ตอนที่ 113-1 ทะเลาะกันใหญ่โต

จารใจรัก

ฉินอวี้วางฎีกาลงทันใด หันกลับไปมองเหยียนเฉิน

 

 

           เหยียนเฉิงเองก็มองเขาตอบ

 

 

           ผ่านไปพักหนึ่ง ฉินอวี้ก็แย้มยิ้มเอ่ยขึ้น “พี่เหยียนเฉินมีวิทยายุทธ์ร้ายกาจโดยแท้ ตรงเข้ามาในห้องทรงอักษรโดยที่ผู้คุ้มกันและสายลับด้านนอกยังไม่รู้สึกตัว กว่าข้าจะรู้ตัวท่านก็มายืนอยู่ข้างหลังแล้ว หากท่านมีเจตนาสังหารข้า ป่านนี้ข้าคงตายไม่ก็บาดเจ็บสาหัสไปแล้ว”

 

 

           “ฝ่าบาทลดการป้องกันกว่าตอนเป็นรัชทายาท” เหยียนเฉินบอก

 

 

           “ในเมืองหลวงรวมถึงวังหลวงตอนนี้ นอกจากพี่เหยียนเฉินแล้ว เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดเหยียบเข้ามาในห้องทรงหนังสือได้ ข้าทราบว่าพี่เหยียนเฉินมาแล้วก็มิได้จะทำร้ายข้าจึงมิจำเป็นต้องป้องกันตัว” ฉินอวี้แย้มยิ้ม

 

 

           เหยียนเฉินมองเขา พลันกล่าวขึ้นด้วยด้วยความคลุมเครือ “บางคนอวดตนว่ารอบคอบ ทว่าก็ยังประมาทฟางหวา ดังนั้นระวังจะแพ้แล้วแพ้อีก”

 

 

           ฉินอวี้เลิกพระขนง

 

 

           “ฝ่าบาทแม้มิได้รู้จักฟางหวาดีเท่าข้า แต่นับว่ามีใจซื่อสัตย์” เหยียนเฉินกล่าวอีก “มิน่านางถึงเลือกท่าน”

 

 

           ฉินอวี้มองเขาพลางแย้มยิ้มเล็กน้อย “พี่เหยียนเฉินมาคืนนี้ เพื่อบอกสิ่งนี้กับข้าโดยเฉพาะหรือ”

 

 

           เหยียนเฉินส่ายศีรษะ ก่อนปรับสีหน้าจริงจัง “ฟางหวาไม่อยากพบฉินเจิง ถึงทุ่มกำลังจากหอเทียนจีเก๋อก็เกรงว่าจะขัดขวางเขามิได้ หากฝ่าบาทมีเจตนาเดียวกัน มิสู้ร่วมมือกันเป็นเช่นไร”

 

 

           “แน่นอน” ฉินอวี้ตอบโดยไม่ลังเล “ข้าก็มิอยากให้เขากลับเมือง”

 

 

           “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราหารือกันสักครา ข้าจะเคลื่อนไหวคืนนี้” เหยียนเฉินบอก

 

 

           ฉินอวี้พยักหน้า

 

 

           ทั้งสองหารือกันราวสองชั่วยาม กระทั่งเวลาล่วงเลยถึงกลางดึก เหยียนเฉินก็ออกมาจากห้องทรงอักษร ก่อนมุ่งหน้าออกจากวังหลวง

 

 

           หลังเขาออกไป ฉินอวี้ก็ยืนริมหน้าต่างมองหมอกหนาทึบเบื้องหน้า ยืนนิ่งเป็นนาน

 

 

           “ฝ่าบาท ดึกมากแล้ว ท่านเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว พักผ่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เสี่ยวเฉวียนจื่อก้าวขึ้นมายืนข้างหลังฉินอวี้ ก่อนแนะเสียงเบา

 

 

           “เสี่ยวเฉวียนจื่อ ช่วงนี้ไต้ซือผู่อวิ๋นแห่งวัดฝ่าฝอซื่อกำลังทำสิ่งใดอยู่” ฉินอวี้พลันเอ่ยถาม

 

 

