ตอนที่ 111-2 ขัดขวางบนถนน

จารใจรัก

เซี่ยฟางหวาเข้ามาในห้อง พบเหยียนเฉินกำลังดื่มน้ำชาหน้าโต๊ะ นางก็แปลกใจ “หลายวันนี้เจ้าหายไปไหนมา ไฉนถึงไม่เห็นเจ้าเลย” 

 

 

           “คิดว่าหลายวันนี้สีหน้าเจ้าคงย่ำแย่ มิได้พักผ่อนอย่างดี ไม่นึกเลยว่าสีหน้าดีกว่าที่ข้าคาดการณ์ไว้เสียอีก” เหยียนเฉินพินิจมองนางตั้งแต่หัวจดเท้า  

 

 

           “อดีตฮ่องเต้สวรรคต ข้ามิใช่คนที่เสียใจ สีหน้าไฉนเลยจะย่ำแย่” เซี่ยฟางหวานั่งลง มองเขาแล้วเอ่ยขึ้น “ตั้งแต่เข้าวังมาก็ไม่เห็นเจ้า มีเรื่องใดต้องไปจัดการหรือ” 

 

 

           เหยียนเฉินพยักหน้า “ถือโอกาสนี้ ข้าแอบไปภูเขาลับที่ใกล้เมืองหลวงที่สุดรอบหนึ่ง” 

 

 

           เซี่ยฟางหวาเลิกคิ้ว 

 

 

           “ภูเขาลับเปลี่ยนไปเป็นซากปรักหักพัง ไม่เหลือใครแม้แต่คนเดียว” เหยียนเฉินกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ 

 

 

           “เกิดอันใดขึ้น เหตุใดถึงกลายเป็นซาก ไม่เหลือผู้ใดเลย” เซี่ยฟางหวาหรี่ตาลง  

 

 

           “ข้าเดาว่าคงถูกใครลงมือไปแล้ว อีกทั้งช่วงเวลาที่ลงมือน่าจะเป็นยี่สิบกว่าวันก่อน แต่น่าจะมิได้กวาดล้างจนหมด คนที่เหลือรอดมิกล้าอยู่ที่ภูเขาลับแล้ว จึงอพยพหนีไป” เหยียนเฉินตอบ 

 

 

           “ใครเป็นคนลงมือ” เซี่ยฟางหวาขมวดคิ้ว 

 

 

           “ไม่มีร่องรอย สืบไม่เจอ” เหยียนเฉินส่ายหน้า  

 

 

           “ถ้าเป็นเมื่อยี่สิบวันก่อน ฉินอวี้อยู่ที่เมืองหลินอันตลอดเวลา กำลังเผชิญหน้ากับโรคห่าแพร่ระบาด มิอาจแบ่งความสนใจไปที่ภูเขาลับได้” เซี่ยฟางหวาคาดเดา  

 

 

           เหยียนเฉินพยักหน้า 

 

 

           “คนที่มีความสามารถ มีกำลัง ยังมีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว มีวิธีการเลือกภูเขาลับ…” เซี่ยฟางหวาพูดพลางก็เงียบเสียงลงไป 

 

 

           “ทั่วหนานฉิน มีแค่คนเดียว” เหยียนเฉินมองนาง  

 

 

           เซี่ยฟางหวามิเอ่ยคำใดอีก ใบหน้ามืดครึ้มลงเล็กน้อย 

 

 

           “เมื่อครู่ข้าเพิ่งได้รับข่าว ฉินเจิงออกจากลำน้ำสวินสุ่ยแล้ว กำลังเร่งกลับเมืองมาพร้อมหลี่มู่ชิง ชุยอี้จือ และเยี่ยนถิง” เหยียนเฉินกล่าวเสียงต่ำ “เซี่ยอวิ๋นหลานมิได้กลับมาด้วย เจ้าต้องเตรียมตัว” 

 

 

           เซี่ยฟางหวาเม้มปาก เงียบไปพักหนึ่งก็ตวัดตามองเหยียนเฉิน “มีวิธีใดขัดขวางเขาได้บ้าง” 

 

 

           “ไม่มีวิธีใด เว้นเสียแต่ส่งนักรบเดนตายไปสกัด” เหยียนเฉินส่ายหน้า  

 

