“พระชายา ท่านอย่าก่อกวนโดยไร้เหตุผล เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ผ่านไป ยังมีสิ่งใดคลุมเครืออีก ยามนี้คุณหนูฟางหวาเป็นอิสระ กลับเมืองมาพร้อมฝ่าบาทด้วยความสมัครใจ นั่งบนราชรถหยกคันเดียวกัน ทั้งตอนนี้ยังพำนักในวังหลวงแห่งนี้ หลายวันนี้ท่านได้พบคุณหนูฟางหวาหลายครั้ง นางมีความคิดจะกลับไปคืนดีกับจวนอิงชินอ๋องบ้างหรือไม่ ไม่มีกระมัง ดังนั้น กิจบ้านเมืองของฝ่าบาทกับเรื่องในบ้านของท่านย่อมไม่เกี่ยวข้องกัน” เสนาบดีฝ่ายซ้ายกล่าว
“ท่านเอาแต่พูดว่าไม่เกี่ยวข้องกัน เหตุใดถึงรีบร้อนขอให้ฝ่าบาททรงแต่งตั้งฮองเฮาเช่นนี้ ก่อนที่พระราชโองการหย่าร้างจะประกาศต่อใต้หล้า ลูกชายข้าเดิมทีมิเคยทราบเรื่องพระราชโองการหย่าร้างมาก่อน ตอนนี้เขาอยู่ห่างไกล จนป่านนี้ยังมิกลับมา หลายวันนี้จึงไม่มีโอกาสได้จัดการเรื่องนี้ หรือว่ายังไม่ถือเป็นการเสียภรรยาไปอย่างคลุมเครืออีกรึ” พระชายาอิงชินอ๋องมองเสนาบดีฝ่ายซ้ายด้วยความโกรธ
เสนาบดีฝ่ายซ้ายอึ้ง
“ลูกชายข้าถูกพวกท่านร้องขอให้ออกจากเมืองด้วยวิกฤตการณ์ที่เมืองหลินอัน ทว่าตอนนี้วิกฤตการณ์คลี่คลายแล้ว แต่ลูกชายข้าอยู่ที่ใด เสนาบดีฝ่ายซ้าย ข้าใช่ควรเอาความกับท่านหรือไม่” พระชายาอิงชินอ๋องมิรอให้เขาอ้าปากแย้งก็กล่าวต่อ
ใบหน้าเสนาบดีฝ่ายซ้ายทั้งเขียวคล้ำทั้งซีดขาว “ข้าเองก็อยากทราบ เห็นชัดว่าท่านอ๋องน้อยเจิงกับรองราชเลขาชุยไปแก้ไขวิกฤตการณ์ที่เมืองหลินอัน ออกตามหาสมุนไพรดำม่วง ทว่าจนป่านนี้ยังไร้ข่าวคราว เท่าที่ข้าทราบข่าวมา พวกเขาเดิมทีมิได้ไปยังเมืองหลินอัน” พูดจบก็กล่าวอีก “ตอนนี้พรมแดนเปิดฉากรบ ภายในวุ่นวายภายนอกถูกรุกราน ฝ่าบาทย่อมควรราชาภิเษกโดยเร็ว และควรแต่งตั้งฮองเฮาโดยเร็วด้วย เช่นนี้ถึงจะสร้างความมั่นคงให้ระบอบการปกครอง ปลุกขวัญกำลังใจให้เหล่าทหารที่พรมแดน ทำให้จิตใจของราษฎรสงบสุข พวกข้าแบ่งเบาภาระให้บ้านเมือง ย่อมต้องรีบร้อนเป็นธรรมดา”
“ท่านเอาแต่พูดว่าแบ่งเบาภาระบ้านเมือง แบ่งเบาภาระให้ฝ่าบาท ไฉนถึงมิไปรบที่พรมแดนเองเลยเล่า เมื่อใดที่ราชสำนักเกิดเรื่องก็มาหาลูกชายข้า เมื่อคลี่คลายปัญหาได้แล้วก็หาได้ไยดีลูกชายข้าไม่” พระชายาอิงชินอ๋อกล่าวด้วยโทสะ “เดือนก่อน ทั้งในและนอกเมืองหลวงเกิดคดีสังหารติดต่อกัน ไหนจะคดีสังหารคนในค่ายทหาร ล้วนเป็นลูกชายข้าที่ยุ่งไม่มีที่สิ้นสุด พอเมืองหลินอันประสบเคราะห์ สถานการณ์คับขันจวนตัว ก็มาขอร้องลูกชายข้าอีก เมื่อปัญหาคลี่คลายแล้วกลับลืมเขา ตอนนี้ยังช่วงชิงภรรยาเขาไปอีก เห็นว่าจวนอิงชินอ๋องของข้าไม่มีคนอยู่หรืออย่างไร ถึงได้รังแกกันเยี่ยงนี้”
เสนาบดีฝ่ายซ้ายตกตะลึงอีกหน
