มีคนเพียงหยิบมือที่ต้านทานพลังของวายุมิติและหนีจากพื้นที่ไปได้ไม่มีเรือกระดูกลำอื่นหรือศพทองแดงบนเรืออีก
วายุมิติที่ช่องว่างท้องนภาเริ่มหมุนช้าลงหลังจากที่ปกคลุมดินแดนสุดลูกหูลูกตา มันได้หยุดลง ช่องว่างบนท้องฟ้าค่อย ๆ ถูกซ่อมแซมกลับมา
คนที่รอดยืนด้วยความหนาวสั่นจะมีผืนดินเหลืออยู่หรือ? ในระยะแสนลี้ที่ถูกวายุปกคลุม สิ่งที่เหลือมีเพียงลาวาเดือด!
มีเพียงอสูรเนรมิตรที่แข็งแกร่งสูงสุดเท่านั้นที่ทำเรื่องแบบนี้ได้แต่ซือหยูที่บ่มเพาะวิถีเทพสามารถทำมันได้อย่างง่ายดาย
ในแผ่นผืนลาวาที่ลุกเป็นไฟมีเรือรบเพียงลำเดียวจากสิบลำที่เหลืออยู่ มีคนเพียงหยิบมือที่ไม่ถูกดูดเข้าไป
ในเรือรบปี้หลิงเทียนยังคงยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ ใบหน้าของเขาซ่อนอยู่ใต้หน้ากากสีทอง แต่ความตกตะลึงแสดงให้เห็นผ่านดวงตา
“นายน้อยเราจะทำอย่างไรดี? เรือรบศพทองแดงเก้าลำของเราไปแล้ว ชะตาของรองจ้าวดินแดนห้าคนก็มิอาจรู้ได้”
กระดูกโลหิตคือหนึ่งในผู้ที่เหลือรอดเขามองบ่อลาวาด้วยความกลัว
ปี้หลิงเทียนทำใจให้เย็นและถอนหายใจเบาๆ ด้วยความโล่งอก
“พวกมันยังไม่ตายแต่พวกมันถูกย้ายไปในที่ห่างไกล เรือรบเองก็กำลังทะลวงมิติและจะกลับมาในอีกหกวัน”
ปี้หลิงเทียนยิ้มอย่างขมขื่นเมื่อมองซือหยูอีกครั้ง
“น้องซือทำให้คนต้องแปลกใจได้เหลือเชื่อวิถีเทพของเจ้าแท้จริงแล้ว…มันสุดยอดจนน่าขัน”
“เจ้ากล่าวเกินไปแล้วตอนนี้เจ้ายังมั่นใจอยู่หรือไม่ว่าจะรับมือข้าได้?”
ซือหยูถามด้วยความใจเย็น
ปี้หลิงเทียนตอบไม่ได้เขาคือหนึ่งในผู้กล้าและไร้ความกลัวเมื่อเผชิญหน้ากับศพทองแดงนับพันและเซียนมณี แต่ในเวลานี้ เขาแทบจะไร้ที่พึ่ง เขาอยู่กับกระดูกโลหิต รองจ้าวดินแดนที่สี่ที่เป็นอสูรเนริมตรขั้นสาม รองจ้าวดินแดนที่ห้าผู้เป็นอสูรเนรมิตรขั้นสอง และเทียนเหรินเหยา
ฝ่ายตรงข้ามคือซือหยูและเจิ่งฉิงหลงซึ่งเจิ่งฉิงหลงสามารถรับมือกับกระดูกโลหิต รองจ้าวดินแดนที่สี่และห้ากับเทียนเหรินเหยาได้ด้วยตัวคนเดียว
ส่วนซือหยู…ปี้หลิงเทียนมีไพ่ตายของตัวเองแต่เมื่อได้เห็นวิถีเทพที่น่ากลัวของซือหยู เขาก็เสียความเชื่อมั่นที่จะเอาชนะ เขารู้ว่าฎีกาสวรรค์ของซือหยูยังไม่ได้ปล่อยพลังเต็มที่ออกมา
ปี้หลิงเทียนครุ่นคิดการเสี่ยงชีวิตต่อสู้กับซือหยูไม่ใช่ความคิดที่ฉลาดนัก แต่ถ้าเขายอมแพ้ทั้งอย่างนี้ เรื่องภูติผีที่มีอยู่ในทวีปจะถูกเปิดโปงออกมา
หลังจากนั้นเขาก็ทำสิ่งที่ซือหยูต้องตกใจ!
