ตอนที่ 112-2 ขอทัดทานแต่งตั้งฮองเฮา

จารใจรัก

หลังฉินอวี้ออกมา ไทเฮาก็กวักมือเรียกหรูอี้เข้ามาหา ก่อนที่จะตรัสเสียงทุ้มต่ำ “ไฉนข้าถึงรู้สึกว่า 

 

 

ฝ่าบาทค่อนข้างผิดแปลกไปจากเดิม” 

 

 

           “อย่างไรหรือเพคะ” หรูอี้ไม่เข้าใจ 

 

 

           “แรกเริ่ม เพื่อเซี่ยอวิ๋นหลาน เซี่ยฟางหวาจึงทอดทิ้งฉินเจิงที่ได้รับบาดเจ็บ ออกจากวังไปเพื่อรักษาเซี่ยอวิ๋นหลาน เมื่อฉินเจิงออกจากวังหลวงไปวันที่สองก็เกิดหึงหวงยกใหญ่ พาลเกิดโทสะหมายจะตัดขาดความสัมพันธ์กับเซี่ยฟางหวา เซี่ยฟางหวาไปหาถึงเรือนลั่วเหมย ฉินเจิงก็ยิงธนูสามดอกใส่นางเพื่อตัดความสัมพันธ์อย่างเด็ดขาด ต่อมาเซี่ยฟางหวาทอดทิ้งฉินเจิงมิได้ ต่อให้บาดเจ็บก็ดี ยังสาบานว่าจะออกเรือนกับเขา” ไทเฮาตรัส “เรื่องพวกนี้เราต่างทราบกันดี แต่ตอนนี้ เจ้าว่าความรักที่สลักลึกลงกระดูก หรือว่าจะกลายเป็นหมอกควันในชั่วพริบตาแล้ว นางไร้เยื่อใยต่อฉินเจิงแล้วจริงหรือ ยอมทิ้งเขาเพื่อออกเรือนกับ 

 

 

ฝ่าบาทแทน” 

 

 

           “คงเป็นท่านอ๋องน้อยเจิงทำบางสิ่งลงไป จนทำร้ายหัวใจของคุณหนูฟางหวาอย่างหนักกระมังเพคะ หัวใจของสตรีก็เหมือนกับน้ำ อ่อนไหวหลากความรู้สึก แต่ก็เหมือนก้อนหินเช่นกัน แข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า” หรูอี้กล่าว “ยิ่งไปกว่านั้น ฝ่าบาทของเราหลงรักคุณหนูฟางหวา อดีตฮ่องเต้มีเจตนาอยากกำจัดตระกูลเซี่ย แต่ 

 

 

ฝ่าบาทของเรากลับใช้ตระกูลเซี่ยให้เป็นประโยชน์ ก่อนหน้านี้ก็มีเจตนาปล่อยเรือนใหญ่ไป ทั้งเหลือเซี่ยหลินซีไว้แล้วมอบให้คุณหนูฟางหวา ต่อมาก็มอบอำนาจการทหารให้ท่านโหวเซี่ยอีก คุณหนูฟางหวาแม้ใจแข็งดุจศิลา แต่ก็ถูกหลอมละลายได้เช่นกัน” 

 

 

           “ก็มีเหตุผลเหมือนกัน” ไทเฮาพยักพระพักตร์ 

 

 

           “ทรงอย่าคิดมากเลยเพคะ ฝ่าบาทให้พระองค์พักผ่อนให้เต็มที่ พระองค์ก็ควรพักผ่อนเถิด ตั้งแต่อดีตฮ่องเต้ประชวรหนักพระองค์ก็ทรงผอมลงไปเยอะมาก เมื่ออดีตฮ่องเต้สวรรคตไปไม่กี่วันนี้ พระองค์ก็ยิ่งผอมมากขึ้นกว่าเดิม พระองค์ต้องรักษาสุขภาพให้ดี มิง่ายกว่าที่ฝ่าบาทของเราจะได้ราชาภิเษก ทรงเฝ้าคอยมาหลายปีแล้ว ในที่สุดก็หมดห่วงเสียที” หรูอี้โน้มน้าวใจ 

 

 

