แน่นอน ย่อมไม่ใช่เหตุผลนั้น
ครั้นเฉินฉางเซิงนึกถึงเรื่องในวัดหิมะนั้น ก็รีบปฏิเสธทฤษฎีนี้ทันที จากนั้นเขาก็นึกถึงคำถามสำคัญอีกข้อขึ้นมาได้
ในตอนนั้น สวีโหย่วหรงบอกว่านางชื่อเฉินชูเจี้ยน
นางใช้แซ่เฉิน บางทีความรักของเขานั้นอาจไม่ใช่คิดไปเองข้างเดียว เขารู้สึกเสมอว่านี่เกี่ยวข้องกับเขา เช่นเดียวกับที่เขาบอกนางในตอนนั้นว่า เขาชื่อสวีเซิง
เขาไม่ได้ถามอีกด้วยตระหนักว่าเรื่องนี้นับว่าสับสนอย่างแท้จริง เมื่อคิดถึงสถานการณ์ในสวนโจวให้ดี เขาอาจมีความรู้สึกไม่พอใจคู่หมั้นของสวีโหย่วหรง นั่นไม่เท่ากับเป็นการหึงหวงตัวเองหรอกหรือ
เรื่องนี้ช่างน่าสับสนอย่างยิ่ง หาเหตุผลที่แน่ชัดไม่ได้
เขาศึกษาคัมภีร์เต๋ามาตั้งแต่ยังเล็ก หลักการมากมายอยู่เพียงปลายนิ้ว เส้นทางแห่งจิตของเขาแจ่มใส อายุสิบสองก็ศึกษาแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ เฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงต่างมีสติปัญญาและความสามารถที่เรียกได้ว่ามีแค่หนึ่งในหมื่นคนเท่านั้น ทั้งสองต่างก็มีพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียร ทว่าในสวนโจวพวกเขากลับทำเรื่องต่างๆ อย่างรีบร้อนและทำผิดพลาดมากมาย
สวีโหย่วหรงไม่ตอบคำถามงี่เง่าของเฉินฉางเซิง เนื้อซี่โครงยังคงเดือดปุดๆ อยู่ในหม้อ ท่ามกลางความสงบ เมื่อพวกเขาจ้องมองในดวงตาของอีกฝ่าย ก็เข้าใจว่าเหตุใดจึงเลือกที่จะปิดบังตัวตนเอาไว้ ความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ในตอนนั้นไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงไรก็ไม่อาจรอดพ้นไปจากการรับรู้ของพวกเขาได้
ทั้งสองต่างก็เป็นเด็กฉลาด ประดุจดังเกล็ดหิมะขาวบริสุทธิ์ที่โปรยปรายอยู่นอกร้าน
กระนั้นก็ดี ยังมีบางอย่างที่จำเป็นต้องแก้ไข มิเช่นนั้นคงรู้สึกไม่สบายใจไปตลอด ยกตัวอย่างเช่นเรื่องนั้น
“เจ้ากับองค์หญิงลั่วลั่ว แล้วก็ยังมังกรดำน้อยนั่นอีก”
สวีโหย่วหรงไม่ได้พูดออกมาชัดเจน แต่เฉินฉางเซิงก็เข้าใจสิ่งที่นางถาม
ย้อนกลับไปที่สุสานโจว นางเคยบอกว่าคู่หมั้นของนางเป็นคนเจ้าชู้ และ…ล่อลวงแต่สาวน้อยไร้เดียงสา
เฉินฉางเซิงพลันนึกได้ขึ้นมา ในตอนนั้น เขาด่าเจ้าคู่หมั้นคนนั้นว่าเป็นเศษสวะไร้ยางอาย!