“ข้าจะให้เจ้าตัดสินใจเรื่องนี้ก็แล้วกัน”
ปี้หลิงเทียนก้าวไปข้างหน้าปี้หลิงเทียนและมองตาเขาตรงๆ!!
ซือหยูหรี่ตาทำไมเทียนเหรินเหยาถึงไม่ดูเหมือนกำลังหาที่หลบภัยอีกแล้วเล่า? ทีแรกเขายืนอยู่ข้างหลังกระดูกโลหิต และซือหยูก็คิดว่าเทียนเหรินเหยาเป็นข้ารับใช้ แต่ตอนนี้มันดูไม่เหมือนก่อนอีกแล้ว
ที่ซือหยูแปลกใจที่สุดก็คือนอกจากปี้หลิงเทียนและอสูรเนรมิตรที่แข็งแกร่ง เทียนเหรินเหยาสามารถฝ่าวายุมิติมาได้ แต่เขาจำได้ว่าเทียนเหรินเหยามีพลังแค่ระดับทั่วไป เขายังรอดอยู่ได้ยังไง? ท่ามกลางความวุ่นวายเมื่อครู่ ทุกคนมีพลังเพียงแค่ช่วยตัวเองเท่านั้น ไม่มีใครมีพลังพอที่จะช่วยเขา หรือว่าเขามีพลังที่จะต้านทานวายุมิติด้วยตัวเอง?
ซือหยูนึกย้อนอดีตที่เขารู้เกี่ยวกับเทียนเหรินเหยาเขาไม่เคยเห็นเทียนเหรินเหยาต่อสู้มาก่อน เขาเคยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับสามอสูรแห่งเขาอสูร กงซุนหวูซื่อ ปิงหวูชิง และแม้แต่ไป่ชานเหลียง แต่ไม่เคยต่อสู้ร่วมกับเทียนเหรินเหยา
นอกจากการที่เขาจะเปลี่ยนร่างซือหยูไม่เคยเห็นเทียนเหรินเหยาแสดงพลังออกมาได้ ไม่มีใครรู้ว่าเขามีพลังมากเพียงใด แต่ที่แปลกก็คือ ผู้คนพยายามที่จะหน่ายหนีเขาและรู้สึกไม่สบายใจกับเขา
ไม่มีใครคิดจะพูดถึงหรือสนใจเขาพลังที่แท้จริงของเขาคือสุดบอดที่ไม่มีใครรู้เลย
กระดูกโลหิตมองเทียนเหรินเหยาด้วยความนับถือ!ดังนั้นที่เทียนเหรินเหยายืนดา้นหลังเขาไม่ใช่เพราะเป็นข้ารับใช้ แต่เป็นเพราะเขาอยู่ภายใต้การปกป้องของกระดูกโลหิต! ข้ารับใช้ตัวจริงก็คือกระดูกโลหิต!
ซือหยูสั่นไปถึงกระดูกสันหลังเมื่อคิดได้เทียนเหรินเหยาคือยอดฝีมือที่ปกปิดตัวตนเอาไว้อย่างมิดชิด!