           “ใช่แล้ว ต่อจากนี้ข้าไม่สนใจแล้ว ในที่สุดข้าก็คิดได้เสียที สนใจมากเกินไปก็ไม่มีประโยชน์ หลายปีนี้ข้าทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อแย่งราชบัลลังก์มาให้อวี้เอ๋อร์ นานวันเข้าก็เห็นตำแหน่งจักรพรรดิสำคัญกว่าลูกชายและสุขภาพของตนเอง ในใจอวี้เอ๋อร์คิดมาตลอดว่าข้าเทียบพระชายาอิงชินอ๋องมิได้” ไทเฮาถอนหายใจออกมา “ข้าย่อมเทียบนางมิได้อยู่แล้ว ไม่ว่ายามใดก็ทำเพื่อลูกชายเสมอมา หลังจากนี้ข้าจะค่อยๆ ชดเชยให้เขา ขอเพียงเขาอยากทำสิ่งใด ข้าก็จะให้การสนับสนุน” 

 

 

           หรูอี้ยิ้มพลางพยักหน้า “ฝ่าบาทก็ทรงทราบถึงความลำบากของพระองค์ดี จึงกตัญญูต่อท่านเสมอมา หลังจากนี้ยิ่งมิต้องพูดถึง ต้องกตัญญูมากกว่าเดิมแน่นอนเพคะ” 

 

 

           ไทเฮาแย้มสรวลออกมาเช่นกัน 

 

 

           เมื่อฉินอวี้ออกจากตำหนักเฟิ่งหลวนก็ตรงกลับไปยังตำหนักของตนเอง มายังปีกตำหนักข้างเคียงของเซี่ยฟางหวาก่อน 

 

 

           หลังเซี่ยฟางหวาส่งฮูหยินหย่งคังโหวกับเยี่ยนหลันกลับก็มากึ่งนั่งกึ่งนอนพักสายตาบนเก้าอี้กุ้ยเฟย 

 

 

           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อเห็นฉินอวี้มาก็รีบจะเข้าไปรายงาน ทว่าฉินอวี้โบกมือก่อนถามเสียงต่ำ “คุณหนูพวกเจ้าเล่า” 

 

 

           “กำลังพักผ่อนอยู่เพคะ” ทั้งสองตอบเสียงต่ำเช่นกัน 

 

 

           ฉินอวี้พยักหน้า เลิกม่านออกด้วยตัวเอง แล้วเดินเข้าไปข้างใน 

 

 

           เซี่ยฟางหวาได้ยินเสียงฝีเท้าของฉินอวี้แล้ว ทราบว่าเขาจะเข้ามาในห้อง ทว่าก็มิได้ลืมตาในทันที ยังคงเอนกายนอนเหมือนเดิม 

 

 

           ฉินอวี้นั่งลงบนเก้าอี้ 

 

 

           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อเข้ามารินน้ำชาให้เขาเงียบๆ 

 

 

           หลังเขาดื่มน้ำชาไปแก้วหนึ่ง เซี่ยฟางหวาถึงลืมตามองเขา 

 

 

           “ในเมื่อเหนื่อย ไฉนถึงไม่ไปนอนพักผ่อนบนเตียง” ฉินอวี้ตรัสถาม 

 

 

           เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า “นอนบนเตียงแล้วอยากหลับ ยามนี้ฟ้ายังสว่างอยู่มาก หากนอนกลางวันมากไป กลางคืนจะนอนไม่หลับเอา” พูดจบก็มองเขา “จัดการทุกอย่างเสร็จแล้วหรือ” 

 

 

           ฉินอวี้ส่ายหน้า “กำหนดฤกษ์ราชาภิเษกแล้ว” หยุดชั่วครู่แล้วตรัสอีก “เสนาบดีฝ่ายซ้ายแนะนำว่าควรแต่งตั้งฮองเฮาในวันราชาภิเษกด้วย” 

 

 

           เซี่ยฟางหวาเลิกคิ้ว 

 

 

           “เจ้าคิดเช่นไร” ฉินอวี้ถาม 

 

 

           เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า “ดีมาก” 

 

 

           ฉินอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็แย้มยิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนหยิบเทียบยาใต้แขนเสื้อออกมา “เสด็จแม่ตากลมหนาว สำนักหมอหลวงเขียนเทียบยาให้ แต่ข้าไม่ค่อยวางใจนัก จึงนำมาให้เจ้าช่วยดูหน่อย” 

 

 

           เซี่ยฟางหวาหยัดกายขึ้นเล็กน้อย โน้มตัวไปข้างหน้าเพื่อยื่นมือรับมาอ่านดูครู่หนึ่ง ก่อนถามขึ้น “พระพักตร์ของไทเฮาเป็นเช่นไรบ้าง” 

 

 

           “สีหน้าเสด็จแม่แย่มาก ค่อนข้างซีดเซียว ข้าสังเกตว่าลมปราณนางค่อนข้างอ่อนแอ” ฉินอวี้ตอบ 

 

 

           เซี่ยฟางหวากล่าว “น่าจะเป็นเพราะอดีตฮ่องเต้สวรรคตกะทันหัน เกิดอาการร้อนในทรวงอก ผนวกกับโดนลมหนาวข้างนอกมา ทำให้ความหนาวเย็นซึมสู่ร่างกาย” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “เทียบยาที่หมอหลวงเขียนให้ก็รอบคอบอย่างมาก ไม่มีตรงไหนผิดแปลก ถึงอย่างไรพระวรกายของไทเฮาก็ล้ำค่า คงมิกล้าใช้ยาแรง ดังนั้นปริมาณยาจึงค่อนข้างน้อย ประสิทธิภาพย่อมช้าตาม” 

 

 

           “ถูกต้อง” ฉินอวี้แย้มยิ้มพลางพยักหน้า 

 

 

           “เจ้าส่งพู่กันมาให้ข้า ข้าจะเพิ่มยาให้อีกสองตัว สามวันก็หายดีแล้ว” เซี่ยฟางหวาบอก 

 

 

           ฉินอวี้พยักหน้า ก่อนหยิบพู่กันบนโต๊ะส่งให้นาง 

 

 

           เซี่ยฟางหวาเขียนยาเพิ่มลงไปสองตัวบนเทียบยาเดิม ก่อนยื่นเทียบยากับพู่กันคืนให้ฉินอวี้ 

 

 

           ฉินอวี้เก็บเทียบยาเข้าแขนเสื้อ ก่อนเอ่ยขึ้นอีก “พี่เหยียนเฉินกลับมาแล้วหรือ หลายวันนี้เขาหายไปไหนมา” 

 

 

           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า มิได้ปิดบังเช่นกัน “เขาไปภูเขาลับใกล้ๆ นี้” 

 

 

           “มีความคืบหน้าอย่างไรบ้าง” ฉินอวี้ตวัดตามองนาง  

 

 

           “ยี่สิบกว่าวันก่อนภูเขาลับถูกคนโจมตี กลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้ว คนที่เหลือรอดมิทราบจำนวนอพยพย้ายไปอยู่ที่อื่น ไม่มีร่องรอยให้ตามต่อ” เซี่ยฟางหวาตอบ 

 

 

           ฉินอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วไตร่ตรอง หลังจากนั้นพักหนึ่งก็เอ่ยขึ้น “ยี่สิบกว่าวันก่อน…” หยุดเว้นช่วงก่อนตรัสอย่างคลุมเครือ “ทั้งหนานฉินมีเพียงคนเดียว” 

 

 

           เซี่ยฟางหวาไม่เอ่ยคำใด 

 

 

           “พรุ่งนี้คงหารือกันได้ข้อสรุป หลังหารือเสร็จ ข้าจะให้คนจากกรมอาภรณ์หลวงมาวัดตัวเจ้าเพื่อตัดเย็บอาภรณ์ของฮองเฮา” ฉินอวี้เปลี่ยนเรื่อง  

 

 

           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า 

 

 

           “เจ้าชอบอาภรณ์ฮองเฮาแบบใด” ฉินอวี้ถามอีก 

 

 

           “อาภรณ์ของฮองเฮามิใช่มีกฎเกณฑ์ของหนานฉินหรือ หรือว่าข้าอยากได้แบบใดก็ตัดเย็บแบบนั้นได้” เซี่ยฟางหวาพลันยิ้มออกมา  