           เสี่ยวเฉวียนจื่อชะงัก ก่อนรีบทูลกล่าว “ทูลฝ่าบาท อดีตฮ่องเต้สวรรคต วัดฝ่าฝอซื่อกำลังประกอบพิธีเจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าวัน*[1] เพื่อสวดส่งวิญญาณอดีตฮ่องเต้ ไต้ซือผู่อวิ๋นก็อยู่ในวัดด้วย หลังเหตุเพลิงไหม้ก็เก็บตัวตลอดเวลา หลังอดีตฮ่องเต้สวรรคตถึงออกมาประกอบพิธีกรรมทางศาสนาพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

           ฉินอวี้พยักหน้า

 

 

           “ไฉนจู่ๆ จึงทรงถามถึงไต้ซือผู่อวิ๋น อยากพบเขาหรือพ่ะย่ะค่ะ” เสี่ยวเฉวียนจื่อหยั่งเชิงถาม

 

 

           ฉินอวี้หัวเราะเสียงหนึ่ง “เรากำลังนึกถึงครั้งยังเป็นเด็ก ไต้ซือผู่อวิ๋นทำนายดวงชะตาให้ข้ากับฉินเจิง ผลทำนายบอกถึงเคราะห์รักของพวกเรา เราเคยคิดว่าไต้ซือผู่อวิ๋นนั้นแสวงหาลาภยศสักการ การทำนายมิน่าเชื่อถือ ไม่คิดเลยว่าเมื่อสถานการณ์ผันเปลี่ยน กลับกลายเป็นความจริง”

 

 

           “ทรงหมายถึงคุณหนูฟางหวา” เสี่ยวเฉวียนจื่อกล่าวเสียงเบา

 

 

           ฉินอวี้พยักหน้า แย้มยิ้มเอ่ย “ตอนกลับจากม่อเป่ยข้าถูกขัดขวางตลอดการเดินทาง ฟางหวาพบข้าก็ลงมือสังหารอย่างเลือดเย็น ยามนี้ถึงคราวที่เขาต้องลิ้มรสชาตินั้นบ้างแล้ว”

 

 

           เสี่ยวเฉวียนจื่อลอบทอดถอนใจ มิกล่าวคำใดอีก

 

 

           “กลับตำหนักเถิด” ฉินอวี้หมุนตัวเดินออกจากห้องทรงหนังสือ มุ่งไปยังตำหนักบรรทม

 

 

           เหยียนเฉินออกจากห้องทรงหนังสือแล้วก็ออกจากวังหลวงทันที เซี่ยฟางหวาทราบข่าวอย่างรวดเร็ว นางตวัดฝ่ามือดับตะเกียงแล้วเข้านอน

 

 

           วันที่สองของการว่าราชการยามเช้า ต้องหารือเรื่องแต่งตั้งฮองเฮาในวันราชาภิเษกอีกครั้ง

 

 

           ระหว่างที่ยังคงถกเถียงกันมิได้ข้อสรุป ไทเฮาก็เสด็จมา

 

 

           เหล่าขุนนางต่างผงะตกใจ ถึงอย่างไรวังหลังก็ห้ามยุ่งเกี่ยวกับการบริหารบ้านเมือง ไทเฮาครั้งยังเป็นอดีตฮองเฮานั้นเคยเข้ามาในโถงราชสำนักครั้งหนึ่ง มาด้วยเรื่ององค์ชายสี่ฉินอวี้วางเพลิงเผาราชวัง ยามนี้นางในฐานะไทเฮาปรากฏตัวในโถงราชสำนักเป็นครั้งที่สองหลังอดีตฮ่องเต้สวรรคต ทุกคนล้วนคาดเดา มิทราบว่ามาด้วยเรื่องใด

 

 

           ฉินอวี้หยุดเมื่อไทเฮาเสด็จมาถึง แววตาอ่อนโยนลงหลายส่วน ยกมือขึ้น “เชิญไทเฮา”

 

 

           ไม่นาน ไทเฮาก็ทรงก้าวเข้ามาในโถงราชสำนัก

 

 

           เหล่าขุนนางแบ่งเป็นสองแถว แม้การที่ไทเฮาเข้าว่าราชการมิเหมาะสมนัก แต่เหล่าขุนนางก็ยังคงทำความเคารพ “ถวายพระพรไทเฮา”

 

 