กลายเป็นว่าเขานั้นด่าตัวเอง
เมื่อคิดดูแล้วเขาก็ค่อนข้างสับสน ไม่รู้ว่าจะเริ่มอธิบายอย่างไรดี ทำได้แต่เพียงถอนหายใจ
“คงเป็นแม่นางซวงเอ๋อร์บอกเจ้า”
ได้รู้ความจริงหลังจากผ่านไปครึ่งปี ทำร้ายจิตใจของเขาอย่างรุนแรง จนกระทั่งไม่ทันสังเกตว่านอกจากลั่วลั่วแล้ว สวีโหย่วหรงยังพูดถึงมังกรดำอีกด้วย
เขาปกป้องตัวเองอย่างสิ้นหนทาง “คิดดูแล้ว เราสองคนควรรู้ดีที่สุดว่าสิ่งที่ตาเห็นนั้นอาจไม่เป็นจริงเสมอไป”
“อาจเป็นเช่นนั้น”
สวีโหย่วหรงตอบด้วยเสียงแผ่นเบาก่อนเงยหน้าขึ้นมองเขา ดวงตาเป็นประกายเจิดจ้า
นางดูเหมือนจะคิดบางอย่างขึ้นมาได้ ก็ต้องขมวดคิ้ว ส่งผลให้ใบหน้างดงามราวภาพวาดที่สงบเยือกเย็นเสมอมาก็พลันมีชีวิตขึ้นมาและมีประกายแหลมคม
“ข้าจำได้ว่าตอนนั้นเจ้าพูดว่าคู่หมั้น…”
สีหน้าของเฉินฉางเซิงเปลี่ยนไป ย้อนไปตอนที่อยู่ในสุสานโจว เขาเคยพูดเรื่องคู่หมั้นของตนให้นางฟัง แม้ว่าเขาจะไม่ได้ตั้งใจว่าร้ายนาง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรที่ดีเกี่ยวกับนางเช่นกัน กระนั้น…
“เจ้าก็พูดเองไม่ใช่หรือว่าไม่มีผู้หญิงเช่นนั้นจะดีกว่า” เขาอดเถียงกลับไม่ได้
สวีโหย่วหรงตอบ “นั่นเป็นเพราะข้าถูกเจ้าหว่านล้อมเสียจนเข้าใจผิด”
ในตอนนั้น นางเองก็มองว่าคู่หมั้นของสวีเซิงนั้นไม่ดีเอามากๆ ถึงขนาดรู้สึกว่านางนั้นไร้ยางอาย เย่อหยิ่ง โง่เขลา ไร้วิสัยทัศน์ ถึงขนาดมีปัญหาด้านศีลธรรม
ในตอนที่นางตระหนักว่านั่นเป็นการประเมินตัวของนางเอง ก็รู้สึกว่ายากนักที่จะไม่โกรธหรืออับอาย
ในตอนนั้นนางต่อว่าเสียหาย ต่อมาก็กลายเป็นความโกรธและอับอาย
อย่าได้เชื่อสีหน้าที่สงบเยือกเย็นของนาง มือน้อยๆ ใต้แขนเสื้อนวมของนางได้กำแน่นเป็นหมัด
เรื่องนี้ช่างวุ่นวายเหลือเกิน
เฉินฉางเซิงมองดูสุราในจอกของตนและถอนหายใจอีกครั้ง
เมื่อครั้งเขาอายุสิบขวบ หลังจากกลิ่นแปลกๆ นั่นห้อมล้อมวัดเก่า เขาก็เงียบไปหลายวันและส่งเสียงครางไปอีกหลายวันหลังจากนั้น นับตั้งแต่นั้นมาเขาก็ไม่เคยถอนหายใจมากเท่าวันนี้อีกเลย
ทุกอย่างต่างก็เป็นเรื่องเข้าใจผิด
เรื่องราวการพบเจอในโลกนี้ล้วนเป็นเรื่องบังเอิญและคาดเดาไม่ได้
ระหว่างเขากับนางมีความรักความแค้นนานับชนิด แต่กลายเป็นว่าเมื่อพบกันในสวนโจวพวกเขารู้จักกันในตัวตนอื่นและมีประสบการณ์ร่วมกันหลายวัน
โชคยังดีที่พวกเขาก็ได้พบกันใหม่ในที่สุด แม้ว่าจะมีเรื่องมากมายที่ยากจะอธิบาย ยากจะทำความเข้าใจให้กระจ่างชัดก็ตาม
ตราบใดที่ความเข้าใจผิดเหล่านี้ไม่คงอยู่ไปตลอดชีวิตก็ดีแล้ว
