้นหมายได้แพร่กระจายไปทั่วดินแดนต้าลู่ เรื่องที่จวนขุนพลเทพตงอวี้เคยดูถูกและกีดกันเขาจากนั้นก็เปลี่ยนท่าทีเมื่อนักพรตน้อยจากชนบทเปลี่ยนเป็นผู้สืบทอดของนิกายหลวง เรื่องพวกนี้ก็กลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ทุกคนชอบพูดกัน
การต่อสู้วันนี้ที่สะพานหน่ายเหอดูเหมือนจะกลายเป็นบทสรุปของเรื่องราว เป็นบทสุดท้าย ทว่ากลับไม่ได้ทำให้ทุกอย่างจบลง ในทางกลับกัน มันทำให้ผู้คนหันมาสนใจเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง เชื่อได้ว่านอกจากโต๊ะอาหารนั้นแล้ว งานเลี้ยงตามบ้านเรือนนับไม่ถ้วนต่างก็กำลังพูดคุยถกเถียงเรื่องนี้กัน
ความอับอายที่จวนขุนพลเทพเคยมอบให้นั้น เขาไม่มีวันลืม สำหรับนางที่อยู่ในแดนใต้ เขามีความรู้สึกต่างๆ มากมายต่อนาง แต่ก็เฉกเช่นที่ชายผู้นั้นพูด ในเรื่องนี้นางไม่มีส่วนอันใดในการทำร้ายเขา ทว่านางกลับต้องมาทนรับคำนินทาต่อว่าที่มีต่อจวนขุนพลเทพในตอนนี้
นี่ออกจะไม่ยุติธรรมกับนางนัก
เฉินฉางเซิงไม่รู้จะพูดอย่างไรดี
“สุดท้ายแล้วพวกท่านก็คือบิดามารดาข้า”
สีหน้าสวีโหย่วหรงสงบอย่างยิ่ง ประหนึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากบทสนทนานั้น จากนั้นหัวข้อการสนทนาก็พลันเปลี่ยนไป
“ข้าอยากร่ำสุรา”
“ดี”
เฉินฉางเซิงสั่งให้เถ้าแก่นำสุราอย่างดีที่สุดมาสองไห เขาเปิดไหหนึ่งแล้วก็รินใส่จอกของนางไปเจ็ดส่วน
สวีโหย่วหรงกล่าวขอบคุณเบาๆ เปิดสุราอีกไหหนึ่งและรินใส่จอกของเขาจนเต็ม จากนั้นก็มองเขาและกล่าว “ถามมา”
เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร หลังจากคิดแล้ว เขาก็มองไปที่ใบหน้างดงามของนางและถามอย่างลังเล “หน้า?”
“วิชาของสถานศึกษาหนานซี”
“อ้อ”
หลังจากการพูดคุยง่ายๆ สองประโยค โต๊ะเตี้ยก็กลับมาสงบเงียบอีกครั้ง
สวีโหย่วหรงยกจอกสุราขึ้นจิบ แม้จะจิบเพียงแค่นิดเดียวแต่ใบหน้าก็แดงขึ้นเล็กน้อย
“อย่าได้บอกคนอื่นว่าเราเคยพบกันในสวนโจว”
“ทำไม”
ยามที่เฉินฉางเซิงได้ยินคำร้องขอของนางบนสะพานหน่ายเหอ เขาไม่อาจเข้าใจได้ ตอนนี้เมื่อได้ยินนางยืนยันอีกครั้งว่าไม่ต้องการให้คนอื่นรู้เรื่องนี้ ก็ยิ่งทำให้เขาสงสัยมากขึ้น
สวีโหย่วหรงไม่ได้ตอบคำถามแต่กล่าวด้วยเสียงเบา “การหมั้นหมายถูกยกเลิกแล้วไม่ใช่หรือ”
ข่าวนี้แพร่กระจายในจิงตูมานานพอควร แม้ว่าจะไม่มีการยืนยันจากสำนักฝึกหลวงหรือจวนขุนพลเทพตงอวี้ แต่นางเป็นคู่หมั้นหมาย นางย่อมรู้ว่าข่าวลือนั้นไม่ใช่ข่าวลือ แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง
เฉินฉางเซิงไม่ได้พูดอะไรออกมาเป็นเวลานาน