เทียนเหรินเหยาไร้รอยข่วนเมื่อต้องเจอกับพลังอันยิ่งใหญ่เส้นผมนุ่มลื่นยังคงเรียบร้อยเหมือนกับมีพลังบางอย่างล้อมรอบเอาไว้ เขาไม่ได้รับผลกระทบจากพลังภายนอกเลย
เขาลุกขึ้นช้าๆ พลังอันยิ่งใหญ่ของเขามีความเป็นเอกลักษณ์
“ไม่เป็นไรก่อนคนคนนั้นจะเปิดเผยตัว ไม่สะดวกกับข้าที่จะลงมือ ทำตามแผนจู่โจมจิวโจวต่อไปซะ”
เขาพูดอย่างเรียบง่ายราวกับว่าเขาคือผู้นำสูงสุดของเผ่าภูติผีที่อยู่ในจิวโจว
ปี้หลิงเทียนพยักหน้า
“การเตรียมการเกือบจะเสร็จแล้วพวกเราเตรียมการรบนี้มาร้อยปี!” ปี้หลิงเทียนและเทียนเหรินเหยายิ้มมองซือหยู
ปี้หลิงเทียนเงียบเทีนยเหรินเหยาเริ่มพูดถึงอดีต
“เราเคยเป็นพี่น้องร่วมสำนักข้าไม่ปรารถนาจะเห็นเจ้าในสนามรบ เพราะฉะนั้น จงอย่ากลับสำนัก! ตำหนักโลหิตคือเป้าหมายแรกของเรา!”
เมื่อพูดจบเทียนเหรินเหยาสะบัดชายเสื้อ เรือรบกระดูกบินออกไป เหลือไว้เพียงแค่เสียงสะท้อนอันว่างเปล่า
ซือหยูชักสีหน้าเมื่อได้ฟังตำหนักโลหิตคือเป้าหมายแรกรึ? แล้วทัพใหญ่ของเผ่าผีอยู่ไหน? พวกมันรออยู่ที่ใกล้ตำหนักโลหิตมาโดยตลอดหรือ? เขาหนักใจขึ้นมาทันที เขาเรียกวิหคไม้ออกมาและเตรียมจะเดินทาง
“นายน้อยซือข้าจะไปกับเจ้า”
เจิ่งฉิงหลงก้าวขึ้นวิหคไม้
ซือหยูส่ายหน้า “เจ้าไม่ต้องไปตำหนักโลหิตกำลังเจอภัยครั้งใหญ่ เจ้าจะเป็นอันตรายถ้าไปกับข้า…”
“ข้าก็แค่กลัวว่าท่านจะกลับไม่ถึงตำหนักโลหิต…”
เจิ่งฉิงหลงถอนหายใจเบาๆ เขามองซือหยูด้วยสายตาซับซ้อน
“ท่านรู้สึกไม่ดีไม่ใช่หรอกหรือ?”
เขาพูดถูกใบหน้าซือหยูที่ดูปกติสุดท้ายก็ถูกแทนที่ด้วยความเจ็บปวด เขาตัวสั่น ถ้าหากเจิ่งฉิงหลงไม่จับบ่าของเขาเอาไว้ เขาก็คงจะล้มไปแล้ว
ทีแรกเขาต้องใช้ไพ่ตายเพื่อรับมือกับฉีหมิง การใช้เพลงกระบี่ไตรสุริยากินพลังจิตของเขาไปมาก ซือหยูแทบจะถึงขีดจำกัดอยู่แล้ว เขาต้องการการพักฟื้นอย่างมาก เขาไม่คิดเลยว่าจะต้องเจอกับกองทัพใหญ่หลังจากต่อสู้!
และในเวลาสำคัญซือหยูยังต้องเสี่ยงใช้วิถีเทพที่เพิ่งได้มาใหม่เพื่อทำให้ทัพใหญ่ที่มาหวาดกลัวและหนีไป
แม้จะมีพลังยิ่งใหญ่ผลที่ตามมาก็น่าตกใจ พลังของซือหยูถูกใช้ไปจนเกือบจะหมดสิ้น เกือบที่เขาจะบาดเจ็บ
เวลานี้ซือหยูแทบจะยืนไม่ไหว เขาไม่มีพลังต่อสู้เหลืออยู่อีก
แต่ผลที่ตามมาก็ไม่น่าจะดีไปกว่านี้
เผ่าภูติผีได้กลับมาอย่างยิ่งใหญ่!