 

           เซี่ยฟางหวาเงียบลงอีกพักหนึ่ง ก่อนเอ่ยขึ้น “เช่นนั้นส่งนักรบเดนตายไปสกัด” 

 

 

           เหยียนเฉินมองนางอย่างไม่เห็นด้วย 

 

 

           เซี่ยฟางหวายกถ้วยน้ำชาขึ้นมาก่อนพลิกลง น้ำชาด้านในไหลตกบนพื้นตามถ้วยที่คว่ำลง หลังน้ำชาร้อนๆ สัมผัสพื้นก็เย็นลงทันทีเพราะถูกพื้นดูดซับไว้ นางค่อยๆ วางถ้วยชาลง กล่าวกับเหยียนเฉิน “ข้ากับฉินเจิงก็เหมือนกับชาถ้วยนี้ ต้องมีสักคนที่เป็นฝ่ายคุมหมาก หลายปีก่อนเป็นเขา ตอนนี้ถึงคราวข้าแล้ว” 

 

 

           เหยียนเฉินมองนางด้วยความไม่เข้าใจ 

 

 

           “ตอนนี้ข้าไม่อยากพบเขา” เซี่ยฟางหวากล่าว  

 

 

           เหยียนเฉินเห็นใบหน้ามุ่งมั่นของนาง หว่างคิ้วคล้ายกับมีไอหมอกหนาทึบ เขาเงียบไปพักหนึ่งแล้วพยักหน้า “ได้ ในเมื่อเจ้าไม่อยากพบเขา ข้าก็จะช่วยเจ้าสกัดไว้ มิให้เขากลับมา” 

 

 

           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า 

 

 

           “แต่เกรงว่านักรบเดนตายจะสกัดไม่อยู่” เหยียนเฉินบอก “ถึงอย่างไรในมือท่านอ๋องน้อยเจิงก็มีอำนาจมากมาย หากสกัดได้อย่างง่ายดาย เขาก็มิใช่ฉินเจิงแล้ว” 

 

 

           “ไม่ต้องสกัดนาน ขอแค่จนกว่าฉินอวี้จะราชาภิเษกก็พอ” เซี่ยฟางหวาบอก 

 

 

           “ตอนนี้ภายในปั่นป่วนภายนอกถูกรุกราน เรื่องจุกจิกยิบย่อยทั้งหลายในแผ่นดินหนานฉิน ยามนี้เพิ่งฝังพระบรมศพอดีตฮ่องเต้ เหล่าขุนนางในราชสำนักจะต้องกล่าวทัดทานให้ฉินอวี้รีบจัดพิธีราชาภิเษกโดยเร็วที่สุดเป็นแน่” เหยียนเฉินมองนาง  

 

 

           “ถ้าเดาไม่ผิด นับจากอดีตฮ่องเต้สวรรคต หนึ่งเดือนให้หลังต้องราชาภิเษกแน่” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า  

 

 

           “วันราชาภิเษกคงแต่งตั้งฮองเฮาด้วยกระมัง” เหยียนเฉินเอ่ยขึ้น 

 

 

           เซี่ยฟางหวาเงียบ 

 

 

           “ข้าจะทุ่มกำลังจากหอเทียนจีเก๋อสกัดไว้” เหยียนเฉินถอนหายใจ  

 

 

           เซี่ยฟางหวาครุ่นคิดแล้วกล่าวขึ้น “แค่หอเทียนจีเก๋อไม่แน่ว่าจะสกัดอยู่ ประเดี๋ยวเจ้าไปหาฉินอวี้ ทราบว่าฉินเจิงกลับมา ในยามนี้ฉินอวี้คงไม่อยากให้เขากลับมาเป็นแน่ น่าจะส่งคนไปขัดขวางด้วยเช่นกัน หากผนึกรวมกำลังกัน ถึงเขาอยากเหยียบเข้ามาในเมืองหลวงก็คงมิง่ายขนาดนั้น” 

 

 

           “ได้” เหยียนเฉินพยักหน้า 

 

 

           เซี่ยฟางหวาก้มหน้ามองผิวโต๊ะ “เหยียนเฉิน เจ้าต้องไม่เข้าใจแน่ แต่ว่า…” 

