ฉินอวี้กลับเมืองหลวงวันเดียวกันนั้น ขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งราชสำนัก นำโดยอิงชินอ๋องและเหล่าเสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวา เนื่องด้วยภายในปั่นป่วนภายนอกถูกรุกราน แผ่นดินมิอาจขาดจักรพรรดิได้แม้แต่วันเดียว จึงขอทัดทานให้รีบกำหนดฤกษ์งามยามดีเพื่อจัดพระราชพิธีราชาภิเษก
แม้ฉินอวี้ยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ แต่สถานการณ์ในหนานฉินตอนนี้ตึงเครียดมาก ทำให้ต้องปรับตัวตามสถานการณ์
ฉินอวี้รับฟังคำแนะนำจากทุกคน หารือได้ความว่า เลือกฤกษ์ดีในหนึ่งเดือนข้างหน้าเพื่อราชาภิเษก
หลังหารือกันลงตัวแล้ว ฉินอวี้ก็ปรายตามองเสนาบดีฝ่ายซ้าย
เสนาบดีฝ่ายซ้ายถูกสายตาของฉินอวี้ทำให้ตกใจ ทันใดนั้นก็เดาความคิดของพระองค์ได้ หลังฉินอวี้
มองเขาแวบหนึ่งแล้วก็มองไปยังทิศทางวังหลัง เสนาบดีฝ่ายซ้ายเข้าใจในทันใด กัดฟันแล้วก้าวออกจากแถว เอ่ยขึ้นว่า “ฝ่าบาท ในเมื่อแผ่นดินมิอาจขาดจักรพรรดิแม้แต่วันเดียว ย่อมมิอาจขาดฮองเฮาด้วยเช่นกัน แม้อดีตฮ่องเต้เพิ่งสวรรคต มิควรจัดการมงคลรื่นเริง แต่สถานการณ์ในตอนนี้ค่อนข้างพิเศษ จำต้องทำนุบำรุงขวัญราษฎรให้มั่นคง กระหม่อมแนะนำว่า วันราชาภิเษกนั้นควรแต่งตั้งฮองเฮาพร้อมกันด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
กล่าวจบ เหล่าขุนนางก็พากันผงะ
อิงชินอ๋องตกใจมาก รีบก้าวขึ้นมาแล้วส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “เสนาบดีฝ่ายซ้ายกล่าวเช่นนี้มิถูกต้อง ราชาภิเษกและแต่งตั้งฮองเฮาไฉนเลยจะกระทำในวันเดียวกันได้”
“ท่านอ๋อง ข้าบอกไปแล้วว่าต้องปรับตัวตามสถานการณ์ ตอนนี้ฝ่าบาทถึงวัยที่ควรอภิเษกสมรสแล้ว วันราชาภิเษกย่อมแต่งตั้งฮองเฮาพร้อมกันได้ กำหนดผู้ได้รับเลือกให้เป็นฮองเฮาไว้ก่อน ส่วนการจัดพระราชพิธีอภิเษกสมรสนั้นค่อยจัดหลังไว้ทุกข์ครบหนึ่งร้อยวันก็ย่อมได้ สร้างความมั่นคงต่อสถานการณ์ในราชสำนักและขวัญราษฎร” เสนาบดีฝ่ายซ้ายกล่าว
“ฝ่าบาทสืบทอดตำแหน่งเป็นพระประสงค์แต่งตั้งของอดีตฮ่องเต้ ส่วนการเลือกฮองเฮานั้น ไฉนเลยจะกระทำลวกๆ เช่นนี้ได้ ข้าคิดว่า สถานการณ์เร่งด่วนในยามนี้ควรจัดระเบียบกองทัพม่อเป่ยก่อน เมื่อม่อเป่ยสงบสุขแล้วหนานฉินจึงจะสงบด้วย ขอเพียงฝ่าบาทราชาภิเษก ถึงยังมิแต่งตั้งฮองเฮาก็ทำให้สถานการณ์มั่นคงแล้ว” อิงชินอ๋องยังคงส่ายหน้า