พระชายาอิงชินอ๋องกล่าวขึ้นอีก “แม้แต่ข้าที่เป็นสตรียังทราบว่าในเวลาแบบนี้ควรยุติความขัดแย้งที่พรมแดนก่อน แก้ไขเหตุคับขันที่พรมแดนให้สงบ ท่านเป็นขุนนางอาวุโสมาสองรัชสมัยแล้ว กลับรู้เพียงแค่ให้
ฝ่าบาททรงแต่งตั้งฮองเฮา ถ้าราษฎรใต้หล้ายังมิปลอดภัย ฝ่าบาทจะต้องการแผ่นดินไปอีกทำไมกัน เรียกได้ว่าจิตใจของประชาชนมุ่งไปทางใด นั่นคือสิ่งสำคัญที่ต้องทำ” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “เสนาบดีฝ่ายซ้าย ข้าว่าท่านเองก็แก่แล้ว ไร้ประโยชน์แถมยังเลอะเลือน นึกแต่วิธีการที่โง่เขลาออกมา มีท่านคอยช่วยเหลือฝ่าบาท ใต้หล้าก็ยิ่งบิดเบี้ยวขึ้น ไม่แน่ว่าแผ่นดินหนานฉินจะเป็นเช่นไร”
“ท่าน…” เสนาบดีฝ่ายซ้ายทั้งโกรธทั้งลนลาน “ท่านโหวเซี่ยยืนหยัดต่อสู้ที่พรมแดน ท่านอ๋องน้อยเจิงกับคุณหนูฟางหวามิเกี่ยวข้องกันอีกแล้ว ฝ่าบาททรงแต่งตั้งคุณหนูฟางหวาเป็นฮองเฮาไม่พอ ยังเป็นการให้กำลังใจสวมมงกุฎให้ท่านโหวเซี่ย หากท่านโหวเซี่ยขัดขวางกองทัพเป่ยฉีที่รุกรานแนวต้านทานได้สำเร็จ เช่นนั้นตระกูลเซี่ยยังต้องกังวลว่าจะไม่เจริญรุ่งเรืองอีกหรือ”
“ตระกูลเซี่ยยังต้องการความเจริญรุ่งเรืองใดอีก คนที่เกิดมาในตระกูลเซี่ยย่อมเห็นความหรูหราฟุ้งเฟ้อมาจนเคยชินตั้งแต่เกิดแล้ว” พระชายาอิงชินอ๋องราวกับพูดจนเหนื่อยแล้ว คร้านที่จะถกเถียงด้วยอีก จึงลั่นวาจาดุดันออกมา “ฝ่าบาทจะทรงแต่งตั้งผู้ใดเป็นฮองเฮาก็ได้ แต่มิอาจแต่งตั้งเซี่ยฟางหวา นางเป็นลูกสะใภ้ของจวนอิงชินอ๋องของข้า พระราชโองการหย่าร้างของอดีตฮ่องเต้นั้น จวนอิงชินอ๋องของเราไม่รับ ข้าจะบอกพวกท่านให้ อย่าได้หวังว่าจะแต่งตั้งนางเป็นฮองเฮาอีก เว้นเสียแต่จะสังหารข้าทิ้ง”
“ท่าน…” เสนาบดีฝ่ายซ้ายพูดไม่ออกโดยสิ้นเชิง
เหล่าขุนนางกลัดกลุ้มล้วนรู้สึกอกสั่นขวัญหาย
การกระทำของพระชายาอิงชินอ๋องเรียกได้ว่ากบฎ ทว่านางดันยืนอยู่ในวังหลวงแห่งนี้ด้วยสองขาของนางเอง นางเกิดมาในตระกูลชุยแห่งชิงเหอ เป็นตระกูลบุญหนักศักดิ์ใหญ่ที่สืบทอดกันมาหลายชั่วคน สามีของนางคืออิงชินอ๋องที่อยู่ในโถงราชสำนักตอนนี้ และมีตำแหน่งเป็นอ๋องช่วยบริหารบ้านเมืองที่อดีตฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งเอง ลูกชายของนางคือท่านอ๋องน้อยเจิงแห่งจวนอิงชินอ๋อง ตั้งแต่เกิดมาก็สามารถเดินกร่างในเมืองหลวงหนานฉินได้ ตัวนางเองยิ่งมีวาจารุนแรงมีอำนาจ สตรีมิได้ด้อยกว่าบุรุษ ทั้งยังมีฐานะเป็นป้าสะใภ้ของ
ฝ่าบาท และลูกสะใภ้ที่นางเอาแต่พูดถึง ในวันวานเคยเข้ากันได้ดีอย่างยิ่ง ราวกับเป็นแม่ลูกกันแท้ๆ
นางในตอนนี้ ขนาดเสนาบดีฝ่ายซ้ายยังแย้งมิได้ นับประสาอันใดกับผู้อื่น
นางให้ฝ่าบาททรงสังหาร ใช้ความตายมาบีบบังคับ ฝ่าบาทจะทรงสังหารนางจริงหรือ
นั่นเป็นไปมิได้
การสังหารนางจะทำให้เกิดคลื่นยักษ์ตามมา เดิมทีภายในปั่นป่วนภายนอกถูกรุกราน ราชสำนักและราษฎรในเมืองหลวงมิอาจรับคลื่นยักษ์ลูกใดได้อีกแล้ว