 

 

           “ทำได้” ฉินอวี้พยักหน้า 

 

 

           “ไม่เป็นไร ข้าไม่อยากตกเป็นเป้าโจมตี ตอนนี้ที่เหล่าคนซึ่งถูกขัดเกลาด้วยจริยธรรมยังมิออกมาโจมตีด้วยวาจาและปลายพู่กัน เป็นเพราะตอนนี้ข้ายังมีสิ่งที่น่าชมเชยอยู่ หากออกนอกลู่นอกทางมากไป เจ้าจะเดือดร้อนเปล่าๆ” เซี่ยฟางหวายิ้มพลางส่ายหน้า  

 

 

           ฉินอวี้อดมิได้ที่จะแย้มยิ้มออกมา นวดคลึงหว่างคิ้ว “เจ้าพูดมีเหตุผล” 

 

 

           “เจ้าไปทำงานเถอะ ถ้ามิทำแล้วก็ไปพักผ่อนเสีย พิธีราชาภิเษกมิใช่เรื่องเล่นๆ คงเหนื่อยน่าดู ส่วนเรื่องที่ม่อเป่ยยามนี้ข้ายังคิดกลยุทธ์ที่สมบูรณ์ไม่ออก ข้าจะคิดให้ถี่ถ้วนอีกครั้ง” เซี่ยฟางหวาโบกมือไล่  

 

 

            ฉินอวี้พยักหน้า ก่อนลุกขึ้นยืน “เจ้าก็อย่าฝืนเกินไป ควรคิดให้น้อยลง” 

 

 

           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า 

 

 

           ฉินอวี้ออกมาจากห้อง มิได้กลับไปที่ตำหนักตนเอง หากแต่มุ่งไปยังห้องทรงอักษร ระหว่างทางเขาสั่งเสี่ยวเฉวียนจื่อให้นำเทียบยาที่แก้ไขแล้วไปส่งที่ตำหนักเฟิ่งหลวน 

 

 

           หลังไทเฮาได้รับเทียบยาใหม่ก็ประทานรางวัลให้เสี่ยวเฉวียนจื่ออย่างอ่อนโยน ตรัสกับเขาว่า “ลำบากเจ้าวิ่งงานอีกรอบ ไปขอบคุณคุณหนูฟางหวาแทนข้า บอกว่าหากข้าหายดีเมื่อไรจะเชิญนางไปชมดอกไม้ที่อุทยานหลวง” 

 

 

           “พ่ะย่ะค่ะ” เสี่ยวเฉวียนจื่อรับคำแล้วออกไป 

 

 

           หลังเสี่ยวเฉวียนจื่อออกไปแล้ว ไทเฮาก็มองลายมือบนเทียบยา พินิจเป็นนานก็ตรัสกับหรูอี้ “เจ้าดูลายมือนี่สิ เทียบกับลายพระหัตถ์ของฝ่าบาทมิติดเลย เรียกได้ว่าเหนือชั้นกว่ามาก” 

 

 

           หรูอี้ขยับเข้ามาใกล้ๆ กล่าวด้วยความนับถือชื่นชม “ลายมือแบบนี้น่าจะฝึกคัดมาตั้งแต่เด็ก มิรู้ว่าใช้เวลามากน้อยเท่าไรเพคะ” 

 

 

           ไทเฮาพยักพระพักตร์ “น่าเสียดายที่เป็นสตรี หากเป็นบุรุษล่ะก็ หนานฉินแห่งนี้เกรงว่าจะปล่อยตระกูลเซี่ยไว้มิได้” 

 

 

           “ไทเฮาคิดมากอีกแล้วนะเพคะ” หรูอี้บอกทันที 

 

 

           ไทเฮาพลันแย้มสรวลแล้วส่งเทียบยาให้หรูอี้ ก่อนที่หรูอี้จะนำไปเก็บ 

 

 

           กลางดึก ระหว่างที่ฉินอวี้อ่านสาส์นกราบทูลข้อราชการในห้องทรงหนังสือ เหยียนเฉินก็ปรากฏตัวขึ้นในห้องทรงหนังสืออย่างไร้สุ้มเสียง ยืนซ้อนอยู่ข้างหลังฉินอวี้