“รองจ้าวดินแดนสามโปรดพาข้าไปเมืองเทียนเหยา พวกเขาติดต่อตำหนักโลหิตเป็นการด่วนได้”
ซือหยูพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำเขาต้องให้ตำหนักโลหิตมีเวลาเตรียมตัว
“ย่อมได้”
เจิ่งฉิงหลงพาลูกชายและลูกสะใภ้ไปด้วยต่อมา พวกเขาก็อยู่ที่เมืองเทียนเหยา
“อาจารย์ซือ!”
เสี่ยวฮั่นกับอู๋หลิงรีบมาหาพวกเขาเมื่อเห็นสภาพของซือหยู พวกเขาก็หน้าซีดด้วยความกลัว หรือว่าซือหยูได้พบกับศัตรูที่แข็งแกร่ง?
“เจ้ามีทางติดต่อสำนักเป็นการด่วนหรือไม่?”
ซือหยูลงจากวิหคไม้และถามทันที
เสี่ยวฮั่นตระหนักถึงภัยร้ายเขาพูดด้วยสีหน้าหม่นหมอง
“แน่นอนว่าเรามีแต่ที่นี่ห่างไกลจากสำนัก ทุกครั้งต้องใช้แก้วระดับกลางหนึ่งร้อยดวง สำนักจึงมีกฎว่านอกจากเรื่องสำคัญมาก เราจะไม่สามารถใช้การติดต่อนี้ได้!”
“อาจารย์ซือหาหลักฐานไม่เจอแต่ทำให้พวกมันรู้ตัวแทนจนดินแดนมีดสวรรค์จะจู่โจมรึ? ถ้าเป็นเรื่องเช่นนั้น เราต้องใช้การติดต่อด่วนจริง ๆ”
ซือหยูส่ายหน้า
“ข้ามีหลักฐานอยู่ในมือแล้วราชาเขตจะต้องมาจัดการเรื่องนี้ การสู้รบระหว่างดินแดนพรสวรรค์กับดินแดนมีดสวรรค์จบลงแล้ว”
เสี่ยวฮั่นตกตะลึงเขารู้สึกดีใจ แต่ต่อมาก็ใจหายอีกครั้ง ถ้าหากวิกฤติถูกแก้ แต่ซือหยูยังต้องการใช้การติดต่อด่วน หรือว่าจะเกิดเรื่องที่เลวร้ายยิ่งกว่าสงครามระหว่างสองดินแดน?
“เจ้าจะส่งข่าวอะไรล่ะ?”
จ้าวหอเพลิงคลั่งเข้ามาฟังด้วย
“เผ่าภูติผีกลับมาแล้วเป้าหมายแรกของพวกมันคือตำหนักโลหิต…”
ซือหยูกล่าว
“เผ่าผี…กลับมาแล้วรึ?”
เสี่ยวฮั่นจุกอกเขาพูดเสียงหลง
เขาโชคดีมากพออยู่แล้วที่มีชีวิตผ่านสงครามครั้งใหญ่เมื่อร้อยปีก่อนมาได้ความกลัวในอดีตยังคงสดใหม่อยู่ในความทรงจำ
“ช้าก่อนทำไมตำหนักโลหิตถึงเป็นเป้าหมายแรกเล่า?” เสี่ยวฮั่นสีหน้าหม่นหมอง
ซือหยูตอบ
“ข้าก็อยากรู้เหมือนกันแต่เวลากำลังจะหมดแล้ว! แจ้งกลับไปที่ตำหนักเดี๋ยวนี้!”
ซือหยูรู้สึกไม่ดีอยู่เต็มหัวใจถ้าหากเทียนเหรินเหยาตั้งใจจู่โจมตำหนักโลหิต แล้วทำไมถึงต้องบอกซือหยูก่อนและปล่อยให้ตำหนักโลหิตมีเวลาเตรียมตัวเลบ่า?