           “ทุกคนตามสบาย” ไทเฮายกพระหัตถ์ กวาดตามองทุกคนรอบหนึ่ง “เมื่อวานข้าได้ยินว่าในราชสำนักหารือกันเรื่องฝ่าบาทราชาภิเษกควบคู่กับการแต่งตั้งฮองเฮา แต่ยังถกเถียงถึงเรื่องนี้กันมิยอมเลิกรา กับเรื่องราชาภิเษกนั้น ด้วยพระราชโองการสั่งเสียของอดีตฮ่องเต้ ย่อมไม่มีส่วนใดให้วิจารณ์ ข้าเป็นสตรีมิควรมีส่วนเกี่ยวข้องในการบริหารราชสำนัก ดังนั้นจึงมิสอดปากกล่าวแล้ว แต่เรื่องแต่งตั้งฮองเฮานั้น เกี่ยวข้องกับราชสำนักและเกี่ยวพันไปถึงวังหลังด้วย ข้าคิดว่าจะวางตัวเฉยมิได้”

 

 

           เหล่าขุนนางฟังแล้วก็ทราบทันทีว่าไทเฮาเสด็จมาด้วยเรื่องแต่งตั้งฮองเฮา ต่างพากันเดาว่ามิรู้ว่าไทเฮาจะทรงเห็นด้วยหรือต่อต้านกันแน่ ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ก็เคยมีข่าวว่าไทเฮาทรงมิโปรดเซี่ยฟางหวา แต่ทรงโปรดหลี่หรูปี้ยิ่ง ทว่าตอนนี้หลี่หรูปี้ถอนหมั้นกับฝ่าบาทแล้ว เช่นนั้นตอนนี้นางจะมีทัศนคติเช่นไร

 

 

           “ครั้นอดีตฮ่องเต้ประชวรหนัก ก็ทรงเป็นห่วงเรื่องการอภิเษกสมรสของฝ่าบาทตลอดมา ก่อนสวรรคตก็เห็นฝ่าบาทเสด็จกลับมาพร้อมคุณหนูฟางหวา จึงเบาพระทัยลงในที่สุด และจากไปอย่างสงบ” ไทเฮาเอ่ยค่อยๆ “ข้าคิดว่าเรื่องแต่งตั้งฮองเฮานั้นมิควรทะเลาะกันใหญ่โต ฮองเฮาของฝ่าบาทต้องเป็นเพียงเซี่ยฟางหวาเท่านั้น นางไปตามหาสมุนไพรดำม่วงโดยไม่กังวลว่าจะบาดเจ็บสาหัสระหว่างรอออกเรือน รับช่วงต่อสถานการณ์ฉุกเฉินที่เมืองหลินอัน ช่วยเหลือประชาชนแสนกว่าชีวิตที่นั่น ทั้งความสามารถและรูปลักษณ์เพียบพร้อม งดงามด้วยคุณธรรม เป็นแบบอย่างของพระมารดา”

 

 

           ทุกคนฟังแล้วก็มองหน้ากัน ก่อนมองไปยังฝ่าบาทที่ทรงกำลังนั่งอย่างสง่างาม คิดในใจว่าการกระทำของไทเฮานั้นเหนือความคาดหมายแต่ก็อยู่ในความคาดหมายเช่นกัน ไทเฮาแม้ปกป้องโอรสได้มิมากเท่าพระชายาอิงชินอ๋อง แต่ก็ทำเพื่อฝ่าบาทก่อนเสมอ ในอดีตเคยบุกโถงราชสำนักก็เพื่อพระองค์ วันนี้ก็เพื่อแต่งตั้งฮองเฮาให้พระองค์ เป็นสองครั้งที่เข้าราชสำนัก ท่าทีเช่นนี้ของไทเฮานับว่าอุดปากเหล่าขุนนางได้อยู่หมัด

 

 

           หลังไทเฮาเอ่ยจบ เสนาบดีฝ่ายซ้ายก็ก้าวขึ้นมาสมทบเมื่อเห็นว่าไม่มีใครพูดสิ่งใด “ฝ่าบาท ไทเฮาเอ่ยมีเหตุผล คุณหนูฟางหวามีคุณธรรมและรูปลักษณ์เพียบพร้อม เหมาะที่จะเป็นพระมารดาของแผ่นดินพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

           เพียงเขาเอ่ยปากขึ้น ขุนนางครึ่งหนึ่งก็ก้าวออกจากแถวอย่างคล้อยตาม

 

 

           อีกครึ่งหนึ่งที่เหลือล้วนหันไปมองอิงชินอ๋อง

 