 

 

           “คุณหนู ฮูหยินหย่งคังโหวกับท่านหญิงน้อยเยี่ยนเข้าวังมาแล้ว บอกว่าได้รับคำสั่งจากฝ่าบาท มาขอพบท่านเจ้าค่ะ” ซื่อฮว่ากล่าวเสียงเบาจากข้างนอก 

 

 

           เซี่ยฟางหวาหยุดพูด 

 

 

           เหยียนเฉินมองไปด้านนอกแวบหนึ่ง พบว่าฮูหยินหย่งคังโหวกับเยี่ยนหลันมาถึงหน้าประตูตำหนักแล้ว เขาจึงกล่าวเสียงเรียบ “ไม่ว่าเจ้าทำสิ่งใดย่อมมีเหตุผลของตัวเองเป็นแน่ ไม่ว่าใครกี่คนวิจารณ์เจ้า แต่ข้าจะอยู่ข้างกายเจ้าตั้งแต่ต้นจนจบ เจ้าอยากทำสิ่งใด มอบหมายให้ข้าก็พอแล้ว” 

 

 

           เซี่ยฟางหวาพยักหน้าเชื่องช้า ก่อนกล่าวเสียงทุ้มต่ำ “เหยียนเฉิน ชีวิตนี้มีเจ้าเป็นสหายรู้ใจ นับเป็นวาสนาของข้า” 

 

 

           เหยียนเฉินแย้มยิ้ม ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปทางประตูหลัง 

 

 

           เซี่ยฟางหวาออกมาจากข้างใน เดินมานั่งที่ห้องรับรอง ก่อนสั่งงานซื่อฮว่า “เชิญฮูหยินกับท่านหญิงน้อยเยี่ยนเข้ามาเถอะ” 

 

 

           ซื่อฮว่ารับคำ ก่อนออกไปเชิญพวกนางเข้ามา 

 

 

           ไม่นาน ฮูหยินหย่งคังโหวกับเยี่ยนหลันก็ค่อยๆ เดินมาถึงหน้าประตูโดยมีสาวใช้สี่คนประคอง ทั้งสองทำความเคารพผ่านม่านกั้นตามธรรมเนียม “คุณหนูฟางหวา ข้ามารบกวนแล้ว” 

 

 

           เซี่ยฟางหวาเอ่ย “เชิญเข้ามา” สื่อให้ซื่อฮว่ากับซื่อม่อเชิญแขกเข้ามา 

 

 

           ฮูหยินหย่งคังโหวกับเยี่ยนหลันเข้ามาในห้องรับรองโดยมีคนประคอง 

 

 

           เซี่ยฟางหวาเชิญทั้งสองนั่งลง ก่อนกล่าวกับฮูหยินหย่งคังโหว “ฮูหยินมาพื่อตรวจชีพจรหรือ” 

 

 

           “ถูกต้อง” ฮูหยินหย่งคังโหวผงกศีรษะ “ท่านโหวขอพระราชานุญาตจากฝ่าบาทให้ข้า สภาพข้าในตอนนี้ ทั่วเมืองหลวงหนานฉินไม่มีผู้ใดช่วยได้ ไม่มีทางเลือกจึงได้แต่รบกวนท่านแล้ว” 

 

 

           “ก่อนหน้านี้ข้ารับปากเรื่องความปลอดภัยของฮูหยินกับลูกแล้ว ย่อมมินิ่งดูดาย” เซี่ยฟางหวาพูดจบก็มองไปยังเยี่ยนหลันก่อนหัวเราะออกมา “เคยเรียกกันว่าพี่น้อง มิได้พบกันหลายวัน ไฉนถึงดูอึดอัดเช่นนี้” 

 

 

           เยี่ยนหลันฟังแล้วก็รีบเบะปากกล่าว “มิใช่เพราะเจ้าหรือ ตั้งแต่เจ้ากลับมาก็พำนักอยู่ที่นี่ นั่งราชรถหยกคันเดียวกันกับฉิน…ฝ่าบาท ข้าไหนเลยจะมิกล้าไม่สุภาพ” 

 

 

           “อย่าพูดเหลวไหล” ฮูหยินหย่งคังโหวรีบตำหนิ 

 