ไม่มีเวลาให้เสียเสี่ยวฮั่นไม่กล้าจะทำเรื่องใหญ่ให้ช้า เขาตรงไปยังสำนักงานในห้องลับที่ถูกทหารมากมายป้องกันเพื่อใช้งานการติดต่อด่วน
ครึ่งชั่วยามต่อมายังไม่มีคำตอบกลับจากที่ส่งข่าว
“แปลกนักถ้าเจ้าตำหนักม่อได้รับข้อความ นางจะต้องส่งข้อความกลับมาถามรายละเอียด เหตุใดต้องรอนานเช่นนี้เล่า?”
เสี่ยวฮั่นเลิกคิ้วเขารู้สึกไม่ดีเลย
ซือหยูถาม “ข้อความตรงไปที่ม่อเทียนฉวนรึ?”
“ไม่ใช่นักมันจะส่งไปยังห้องฝึกลับของเจ้าตำหนักม่อในที่แรก ถ้าหากบังเอิญว่าไม่มีคนรับข้อความ มันก็จะชข้าลง”
ความรู้สึกเลวร้ายในใจเขาเข้มข้นขึ้น
“รองจ้าวดินแดนสามพาข้าไปที่ตำหนักโลหิตได้หรือไม่? ข้าอยากจะไปดูที่สำนักด้วยตัวเอง”
ซือหยูร้องขอ
เจิ่งฉิงหลงพยักหน้าโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง
“เจ้าช่วยชีวิตข้าใยข้าจะไม่พาเจ้าไปที่นั่นเล่า?”
แต่เขาทิ้งเจิ่งเฉิงกับฉิวเอ๋อเอาไว้
“โปรดช่วยข้าดูแลพวกเขาด้วยท่านเสี่ยวฮั่น”
เขาเองก็รู้สึกว่าตำหนักโลหิตกำลังจะเกิดปัญหาเช่นกัน “แน่นอน!”
เสี่ยวฮั่นกล่าว
“อาจารย์ซือหากเจ้าตำหนักม่อต้องการความช่วยเหลือ โปรดบอกพวกเราที่เมืองเทียนเหยาด้วย พวกเรายินดีกลับไปร่วมชะตากับตำหนัก ไม่ว่าจะเป็นเช่นใดก็ตาม”
ซือหยูพยักหน้า
“มีอีกเรื่องที่ข้าอยากให้เจ้าช่วย”
“โปรดพูดได้เลย”
เสี่ยวฮั่นตอบ
ซือหยูขยับปากคำพูดไปถึงหูเสี่ยวฮั่นผ่านวิชาส่งข้อความลับ
เสี่ยวฮั่นผงะหลังสีหน้าเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาพยักหน้าหลังจากลังเลไม่นาน
“สบายใจได้ข้าจะจัดการให้อาจารย์ซือแน่นอน”
เจิ่งฉิงหลงกระจากมิติโดยไม่พูดอะไรและพาซือหยูไปที่ตำหนักโลหิต ….
ณเขตกลาง ในวังหลวง
ในมุมมืดเสียงเคี้ยวของบางอย่างที่คล้ายกับโลหิตและเนื้อหนังได้ดังอยู่เนือง ๆ กลิ่นโลหิตน่าสะอิดสะเอียนฟุ้งในอากาศ!
“ยังไม่พอ!หัวใจกับดวงวิญญาณพวกนี้เป็นแค่ของอสูรเนรมิตรธรรมดา มันยังฟื้นฟูบาดแผลในอดีตของข้าไม่ได้”
เสียงแหบพร่าดังมาจากเงามืด
ราชาเขตกลางกล่าว
“ในเขตข้าอสูรเนรมิตรทุกคนที่แข็งแกร่งและมีดวงวิญญาณที่ดีล้วนถูกหลอกมายังที่นี่ ในนามของการฝึกฝน…”