 

           อิงชินอ๋องจนใจ เวลานี้มิอาจเอ่ยปากแย้งได้แล้วเช่นกัน เขาแอบคิดว่าถึงเขาต่อต้านเรื่องนี้ แต่เกรงว่าก็ไม่เป็นผลเช่นกัน วันนี้ไทเฮาเสด็จมาเอง อ้างถึงอดีตฮ่องเต้ แล้วเขาจะต่อต้านอีกได้อย่างไร ก่อนอดีตฮ่องเต้สวรรคต เซี่ยฟางหวากลับเมืองมาพร้อมฝ่าบาท เฝ้าด้านในตำหนักบรรทมฮ่องเต้ทั้งคืน เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาทุกคน

 

 

           เสนาบดีฝ่ายขวาเห็นเช่นนี้ก็ได้แต่กล่าวขึ้นมา “ฝ่าบาท ในเมื่อ…”

 

 

           เขาเพิ่งอ้าปากกล่าว ด้านนอกพลันมาคนแล่นเข้ามา คุกเข่าทูลรายงาน “ฝ่าบาท พระชายาอิงชินอ๋องขออนุญาตเข้ามาในตำหนักพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

           ทุกคนตกตะลึง

 

 

           “วุ่นวาย โถงราชสำนักไฉนเลยจะอนุญาตให้สตรีเข้ามาซ้ำแล้วซ้ำอีก เจ้าออกไปบอกนางว่าไม่อนุญาตให้เข้ามา หากมาหาข้า รอเลิกประชุมแล้วค่อยคุยกัน” อิงชินอ๋องเห็นท่าไม่ดีก็รีบกล่าวขึ้น

 

 

           “ท่านอ๋อง ในมือพระชายาถือกระบี่มาด้วย บอกว่าหากฝ่าบาทมิทรงอนุญาตให้นางเข้ามาในตำหนัก นางสาบานว่าจะบุกเข้ามาให้จงได้ขอรับ” คนนั้นรีบกล่าว

 

 

           “นางนี่ช่าง…” อิงชินอ๋องกล่าวไม่ออกชั่วขณะ หันหลังไปขออนุญาต “ฝ่าบาท ขอทรงอนุญาตให้กระหม่อมออกไปขวางนางด้วยเถิด”

 

 

           ฉินอวี้มิได้ตอบรับอิงชินอ๋อง แต่เอ่ยถามคนมารายงานที่คุกเข่าอยู่ “พระชายายังบอกอันใดอีก”

 

 

           “พระชายาบอกว่า นางได้รับความไม่เป็นธรรมครั้งใหญ่ อยากฟ้องร้องอดีตฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ” คนผู้นั้นกล่าวพลางก็ตัวสั่นระริกขึ้นมา “บอกว่าหาก…ฝ่าบาทมิทรงอนุญาตให้นางเข้ามาในตำหนัก นางก็จะสังหารแล้วเข้ามาให้ได้ หากเข้ามามิได้ ก็จะไปปลุกปั่นร้องทุกข์…”

 

 

           เหล่าขุนนางตะลึงอีกหน อดีตฮ่องเต้สวรรคตแล้ว พระชายาอิงชินอ๋องยังจะฟ้องร้องอดีตฮ่องเต้ นี่…

 

 

           นี่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติการณ์ มิเคยพบเห็น มิเคยได้ยิน

 

 

           ฉินอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้า “ยังบอกอันใดอีกหรือไม่”

 

 

           คนนั้นส่ายหน้าตอบด้วยตัวสั่นเทา

 

 

           “ไป เชิญพระชายาเข้ามาในตำหนัก” ฉินอวี้ยกมือสั่ง

 

 

           คนผู้นั้นลุกขึ้น ก่อนถอยกลับออกไปนอกตำหนักใหญ่

 

 

           หัวใจของอิงชินอ๋องแกว่งขึ้นมาถึงลำคอและดวงตา จับจ้องไปยังตำหนักใหญ่ กลัวว่าพระชายาจะใช้นิสัยเดิมที่มิแยแสสิ่งใดทั้งนั้น ถึงตอนนั้นเรื่องราววุ่นวายจนจัดการมิได้ ราษฎรใต้หล้ามีหรือจะไม่หัวเราะเยาะราชวงศ์กับราชนิกุล

 

 