นึกได้เช่นนั้นเฉินฉางเซิงก็ไม่จมอยู่กับความกังวลอีกต่อไป เขามองดูนางและยิ้มกว้าง
“เจ้ายิ้มอะไรของเจ้า” สวีโหย่วหรงถาม
เฉินฉางเซิงตอบกลับ “มีความสุข”
สวีโหย่วหรงมองต่ำลงขนตาสั่นไหว
ทันใดนั้นนางก็ยกมือขึ้นปิดปากและเรอออกมา
“ดื่มมากเกินไป” นางอธิบายอย่างเอียงอาย
สุรานี้นับว่าแรงทีเดียว เนื่องจากนางไม่ได้ใช้ปราณแท้สะกดสุรา หลังจากดื่มไปหลายจอก จึงรู้สึกมึนเมาขึ้นมาอย่างแท้จริง
หาไม่แล้วนางจะหน้าแดงได้อย่างไร
เฉินฉางเซิงถามอย่างเป็นห่วง “อาการบาดเจ็บเป็นอย่างไรบ้าง ดื่มสุราได้หรือไม่”
ในขณะพูด เขาก็มองลงไปที่แขนเสื้อของนาง เมื่อเห็นนิ้วที่เพิ่งยื่นออกมาจากแขนเสื้อ เขาก็ตระหนักว่าไม่มีบาดแผลแต่อย่างใด
ครั้นแล้วก็นึกได้ว่านางเคยศึกษาที่กระทรวงสิบสามชิงเหย้าและตอนนี้ยังเป็นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งสถานศึกษาหนานซี ด้วยเคล็ดวิชาแสงศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่จำเป็นที่เขาจะต้องมาห่วงเรื่องเช่นนี้
สวีโหย่วหรงมองเขาและถามขึ้น “เจ้าคิดจริงหรือว่าข้าไม่อาจเอาชนะเจ้าได้”
เฉินฉางเซิงคิดในใจ กลับมาเรื่องนี้ได้อย่างไร เขาพูดเบี่ยงประเด็น “ข้ามีเรื่องสำคัญจะบอกเจ้า”
สวีโหย่วหรงกระดิกนิ้ว สายลมก็พัดม้วนร่มกระดาษทองบนพื้นให้กลับมาอยู่ในตำแหน่งเดิม มีลูกค้ามาเพิ่มอีกสองโต๊ะและร้านอาหารก็เสียงดังกว่าเก่า เวลานี้เสียงจากภายนอกไม่อาจเข้ามาได้ สายตาที่มองมายังมุมนี้ก็จะถูกบดบังโดยกำแพงที่มองไม่เห็น
ด้วยร่มกระดาษทองและระดับการฝึกตนของคนทั้งคู่ หากไม่มีผู้ที่อยู่จุดสูงสุดของขั้นรวบรวมดวงดาวมาแอบฟังด้วยตัวเอง ก็ไม่มีใครสามารถสังเกตเห็นพวกเขาได้
“เจ้ายังจำสมบัติทั้งหลายที่เราพบในห้องหินของสุสานโจวได้หรือไม่”
เฉินฉางเซิงนำกระบี่ไร้ราคีออกมาและวางไว้ข้างหม้อบนโต๊ะ จากนั้นก็เริ่มนำสิ่งของต่างๆ ออกมาจากฝัก
นี่เป็นครั้งแรกที่สวีโหย่วหรงได้เห็นของวิเศษของนิกายหลวงอย่างใกล้ชิดเช่นนี้ ไม่ใช่กระบี่ไร้ราคี หากแต่เป็นฝักของกระบี่นั้นที่เรียกกันว่าซ่อนคม นางมองดูอย่างตั้งใจและสนใจอย่างยิ่ง นางสนใจมากเสียจนไม่สนใจฟังคำพูดของเฉินฉางเซิงและตอบกลับไปเพียง “อืม”
“ก่อนที่หนานเค่อจะใช้ไม้จิตวิญญาณเพื่อบังคับสัตว์ประหลาดให้มาล้อมสุสาน ศูนย์กลางจิตวิญญาณเริ่มบ้าคลั่งและทำลายสิ่งต่างๆ ยาสมุนไพรเหล่านั้นได้เสียประสิทธิภาพไปแล้ว ดังนั้นทำลายไปก็ไม่สำคัญนัก ที่น่าเสียดายก็คือคัมภีร์ลับพวกนั้น อ้อ ส่วนพวกหยกและอัญมณีหลังจากถูกบดเป็นผงก็ไร้ค่าไปแล้ว ทองนั้นยังดีอยู่ จากนั้นข้าก็ขอให้คนหลอมมันและหล่อเป็นทองแท่งจึงไม่เสียหายเท่าไรนัก พวกนี้คือไข่มุก… ข้าได้ยินมาว่าผงไข่มุกสามารถใช้ผสมชาดื่มเพื่อประโยชน์ด้านความงาม เราไม่จำเป็นต้องแบ่ง เจ้าสามารถเอาไปได้ทั้งหมดเลย”