“ท่านอ๋องกล่าวเช่นนี้ต่างหากที่มิถูกต้อง” เสนาบดีฝ่ายซ้ายส่ายหน้า “สถานการณ์ทัพม่อเป่ยตึงเครียด มีเพียงท่านโหวเซี่ยเท่านั้นที่อยู่ประคับประคองม่อเป่ย กำลังสนับสนุนยังไปไม่ถึง ยามนี้ยิ่งควรเป็นเวลาที่จะปลุกขวัญกำลังใจทหารให้ค่ายทหารม่อเป่ย ส่วนการกระทำลวกๆ อย่างที่ท่านอ๋องบอก กระหม่อมคิดว่ามิได้ลวกๆ แต่อย่างใด คุณหนูฟางหวากลับเมืองมาพร้อมฝ่าบาท ได้ผ่านพระเนตรอดีตฮ่องเต้มาแล้วเช่นกัน คุณหนูฟางหวาช่วยประชาชนแสนกว่าชีวิตในเมืองหลินอันจากความทุกข์ยาก เหล่าราษฎรให้ความเคารพศรัทธาอย่างยิ่ง ฝ่าบาททรงเลื่อมใสคุณหนูฟางหวา อีกอย่างคุณหนูฟางหวาก็มีรูปลักษณ์และคุณธรรมเพียบพร้อม เหมาะแก่การเป็นพระมารดาของแผ่นดิน ย่อมสามารถแต่งตั้งเป็นฮองเฮาพร้อมกับฝ่าบาททรงราชาภิเษกได้”
อิงชินอ๋องอึ้ง
เสนาบดีฝ่ายซ้ายตีเหล็กตอนกำลังร้อน มองไปยังเสนาบดีฝ่ายขวาและขุนนางที่เหลือ ก่อนใช้ฝีปากที่ตนมีกล่าวขึ้น “เสนาบดีฝ่ายขวา ใต้เท้าทุกท่าน พวกเจ้าคิดว่าคำพูดของข้ามีเหตุผลหรือไม่”
“นี่…”
ทุกคนต่างมองหน้ากัน หากเปลี่ยนเป็นสตรีอื่นที่ฝ่าบาททรงโปรดปราน เสนาบดีฝ่ายซ้ายแนะนำอย่างเต็มที่แบบนี้ เหล่าขุนนางย่อมพยักหน้ารับมิกล้าล่วงเกินฝ่าบาทและเสนาบดีฝ่ายซ้าย แต่ทว่าสตรีคนนั้นคือ
เซี่ยฟางหวา ซึ่งเทียบกับสตรีอื่นมิได้ เซี่ยฟางหวาเป็นลูกสะใภ้จวนอิงชินอ๋อง เป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎในอดีตของท่านอ๋องน้อยเจิง แม้ถูกฝ่าบาทประกาศหย่าร้างต่อใต้หล้า แต่จวนอิงชินอ๋องกับท่านอ๋องน้อยเจิงก็มิเคยยอมรับ เรื่องภายในแบบนี้ ไม่ว่าใครต่างก็มิทราบแน่ชัด มิกล้าที่จะตัดสินใจ
“คุณหนูฟางหวากลับเมืองมาพร้อมฝ่าบาท พำนักที่ตำหนกบูรพาของรัชทายาทในวันวาน ต่อมาก็นั่งราชรถหยกคันเดียวกับกันฝ่าบาทไปยังราชสุสาน สิ่งเหล่านี้บ่งบอกว่ามีนิสัยเข้ากันได้ อีกทั้งคุณหนูฟางหวาไม่ว่าจะด้วยพฤติกรรมหรือฐานะล้วนมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นพระมารดา มีสติปัญญาหลักแหลมกว่าสตรีทั่วไปมาก หนานฉินหากมีนางเป็นพระมารดาแห่งแผ่นดิน สถานการณ์บ้านเมืองสงบสุข มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง ย่อมเกิดขึ้นได้ในเวลาอันใกล้” เสนาบดีฝ่ายซ้ายกล่าวอีก