 

           “เจ้าดูสิๆ ข้าเพียงเอ่ยปาก ท่านแม่ก็ตำหนิแล้ว” เยี่ยนหลันรีบกล่าว  

 

 

           “ไม่ว่าอยู่ที่ใด ข้าก็คือเซี่ยฟางหวา” เซี่ยฟางหวายิ้มขำ  

 

 

           “ประโยคนี้ข้าชอบ” เยี่ยนหลันพลันยิ้มออกมา  

 

 

           “อย่าได้คืบจะเอาศอก ระวังฝ่าบาททรงตำหนิ” ฮูหยินหย่งคังโหวตำหนิเยี่ยนหลันอีกหน 

 

 

           เยี่ยนหลันทำปากจู๋กับเซี่ยฟางหวาอย่างจนใจ มิเอ่ยคำใดอีก 

 

 

           เซี่ยฟางหวาเองก็ทราบถึงความระแวงของฮูหยินหย่งคังโหวดี ยามนี้นางกลับเมืองหลวงมาย่อมไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความฉลาดของหย่งคังโหว แม้ขอพระประสงค์ต่อฉินอวี้ให้นางตรวจ 

 

 

ชีพจรให้ฮูหยินของเขา แต่แท้จริงแล้วอยากหยั่งเชิงความคิดของฉินอวี้ ฉินอวี้ไฉนเลยจะมิทราบ จงใจให้ 

 

 

ฮูหยินของเขาเข้าวังหลวง เพื่อมิให้อายุขัยสั้นเพราะสบายเกินไป เช่นนี้หย่งคังโหวย่อมมิกล้าปฏิบัติต่อนางแบบเมื่อก่อนแล้ว จึงส่งคนกลับไปบอกที่จวนแน่นอน 

 

 

           นางคิดได้เช่นนี้ก็ยิ้มออกมา ลุกขึ้นเดินไปตรวจชีพจรให้ฮูหยินหย่งคังโหว 

 

 

           ฮูหยินหย่งคังโหวเห็นนางลุกขึ้นเดินมา ก็รีบลุกขึ้นด้วยเช่นกัน 

 

 

           เซี่ยฟางหวาเห็นแล้วก็มิได้แย้ง กดตรวจชีพจรบนข้อมืออีกฝ่ายอย่างแม่นยำ ฮูหยินหย่งคังโหวอกสั่นขวัญหายขึ้นมาพลางมองนาง กลัวว่านางจะเอ่ยถ้อยคำมิดีออกมา 

 

 

           ผ่านไปพักหนึ่ง เซี่ยฟางหวาก็ถอนมือออก “ฮูหยินบำรุงร่างกายได้ดีมาก ยังต้องทานอาหารบำรุงที่ข้าเขียนให้ก่อนหน้านี้ บำรุงครรภ์อย่างรอบคอบ เมื่อปลงตกถึงทำให้จิตใจสงบ เมื่อจิตใจสงบครรภ์ก็จะปลอดภัย” 

 

 

           “ขอบคุณคุณหนูฟางหวามาก ข้าจะจำให้ขึ้นใจ” ฮูหยินหย่งคังโหวดีใจ 

 

 

           “ข้าก็ตรวจชีพจรให้เจ้าด้วยดีกว่า” เซี่ยฟางหวายื่นมือไปหาเยี่ยนหลัน  

 

 

           “เช่นนั้นข้ามิเกรงใจแล้ว” เยี่ยนหลันรีบยื่นมือส่งให้นาง  

 

 

           เซี่ยฟางหวายิ้ม ตรวจชีพจรให้เยี่ยนหลันพักหนึ่ง ถอนมือออกแล้วขมวดคิ้วกล่าว “เทียบยาที่เจ้ากินอยู่มียาบำรุงในนั้นมากเกินไป ถ้าบำรุงมากเกินไปจะทำให้เกิดอาการไฟกำเริบเพราะหยินพร่อง มิใช่เรื่องดีนัก ข้าจะเขียนเทียบยาให้ใหม่ เจ้ากินยาตามเทียบยาที่ข้าเขียนให้ ค่อยๆ บำรุงร่างกายไป” 