เฉินฉางเซิงนำของออกมาอย่างต่อเนื่องและพูดไม่หยุด
ในที่สุดสวีโหย่วหรงก็เริ่มสนใจขึ้นมา นางมองดูกล่องต่างๆ ที่อยู่ข้างเตาและถามขึ้น “เจ้าพูดเรื่องอะไรกัน”
“พวกเราตกลงกันแล้ว ว่าเราจะแบ่งสมบัติจากสุสานโจวอย่างเท่าเทียม”
เฉินฉางเซิงมองดูนางอย่างจริงจังและกล่าวต่อ “หากยาพวกนั้นยังใช้ได้ผล ในตอนที่ผู้อาวุโสซูหลีได้รับบาดเจ็บสาหัสข้าคงใช้ไปแล้ว แต่สิ่งอื่นนั้นเนื่องจากเราไม่ได้ตกลงกันไว้ ข้าจึงเก็บไว้เองทั้งหมด เพื่อให้สะดวกขึ้นข้าได้ขอให้สำนักการศึกษากลางช่วยแลกของบางอย่างเป็นธนบัตรหรืออย่างอื่น”
เขาพูดความจริง ด้วยเชื่อมาเสมอว่าสมบัติในสุสานโจวนั้นไม่ใช่ของเขาคนเดียว จนกว่าเขาจะยืนยันได้ว่านางยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะใช้ ดังนั้นเมื่อถังซานสือลิ่วถามเขาเรื่องเงิน เขาจึงไม่ได้บอกว่าเขามีสมบัติพวกนี้ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเขาเชื่อว่างนางจากโลกนี้ไปแล้ว เขาก็ยิ่งตัดสินใจได้ยากกว่าเดิม
“นี่คือโฉนดที่ดิน… ข้าได้ขอให้จินอวี้ลวี่ไปยังตอนล่างของแม่น้ำแดงและซื้อทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ให้กับเจ้า” เขากล่าวพลางชี้ไปที่กล่อง
สวีโหย่วหรงตกตะลึงและถาม “เหตุใดมอบให้ข้า”
เฉินฉางเซิงอธิบาย “ในตอนนั้น ข้าคิดว่าเจ้าไม่มีชีวิตอยู่แล้ว ดังนั้นข้าจึงรู้สึกว่าควรจะมอบบางอย่างให้กับเผ่าของเจ้าแทนเจ้า และทุ่งหญ้านั้นก็อยู่ใกล้กับบ้านเกิดเจ้าที่สุด…”
ในตอนนั้นเขายังเชื่อว่านางเป็นผู้มีพรสวรรค์จากเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์ ที่แบกรับภาระในการฟื้นฟูเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์
สวีโหย่วหรงเข้าใจและนิ่งเงียบไป
เฉินฉางเซิงเข้าใจความเงียบของนางผิดไป จึงพูดอย่างอึดอัด “แน่นอน ข้ารู้แล้วว่าเจ้าไม่จำเป็นต้องใช้ทุ่งหญ้าพวกนี้ เรื่องนี้ช่างเหลวไหลนัก”
“ไม่ มันดีมาก ข้าชอบมาก”
นางรับกล่องมา แล้วเอ่ยกับเขาขณะมองใบหน้าอีกฝ่ายผ่านควันที่ลอยขึ้นมาจากหม้อ
ตอนที่อยู่ในสุสานโจว เขาไม่สนใจเรื่องของวิเศษหรือความลับเลยสักนิด ทั้งยังร้อนรนค้นหายาให้กับนาง นี่ทำให้นางซาบซึ้งยิ่งนักในตอนนั้น