เหล่าขุนนางมองหน้ากัน คิดว่ามีเหตุผล จึงทยอยพยักหน้าเห็นด้วย
“เสนาบดีฝ่ายขวา ท่านรีบแสดงความเห็นออกมาเถิด แต่งตั้งฮองเฮาในวันราชาภิเษกของฝ่าบาท ใช่เป็นประโยชน์ต่อราชสำนัก พรมแดน และราษฎรหรือไม่” เสนาบดีฝ่ายซ้ายเห็นเค้าลางที่ดี จึงกล่าวกับเสนาบดีฝ่ายขวา
เสนาบดีฝ่ายขวามองฉินอวี้แวบหนึ่ง พบว่าฉินอวี้กำลังมองตนด้วยใบหน้าเรียบสงบ เขาจึงลอบมองไปยังอิงชินอ๋องอีกหน พบว่าอิงชินอ๋องกำลังแสดงสีหน้าทำอันใดมิได้ เขาใช้ดุลยพินิจไตร่ตรองดูทันที ก่อนผงกศีรษะ “แม้สิ่งที่ท่านอ๋องพูดมามิได้ไร้เหตุผล แต่ที่เสนาบดีฝ่ายซ้ายพูดมาก็มีเหตุผลเหมือนกัน เรื่องนี้…ยังต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วน”
ถ้อยคำนี้เรียกได้ว่าเห็นด้วยกับทั้งสองฝ่าย
เสนาบดีฝ่ายซ้ายหงุดหงิดจนกลอกตา อ้อนวอนอีกครั้ง “ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่ารีบตัดสินพระทัยโดยเร็วที่สุดก็ดี จะได้เตรียมการให้พร้อม ถึงตอนนั้นจะได้ไม่วุ่นวายเกินไปพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินอวี้ไม่เอ่ยคำใด
ใต้เท้ายืนแบ่งกลุ่มกัน พักหนึ่งก็มีคนก้าวออกมาจากแถว เห็นพ้องกับเสนาบดีฝ่ายซ้าย
มีคนแรกย่อมมีคนที่สอง เรือล้วนแล่นไปตามลม ทราบดีว่าฉินอวี้ชื่นชอบในตัวเซี่ยฟางหวา มิฉะนั้นคงไม่ถึงกับต้องนั่งราชรถหยกคันเดียวกัน ในเวลาไม่นานขุนนางครึ่งหนึ่งก็เห็นคล้อยตาม
ขุนนางอีกครึ่งหนึ่งยังสังเกตท่าที ถึงอย่างไรอำนาจของจวนอิงชินอ๋องก็มิอาจประมาทได้ ถึงอย่างไรตอนนี้ท่านอ๋องน้อยเจิงก็มิอยู่ในเมือง หากเขากลับมาแล้วทราบเรื่องนี้ มีหรือจะไม่พลิกเมืองหลวง
ผ่านไปพักหนึ่ง ฉินอวี้ก็ยกพระหัตถ์ขึ้น “วันนี้ขุนนางทุกท่านเหนื่อยแล้ว เราเองก็เหนื่อยแล้วเช่นกัน เตรียมพิธีราชาภิเษกก่อนเถิด ส่วนเรื่องแต่งตั้งฮองเฮาไว้ค่อยหารือกันต่อพรุ่งนี้” กล่าวจบก็ลุกขึ้นยืน “เลิกประชุมได้”
“น้อมส่งเสด็จฝ่าบาท” เหล่าขุนนางคุกเข่าส่งเสด็จ
ฉินอวี้ออกจากโถงหารือราชการกลับไปยังตำหนักของตนเอง
เขาเพิ่งเดินไปได้มิไกล หรูอี้ก็กุลีกุจอเดินมา เมื่อพบฉินอวี้ก็คุกเข่าถวายบังคม “ฝ่าบาท ไทเฮาทราบว่าทรงหารือราชการเสร็จแล้วจึงเชิญพระองค์ไปยังตำหนักเฟิ่งหลวนเพคะ”
ฉินอวี้พยักหน้า หมุนตัวเดินไปยังตำหนักเฟิ่งหลวน