เมื่อยามที่สายลมบนสะพานพัดผ้าขาวและได้เห็นดวงตาของนาง นั่นคือช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดตลอดอายุสิบหกปีของเขา เทียบกับตอนที่เขาสามารถจำคัมภีร์เต๋าบทสุดท้ายในวัดเก่าได้ หรือยามที่เขาพบดาวโชคชะตาในสำนักฝึกหลวง ตอนที่เขาได้อันดับหนึ่งขั้นหนึ่งในการสอบใหญ่ ตอนที่พบบันทึกของหวังจือเช่อในหอหลิงเยียน… สิ่งนี้มีความสุขล้นกว่านัก
นางยังมีชีวิตอยู่ นางก็คือนาง นางคือคู่หมั้นของเขา จะมีการพบกันแบบใดในโลกที่จะประหลาดไปกว่านี้… ดีไปกว่านี้
ตอนที่เขาอาบน้ำในเรือนที่สำนักฝึกหลวง เขาคิดว่าเขาต้องไปยังพระราชวังหลีเพื่อขอให้ใต้เท้าสังฆราชให้แก้ไขสัญญาหมั้นหมายนั่น จากนั้นเขาจะนำถังซานสือลิ่วและพวกไปยังวังหลวงเพื่อหานาง หากนางตกลง เขาจะขอนางแต่งงานโดยตรง
เขาไม่เคยมีความรักมาก่อน แต่ตราบใดที่เขาตัดสินใจจะทำบางอย่างที่ประสงค์แล้ว ก็จะทำอย่างจริงจังและใช้เวลาทุกนาทีให้เป็นประโยชน์
ทว่าบัดนี้นางบอกว่าเขาไม่อาจบอกเรื่องนี้กับใครทั้งนั้น แล้วเขาจะขอร้องให้ใต้เท้าสังฆราชช่วยแก้ไขสัญญาหมั้นหมายได้อย่างไร
เดือนก่อน เขาทำทุกอย่างเพื่อที่จะยกเลิกสัญญาหมั้นหมาย
ในตอนนี้ เขาตระหนักแล้วว่าเขาต้องการการหมั้นหมายนี้
ถังซานสือลิ่วพูดถูกต้องแล้ว
“ข้าคิดว่าเจ้าตายแล้ว และในสวนโจว ข้ารับปากเจ้าว่าข้าจะยกเลิกการหมั้น ดังนั้น….”
เขามองไปที่สวีโหย่วหรงและกล่าวอย่างสิ้นหวัง “เมื่อเจ้ารู้ว่าข้าเป็นใคร ทำไมเจ้าไม่บอกข้าให้เร็วกว่านี้”
สีหน้าของสวีโหย่วหรงดูเย็นชาอยู่บ้าง “ในสวนโจว เจ้าหลอกข้า ข้าเป็นคนรู้ความจริงด้วยตัวเอง เหตุใดข้าต้องบอกเจ้าด้วย”
เฉินฉางเซิงเชื่อว่าตนเองบริสุทธิ์และถามกลับ “ข้าไปหลอกเจ้าเมื่อไร”
“หรือว่าเจ้าชื่อสวีเซิง”
“เจ้าก็ไม่ใช่แม่นางชูเจี้ยน”
“ทำไมเจ้าไม่ยอมรับว่าเจ้าคือเฉินฉางเซิง”
“ตอนนั้น ทำไมเจ้าไม่บอกว่าเจ้าเป็นสวีโหย่วหรง”
พวกเขาจ้องตากันและพูดขึ้นมาแทบจะในเวลาเดียวกัน
จากนั้นพวกเขาก็นึกไปถึงวัดบนถนนหญ้าขาวยามที่พวกเขาแนะนำตัวเองเป็นครั้งแรก พวกเขาก็พูดขึ้นพร้อมกัน บอกชื่อปลอมสองชื่อออกมา…
พวกเขาจำไม่ได้ว่าตอนนั้นคิดอะไรอยู่
เฉินฉางเซิงนึกถึงอารมณ์ของเขาในวันนั้น สาเหตุหลักที่เขาไม่อยากให้นางรู้ตัวตนของเขาก็เพราะเขาไม่อยากให้นางรู้ว่าเขามีคู่หมั้นที่ชื่อเสียงโด่งดัง บางทีสวีโหย่วหรงอาจคิดแบบเดียวกัน ไม่อยากให้เขารู้ว่านางมีคู่หมั้นเป็นที่รู้จักไปทั่ว
“มีคู่หมั้นเช่นข้าเป็นความน่าอับอายกระนั้นหรือ”
เขาถามสวีโหย่วหรงอย่างจริงจังและยังดูเศร้าสร้อยขมขื่นอีกด้วย
…