 

 

           เยี่ยนหลันพยักหน้า “มิน่าข้าถึงรู้สึกว่าช่วงนี้ร้อนในทรวงอก กดไว้จนรู้สึกแย่ เจ้ารีบเปลี่ยนเทียบยาให้ข้าเถอะ” พูดจบก็กล่าวเพิ่มเติม “หมอในเมืองใช้มิได้ดังคาด ตั้งแต่หมอหลวงซุนตาย หมอหลวงในสำนักหมอหลวงก็มิได้เรื่องเลย” 

 

 

           เซี่ยฟางหวาเดินมาที่โต๊ะ หยิบพู่กันเขียนเทียบยา 

 

 

           “อย่าพูดเหลวไหล หากมิใช่หมอหลวงจากสำนักหมอหลวง คงรักษาชีวิตเจ้ากลับมามิได้แล้ว แม้วิชาแพทย์ของพวกเขาไม่เชี่ยวชาญ แต่ดีร้ายก็ตั้งอกตั้งใจ” ฮูหยินหย่งคังโหวกล่าว 

 

 

           “ท่านแม่ ท่านใจกว้างเหมือนพระโพธิสัตว์แบบนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ไม่เอ่ยถ้อยคำแย่ๆ กับคนอื่นแล้วหรือ” เยี่ยนหลันไม่พอใจ 

 

 

           “แม่คิดว่านอกจากพี่ชายเจ้ากับเจ้า ข้ายังตั้งครรภ์เด็กคนนี้ได้อีก ถือเป็นวาสนาที่สวรรค์ประทานให้ ดังนั้นควรสุภาพอ่อนโยนกับผู้อื่น หมั่นทำแต่เรื่องดีงาม” ฮูหยินหย่งคังโหวลูบครรภ์  

 

 

           เยี่ยนหลันได้ยินเช่นนั้นก็รีบก้าวขึ้นมา ขยับเข้าใกล้เซี่ยฟางหวาแล้วถามขึ้น “ตอนนี้เด็กในครรภ์ท่านแม่อายุเจ็ดเดือนแล้ว อีกสามเดือนก็คลอด ด้วยวิชาแพทย์ของเจ้า มองออกหรือไม่ว่าเป็นชายหรือหญิง” 

 

 

           เซี่ยฟางหวาชะงักปลายพู่กัน เงยหน้ามองเยี่ยนหลัน 

 

 

           “รีบบอกข้ามาเร็ว ชายหรือหญิง” เยี่ยนหลันมองนางด้วยความใคร่รู้  

 

 

           เซี่ยฟางหวามองไปยังฮูหยินหย่งคังโหว 

 

 

           ฮูหยินหย่งคังโหวด่าเยี่ยนหลันทันที “เจ้าเด็กบ้าคนนี้” พูดจบก็กล่าวกับเซี่ยฟางหวา “คุณหนูฟางหวา เป็นชายหรือหญิงก็บอกมาเถิด ถึงเป็นเด็กผู้หญิงก็ไม่เป็นไร หลายวันมานี้ข้าคิดได้แล้ว” 

 

 

           เซี่ยฟางหวาได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมา “เป็นเด็กผู้ชาย ฮูหยินสบายใจได้” 

 

 

           “จริงหรือ” เยี่ยนหลันเบิกตากว้าง 

 

 

           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า 

 

 

           ฮูหยินหย่งคังโหวชะงักไปเช่นกัน “เป็นเด็กผู้ชายจริงหรือ คุณหนูฟางหวา ท่านมิได้โกหกข้าใช่ไหม” 

 

 

           “เปล่า” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า “ข้าสัมผัสชีพจรของฮูหยิน เป็นไปได้สูงว่าเป็นเด็กผู้ชาย” 

 

 

           “อามิตาพุทธ” เยี่ยนหลันพนมมือ 

 

 

           “เจ้ามาสวดมนต์อันใด” ฮูหยินหย่งคังโหวปัดมือนางลง “บอกแล้วมิใช่หรือ ไม่ว่าเด็กผู้ชายหรือผู้หญิง แม่ก็ชอบทั้งนั้น” 

 

 