ด้านในตำหนักเฟิ่งหลวน ไทเฮาซึ่งได้เลื่อนขั้นจากฮองเฮาสวมอาภรณ์สีเรียบ สีพระพักตร์มิค่อยดีนัก ดูแล้วคล้ายกับพระวรกายอ่อนแอยิ่ง ทรงพิงตั่งบุนวมพลางส่งเสียงไอทุ้มต่ำ
ฉินอวี้เข้ามาในตำหนักชั้นใน ทำความเคารพไทเฮา
ไทเฮาโบกพระหัตถ์
ฉินอวี้ก้าวขึ้นมา หย่อนกายนั่งลงข้างพระวรกายไทเฮา มองนางด้วยความเป็นห่วง “เสด็จแม่ประชวรหรือ สีหน้าไฉนเลยถึงได้ย่ำแย่เพียงนี้”
“ตากลมหนาว มิได้เป็นอันใดมาก” ไทเฮาส่ายพระพักตร์
“ตั้งแต่อดีตฮ่องเต้สวรรคต ไทเฮาอยู่เฝ้าโลงพระบรมศพติดต่อกันหลายวัน มิได้พักผ่อนอย่างเต็มที่จึงโดนลมหนาวเข้า เชิญหมอหลวงมาถวายการรักษาแล้วเพคะ” หรูอี้ที่ยืนอยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้น
“หมอหลวงเขียนเทียบยาให้หรือไม่” ฉินอวี้ถาม
“เขียนเพคะ” หรูอี้ตอบ
“นำมาให้ข้าดู” ฉินอวี้บอก
หรูอี้หมุนตัวเดินไปหน้าโต๊ะ ก่อนหยิบเทียบยาในตลับมาส่งให้ฉินอวี้
ฉินอวี้อ่านดูแวบหนึ่งแล้วตรัสขึ้น “ข้าจะนำเทียบยานี้ไปให้ฟางหวาดูก่อน นางมีวิชาแพทย์ขั้นสูง เมื่อนางอ่านดูแล้วข้าค่อยนำกลับมาให้เสด็จแม่อีกครั้ง”
“ลมหนาวเป็นเรื่องเล็ก มิต้องรบกวนนางหรอก ได้ยินว่านางได้รับบาดเจ็บสาหัสเพราะเหตุการณ์ในเมืองหลินอัน ร่างกายยังมิดีขึ้นเลย” ไทเฮาได้ยินเช่นนั้นก็ตรัสขึ้น
“บาดเจ็บสาหัสจริง จำต้องพักรักษาตัวอย่างเต็มที่ แต่แค่อ่านเทียบยาดูมิใช่ปัญหา มิถึงขั้นรบกวนใดๆ” ฉินอวี้พยักหน้า
ไทเฮาได้ยินเช่นนั้นก็มิตรัสแย้ง ปล่อยให้เขาจัดการตามใจ ก่อนเปลี่ยนน้ำเสียงตรัสขึ้น “ข้าได้ยินว่าวันนี้ขุนนางราชสำนักหารือกันให้เจ้าราชาภิเษกในหนึ่งเดือน”
“แผ่นดินมิอาจขาดจักรพรรดิแม้แต่วันเดียว” ฉินอวี้พยักหน้า
“เสนาบดีฝ่ายซ้ายเสนอให้แต่งตั้งฮองเฮาวันราชาภิเษกด้วยหรือ” ไทเฮาถามอีก
ฉินอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็มองไทเฮาแวบหนึ่ง ก่อนพยักหน้า “เสด็จแม่คิดเช่นไร”
“เสนาบดีฝ่ายซ้ายเสนอให้แต่งตั้งคุณหนูฟางหวาเป็นฮองเฮา ข้าได้ยินแล้ว เดิมอยากไปช่วยสนับสนุนเจ้าที่ตำหนักหารือ แต่พวกเจ้าเลิกราชการกันไวนัก ในเมื่อเจ้ามีใจให้คุณหนูฟางหวา หากนางเองก็มีประสงค์เช่นกัน แม่ย่อมมิขัดขวาง ด้วยความสามารถของนางย่อมปกครองวังหลังในอนาคตได้ เป็นพระมารดาแห่งใต้หล้า” ไทเฮาแย้มสรวล
“ขอบพระทัยเสด็จแม่” ฉินอวี้แย้มยิ้ม