นี่ก็เป็นเช่นเดียวกัน
“ข้าทิ้งอย่างอื่นให้กับเจ้า ข้าไม่ได้นำวังถงมาจึงไม่สะดวกที่จะนำของทั้งหมดกลับไป”
นางกล่าวต่ออย่างเรียบเฉย “หากข้าจำเป็นต้องใช้มัน ข้าจะไปหาเจ้า”
นี่เป็นการจัดการที่ดีและเฉินฉางเซิงก็ชื่นชมกับข้อเสนอนี้ แต่เมื่อเขาคิดว่านางในตอนนี้คือผู้นำของสถานศึกษาหนานซีและจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากจึงกล่าวขึ้น “ของพวกนี้เจ้าทิ้งไว้กับข้าได้ แต่นำผงไข่มุกและกล่องธนบัตรไปกับเจ้า”
สวีโหย่วหรงตอบ “สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นของนอกกาย ไม่จำเป็นต้องไปสนใจมากนัก”
เฉินฉางเซิงไม่ค่อยเข้าใจเรื่องเหนือโลกพวกนี้จึงถามขึ้น “แล้วอะไรที่ควรสนใจ”
นางเองก็ใช่ว่าจะอยู่เหนือโลก ทว่าเมื่อเทียบกับแสงไฟของมนุษย์ ดวงดาวพร่างพราวด้านบนนั้นเจิดจ้ากว่ามากนัก
“เราควรสนใจเรื่อง…. ที่เรานั้นอยู่คนละฝ่าย เป็นศัตรูกัน”
สวีโหย่วหรงจ้องเข้าไปในดวงตาเขา เสียงของนางสงบมาก สีหน้าก็ออกจะซับซ้อนอยู่บ้าง และแสงดาวในส่วนลึกของดวงตานางก็สั่นไหวเล็กน้อย
งดงามทว่าทำให้รู้สึกไม่สบายใจ
ใช่แล้ว ไม่ว่าการหมั้นหมายระหว่างทั้งสองคนจะยังมีอยู่หรือไม่ ทั้งคู่ต่างก็ถูกกำหนดมาให้เป็นศัตรู ในอนาคตพวกเขาอาจถึงขั้นที่ไม่อยู่ร่วมโลกได้
ความแตกแยกของนิกายหลวงฝั่งเหนือและใต้ การต่อสู้ระหว่างรุ่นใหม่กับรุ่นเก่า ความเห็นที่ขัดแย้งของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์กับใต้เท้าสังฆราช
ความขัดแย้งหลักทั้งสามของโลกมนุษย์นั้นตกอยู่บนบ่าของพวกเขา
เหนือระเบียงและใต้ล่าง ยาพิษและมีดสั้น หลุมศพโดดเดี่ยวบนทรายเหลืองและผีเสื้อในความเหน็บหนาวกระนั้นหรือ[1] ไม่ว่าจะมองอย่างไร เรื่องราวของเฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงก็จะจบลงในรูปแบบเดียวกันนั้น อาจจะเศร้า อาจจะเจ็บปวด อาจจะเป็นตำนานความรักที่สืบทอดต่อไปในประวัติศาสตร์ กล่าวสั้นๆ ก็คือเรื่องนี้ช่างน่าสงสารอย่างยิ่ง
เขากับนางต่างก็ยังเยาว์ บ่าพวกเขานั้นเล็กและอ่อนแอ เช่นนี้จะแบกรับภาระมากมายได้อย่างไรกัน
แต่เขากับนางก็ดูเหมือนจะไม่สนใจแม้แต่น้อย พวกเขาเพิ่งจะสู้กันบนสะพานหน่ายเหอ จากนั้นก็มานั่งกินซี่โครงด้วยกัน เฉินฉางเซิงดูจะไม่รู้ถึงสถานการณ์ทั่วไปเลยแม้แต่น้อย ทั้งที่อุปสรรคอันตรายนานัปการขวางกั้นพวกเขาอย่างเห็นได้ชัด นั่นเป็นเพราะ…
“ข้าลืมไป” เขาตอบด้วยสีหน้าเหนียมอาย
…
[1] อ้างอิงถึงเรื่องโรเมโอกับจูเลียตและเรื่องม่านประเพณี