           ไม่นานพระชายาอิงชินอ๋องก็เข้ามาในตำหนัก ในมือนางมีกระบี่อยู่เล่มหนึ่งจริง ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ นางที่ในเวลาปกติแลดูอ่อนโยน ตอนนี้มองแล้วมีแต่ความมุ่งมั่นตั้งใจหลายส่วน

 

 

           ขุนนางอาวุโสทั่วไปในราชสำนักล้วนจำท่วงท่าอันสง่างามของพระชายาอิงชินอ๋องและฮูหยินของซื่อจื่อจวนจงหย่งโหวในตอนนั้นได้ดี สองบุตรีของตระกูลชุยแห่งปั๋วหลิงกับตระกูลชุยแห่งชิงเหอ เพียบพร้อมทั้งบุ๋นและบู๊ เรื่องบุ๋นมิตกเป็นรองปัญญาชนตระกูลใหญ่ในตอนนั้น เรื่องบู๊มิได้ด้อยกว่าแม่ทัพใหญ่ในราชสำนักตอนนั้นด้วย สตรีมิได้ด้อยกว่าบุรุษ ตอนนั้นมิทราบว่าเป็นที่หมายปองของใครกี่คน ยามนี้พระชายาอิงชินอ๋องยังคงเสน่ห์ของหญิงสาวเหมือนเก่า

 

 

           หลังพระชายาอิงชินอ๋องเข้ามาในตำหนักก็มองไทเฮาแวบหนึ่ง ก่อนทิ้งกระบี่ในมือลง

 

 

           “ท่านป้า เรื่องใดทำให้ท่านโกรธจัดถึงเพียงนี้” ฉินอวี้มองพระชายาอิงชินอ๋องด้วยความอ่อนโยน

 

 

           พระชายาอิงชินอ๋องได้ยินเช่นนั้นก็มองไปยังฉินอวี้ที่อยู่ด้านบนสุด บัลลังก์ทองคำประจำตำแหน่งจักรพรรดิขับรัศมีให้แก่พระองค์ โอรสสวรรค์วัยหนุ่ม กลับมีความน่าเกรงขามมิได้แพ้ฮ่องเต้ที่ปกครองแผ่นดินมาอย่างยาวนานแม้แต่น้อย นางระงับโทสะบนกาย แล้วกล่าวเสียงเรียบ “หม่อมฉันอยากฟ้องร้องอดีตฮ่องเต้ ฉินเจิงลูกชายหม่อมฉันกับลูกสะใภ้เซี่ยฟางหวายังรักกันอยู่ดีๆ แท้ๆ สมรสกันอย่างถูกต้อง บุญคุณความรักมิขาด ทว่าพระราชโองการหย่าร้างขออดีตฮ่องเต้ทำให้สามีภรรยาต้องพรากจากกัน ท่านอ๋องใจอ่อนมีคุณธรรม มิเคยวิจารณ์อดีตฮ่องเต้ แต่หม่อมฉันเป็นสตรีคนหนึ่ง เห็นลูกชายมาก่อนสิ่งใด ต่อให้อดีตฮ่องเต้สวรรคตไปแล้ว แต่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันยังอยู่ ขอฝ่าบาทตัดสินให้หม่อมฉัน เรียกพระราชโองการหย่าร้างกลับแทนอดีตฮ่องเต้ คืนความสุขให้แก่ลูกชายหม่อมฉันกับลูกสะใภ้ด้วยเถิด”

 

 

           เหล่าขุนนางต่างพากันสูดหายใจเอาอากาศเย็นเยียบเข้าไป

 

 

           อิงชินอ๋องถลึงตามองพระชายา คิดในใจว่านางไฉนเลยถึงคิดไม้ตายเช่นนี้ขึ้นมาได้ ฟ้องร้องอดีตฮ่องเต้มิพอ นึกไม่ถึงว่ายังมีเหตุผลให้พิสูจน์ได้ นี่…มิเคยมีมานับแต่โบราณกาล

 

 