“เมื่อก่อนข้าเอาแต่เป็นห่วงเจ้า หวังว่าวันหนึ่งเมื่อเสด็จพ่อเจ้าจากไปแล้ว เจ้าจะได้ราชาภิเษกอย่างราบรื่น ยามนี้เจ้าได้สิ่งนั้นแล้ว แต่เรื่องยุ่งยากในหนานฉินสร้างความลำบากให้เจ้าแล้ว” ไทเฮาถอนหายใจออกมา
“เสด็จแม่มิต้องกังวล ตอนนี้ทุกสิ่งแม้ค่อนข้างยุ่งเหยิงแต่ยังรับมือได้ เพียงแต่ต้องใช้เวลาสักหน่อยเท่านั้นเอง” ฉินอวี้กล่าว
“ความสามารถของลูกชายข้า ข้าย่อมทราบดี เท่านี้ก็สบายใจแล้ว” ไทเฮาตรัสพลางก็เปลี่ยนน้ำเสียง ตรัสด้วยความกังวล “เพียงแต่ จวนอิงชินอ๋องกับฉินเจิง…”
ฉินอวี้เลิกคิ้ว
“ตอนนี้ฉินเจิงไม่อยู่ในเมือง หากเขากลับมา พบว่าคุณหนูฟางหวาอยู่ในวังหลวง ข้ากลัวว่าจะอยู่ร่วมกันมิได้” ไทเฮาตรัส
ฉินอวี้เงียบ
ไทเฮาเห็นเขามิตรัสคำใด ชั่วเวลานั้นก็มิทราบว่าควรตรัสเช่นไรดี ในหมู่คนที่เป็นแกนหลักในเมืองหลวงแห่งนี้ ไม่มีใครมิทราบถึงความยุ่งเหยิงระหว่างฉินเจิง เซี่ยฟางหวา และฉินอวี้ โดยเฉพาะฉินเจิงซึ่งเป็นคนที่คว้าสิ่งใดแล้วจะไม่ยอมปล่อยมือโดยเด็ดขาดด้วยแล้ว
ผ่านไปพักหนึ่ง ฉินอวี้ก็พลันแย้มยิ้มออกมา “เสด็จแม่วางใจเถิด มีคนมิอยากให้เขากลับมายิ่งกว่าข้า ในเวลาอันสั้นนี้เขาคงกลับเมืองมามิได้”
“ผู้ใดกัน” ไทเฮาชะงัก
“ฟางหวา” ฉินอวี้ตอบ
ไทเฮายิ่งแปลกใจ “เหตุใดนางถึง…” นางมิเข้าใจอย่างยิ่ง
ฉินอวี้กลับลุกขึ้นยืน “ในเมื่อเสด็จแม่ตากลมหนาวมาก็พักผ่อนให้มากเถิด อย่าคิดมากเลย ตอนนี้เสด็จพ่อจากไปแล้ว หลิ่วไท่เฟยกับเฉินไท่เฟยถูกข้าส่งไปยังราชสุสานแล้ว น่าจะมิกลับมาอีก จากนี้ท่านก็เพลิดเพลินกับความสุขเถิด”
“องค์ชายสามกับองค์ชายห้าช่างไม่เป็นโล้เป็นพาย กลายเป็นคนไร้ประโยชน์ ส่วนหลิ่วไท่เฟยกับเฉิน
ไท่เฟยเป็นไม้เลื้อยที่ปีนไต่พึ่งพาอดีตฮ่องเต้ เมื่ออดีตฮ่องเต้สวรรคต ข้าเองก็คร้านจะแยแสพวกนางแล้ว สตรีสร้างความลำบากให้แก่กันก็เพื่อบุรุษ ในเมื่อบุรุษตายไปแล้ว ยังลำบากใจไปอีกทำไมกัน” ไทเฮาโบกพระหัตถ์ “เจ้าไปเถอะ ดูแลร่างกายด้วย ข้าเรียกเจ้ามาเพื่อถามไถ่เรื่องแต่งตั้งฮองเฮาในวันราชาภิเษก หากเจ้าจะแต่งตั้งคุณหนูฟางหวาเป็นฮองเฮาแล้วต้องการแม่ล่ะก็ แม่ก็ช่วยตัดสินใจให้เจ้าได้เหมือนกัน”
“ลูกขอบพระทัยเสด็จแม่ หากต้องการเสด็จแม่เมื่อไร ถึงตอนนั้นจะมาเชิญท่านแน่” ฉินอวี้กล่าว
ไทเฮาพยักพระพักตร์
ฉินอวี้ออกจากตำหนักเฟิ่งหลวน