           “ข้าสวดมนต์ให้ท่านที่ไหนกัน ข้าสวดให้ท่านพี่ต่างหาก เด็กในครรภ์ของท่านหากเป็นเด็กผู้ชาย ท่านพี่ก็หลุดพ้นแล้ว มิต้องถูกขังในจวนหย่งคังโหวอีกต่อไป อนาคตจวนหย่งคังโหว ฝากให้เด็กในครรภ์ท่านดูแลแล้ว” เยี่ยนหลันบอก 

 

 

           ฮูหยินหย่งคังโหวได้ยินเช่นนั้นก็ทั้งโกรธทั้งขำ 

 

 

           เซี่ยฟางหวาเองก็ยิ้มขำตาม 

 

 

           เมื่อเขียนเทียบยาใหม่ให้เยี่ยนหลันเสร็จ ก็กำชับเรื่องที่สองแม่ลูกพึงระวังให้อีกเล็กน้อย ถึงอย่างไร 

 

 

ฮูหยินหย่งคังโหวก็ตั้งครรภ์มาเจ็ดเดือนแล้ว มิควรสนทนามากหรือทำงานหนัก เยี่ยนหลันแม้อาวรณ์เซี่ยฟางหวาอยู่บ้าง แต่ก็ขอตัวกลับไปพร้อมฮูหยินหย่งคังโหว ออกจากวังหลวงไป 

 

 

           สองแม่ลูกเพิ่งผ่านประตูจวนหย่งคังโหวเข้ามา เสี่ยวเฉวียนจื่อที่อยู่ข้างกายฉินอวี้และเพิ่งได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าควบคุมดูแลวังหลวงก็นำยากองหนึ่งที่ฝ่าบาทประทานให้มายังจวนหย่งคังโหว 

 

 

           ฮูหยินหย่งคังโหวถูกเอาใจจนตื่นตระหนก การประทานอาหารบำรุงให้แม้เป็นเรื่องเล็ก แต่ก็สื่อถึงเจตนารมณ์ของฮ่องเต้องค์ใหม่ ฮ่องเต้เพิ่งเสด็จกลับจากราชสุสาน กำลังยุ่งเรื่องงานราชสำนัก แต่ยังให้คนนำอาหารบำรุงมาส่ง แฝงความหมายลับๆ ว่า หลังฮ่องเต้องค์ใหม่ราชาภิเษกแล้ว จะมอบบทบาทหน้าที่สำคัญให้จวนหย่งคังโหวแน่นอน 

 

 

           ส่งเสี่ยวเฉวียนจื่อกลับไปแล้ว ฮูหยินหย่งคังโหวก็ทอดถอนใจกล่าวกับเยี่ยนหลัน “มนุษย์มิอาจเปรียบเทียบด้วยกันได้จริงๆ คุณหนูฟางหวาอายุไล่เลี่ยกับเจ้า แต่กลับพลิกไปพลิกมาในเมืองหลวงหนานฉินแห่งนี้ได้ ความรู้ความสามารถล้วนทำให้ขุนนางอาวุโสในราชสำนักอย่างบิดาเจ้ายังต้องยอมอ่อนข้อให้” 

 

 

           “ฟางหวาเดิมทีเก่งกาจ บางครั้งข้ารู้สึกว่านางมิได้เหมือนคนอายุไล่เลี่ยกับข้า เวลาอยู่กับนางมักรู้สึกว่าทุกสิ่งล้วนอยู่ในการควบคุม ไม่มีเวลาใดที่สับสนลนลานเลย” เยี่ยนหลันกล่าว “ข้าเหมือนกับเด็กน้อย มิเข้าใจอันใดทั้งนั้น” 

 

 

           “ไม่เข้าใจก็มีข้อดีและวาสนาของมัน สวรรค์มอบหลายสิ่งให้กับเจ้า ขณะเดียวกันก็มิมอบหลายสิ่งให้เช่นกัน” ฮูหยินหย่งคังโหวลูบมือเยี่ยนหลัน “แม่เหนื่อยแล้ว เจ้าเองก็เหนื่อยแล้ว กลับไปพักผ่อนเถอะ” 

 

 

           เยี่ยนหลันพยักหน้า ประคองฮูหยินหย่งคังโหวกลับเรือนด้วยกัน