           เสนาบดีฝ่ายซ้ายร้อนรนขึ้นมาทันที มองขึ้นไปแวบหนึ่ง พบว่าหน้าของฉินอวี้แม้เป็นปกติ ทว่าใต้พระเนตรนั้นดำคล้ำแล้ว เขารีบก้าวขึ้นมากล่าวเสียงดัง “พระชายา อดีตฮ่องเต้ทรงมีพระราชโองการตั้งหนึ่งเดือนก่อนแล้ว อดีตฮ่องเต้เพิ่งสวรรคตได้ไม่เกินเจ็ดแปดวัน หลังประกาศพระราชโองการหย่าร้างออกไป เหตุใดท่านถึงมิเข้าตำหนักมาฟ้องร้องอดีตฮ่องเต้ตั้งแต่ตอนนั้น ยามนี้กลับให้ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันตัดสินให้ท่าน ท่านมีหรือจะไม่รู้ว่าบุตรมิอาจตำหนิบิดามารดาต่อหน้าผู้อื่น ท่านกระทำเช่นนี้ จะให้ฝ่าบาททรงอยู่ในตำแหน่งใด”

 

 

           พระชายาอิงชินอ๋องหันไปมองเสนาบดีฝ่ายซ้ายโดยตรง “เวลานั้นท่านอ๋องเอาแต่ผูกมัดข้า มิอนุญาตให้ข้าเข้าราชสำนัก เพื่อมิให้อาการประชวรของอดีตฮ่องเต้สาหัสขึ้น เดิมทีข้าอยากค่อยๆ กล่าวถึงเรื่องนี้เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม แต่นึกไม่ถึงว่าอดีตฮ่องเต้จะด่วนจากไปไวเช่นนี้ ยามนี้ฝ่าบาทจะทรงแต่งตั้งหวาเอ๋อร์เป็นฮองเฮา ข้าทนมิไหวแล้วเช่นกัน”

 

 

           “แรกเริ่มคุณหนูฟางหวาออกจวนไปจากเมืองหลวงเอง อดีตฮ่องเต้ทรงมีพระราชโองการหย่าร้างตามมาทีหลัง ย่อมเป็นเพราะความรักระหว่างนางกับท่านอ๋องน้อยเจิงเกิดรอยร้าว มิฉะนั้นเหตุใดคุณหนูฟางหวาถึงออกจวนไปจากเมืองเพียงลำพังด้วย พระชายา นี่เป็นเรื่องของราชสำนัก ฝ่าบาทมีกิจบ้านเมืองรัดกาย ยามนี้ภายในปั่นป่วนภายนอกถูกรุกราน ตลอดมาท่านเข้าใจทุกสิ่งชัดแจ้ง วันนี้อย่าได้มาก่อกวนราชสำนักเพียงเพราะเรื่องในบ้านตนเองที่ไม่ปรองดองกันเลย” เสนาบดีฝ่ายซ้ายรีบกล่าว

 

 

           “ปากของเสนาบดีฝ่ายซ้ายนี่ช่างร้ายกาจนัก ท่านพูดว่ากิจบ้านเมือง ฝ่าบาทราชาภิเษกเป็นกิจบ้านเมืองมิผิด ข้าซึ่งเป็นสตรีย่อมมิอาจถกเถียง แต่ท่านชี้แนะให้ฝ่าบาททรงแต่งตั้งฮองเฮาอย่างเต็มที่ สนับสนุนหวาเอ๋อร์ แต่นางเป็นลูกสะใภ้ของข้า ถูกอดีตฮ่องเต้ออกพระราชโองการหย่าร้างด้วยความคลุมเครือ นี่เป็นเรื่องในบ้านของข้า แต่ตอนนี้ฝ่าบาททรงแต่งตั้งฮองเฮากับเรื่องในบ้านข้าผสมเข้าด้วยกัน ข้าย่อมต้องมาต่อต้านสักครา” พระชายาอิงชินอ๋องพลันเกิดโทสะ มองเสนาบดีฝ่ายซ้ายด้วยแววตาเย็นชา

 

 

 

 

 

 

[1] *พิธีเจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าวัน มีต้นกำเนิดมาจากพุทธศาสนา เชื่อว่าเมื่อคนตายไปแล้วจะต้องเผชิญหน้ากับการพิพากษาภายในระยะเวลาสี่สิบเก้าวัน หากทำดีก็ได้ขึ้นสวรรค์ ทำชั่วก็ลงนรก หลายคนยังต้องชดใช้กรรมกว่าจะได้ไปเกิด พิธีนี้จึงจัดขึ้นเพื่อสวดมนต์ช่วยให้คนตายพ้นเคราะห์ในสี่สิบเก้าวันนี้