ขุนนางราชสำนักที่พอจะกระจ่างแจ้งล้วนรู้สึกว่า พระชายาอิงชินอ๋องผู้นี้เฉลียวฉลาดอย่างยิ่ง ฉวยโอกาสอันดีแบบนี้ชักนำสาธารณชน อ้างเรื่องฟ้องร้องอดีตฮ่องเต้เพื่อขัดขวางฝ่าบาทมิให้ทรงแต่งตั้งเซี่ยฟางหวาเป็นฮองเฮา
ไทเฮาแม้กำลังสวมเครื่องแต่งกายไทเฮา แต่ยามนี้เห็นพระชายาอิงชินอ๋องยืนอยู่ตรงข้ามกัน แม้สวมเพียงอาภรณ์สีเรียบ กลับยืนอยู่อย่างสง่างามด้วยท่าทางมิกลัวฟ้าดิน นางพลันรู้สึกว่า ชาตินี้ไม่ว่าเวลาใด เกรงว่าล้วนมิอาจต้านพระชายาอิงชินอ๋องได้เลย
พระชายาอิงชินอ๋องเทหมดหน้าตักยิ่งกว่านาง
นางอยู่ในวังหลวงมาหลายปี แม้บอกว่าหลิ่วไท่เฟยกับเฉินไท่เฟยเป็นไม้เลื้อยที่คอยพึ่งพาอดีตฮ่องเต้ นางไหนเลยจะมิใช่ด้วย ตอนนี้อดีตฮ่องเต้จากไปแล้ว นางก็แค่วาสนาดีกว่าพระสนมสองคนนั้น ลูกชายของนางได้เป็นฮ่องเต้ นางก็เป็นเพียงไม้เลื้อยที่พึ่งพาลูกชายด้วยเช่นกัน
นางตวัดพระเนตรมองฉินอวี้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ทองคำ ยามนี้เกรงว่าในใจเขาคงทำอันใดมิได้แล้วเช่นกัน ในใจทุกคนต่างทราบดี ความคิดของเสนาบดีฝ่ายซ้ายก็คือเจตนาของเขา ตอนนี้แม้พระชายาอิงชินอ๋องคุมเชิงเสนาบดีฝ่ายซ้าย แต่ในความเป็นจริงแล้วผู้ที่คุมเชิงด้วยคือเขา
สุดท้ายจะได้แต่งตั้งฮองเฮาหรือไม่ก็ลำบากแล้ว
วันนี้หากถอยก้าวหนึ่ง เช่นนั้นเกรงว่าหากเอ่ยถึงเรื่องนี้ในภายหลังจะยิ่งยากกว่าเดิม
นางพลันสูดหายใจเข้าลึกๆ ก้าวขึ้นมาก้าวหนึ่ง เอ่ยกับพระชายาอิงชินอ๋อง “ท่านพี่ ที่ท่านพูดมาก็มีเหตุผล แต่ที่เสนาบดีฝ่ายซ้ายพูดมาก็ใช่ว่าไม่มีเหตุผลเสียทีเดียว ถ้าเรายังถกเถียงกันต่อไปก็ยิ่งยากจะได้ข้อสรุป และยิ่งมิอาจผลักคุณหนูฟางหวากับท่านอ๋องน้อยเจิงออกไปได้ ถึงอย่างไรไม่ว่าเรื่องในวันวานหรือวันนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับพวกเขา ทั้งเจ้าและข้าล้วนเป็นผู้ใหญ่ มิสู้ให้เด็กๆ ตัดสินใจกันเอาเอง”
“ตัดสินใจอย่างไร ตอนนี้เจิงเอ๋อร์ของข้าไม่อยู่ในเมือง” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าวด้วยโทสะ
“เช่นนั้นเชิญคุณหนูฟางหวามาที่ตำหนักก่อน” ไทเฮาเอ่ยจบ มองไปยังฉินอวี้พบว่าใบหน้าเขามิแสดงอารมณ์ใด นางเป็นมารดาย่อมรู้จักลูกชายดี ทราบดีว่าเขาน่าจะไม่ชอบใจที่จะให้นางมาเผชิญหน้ากับเรื่องนี้ ด้วยเหตุนี้จึงเปลี่ยนคำพูด “หากนางมิอยากเข้าตำหนัก ก็ส่งคนไปถามความเห็นนาง”
“หากนางมีความลำบากใจอันใดที่ถูกบีบบังคับเล่า” พระชายาอิงชินอ๋องรีบกล่าว “ข้าไม่เชื่อคำพูดที่ออกจากปาก ข้าเชื่อเพียงจิตใจของคนเท่านั้น หวาเอ๋อร์รักเจิงเอ๋อร์ของข้าอย่างลึกซึ้ง เป็นไปได้อย่างไรที่จะทิ้งเขาไปออกเรือนกับผู้อื่น”
“ท่านพี่ ท่านพูดแบบนี้ก็มิถูกต้อง คำพูดที่ออกมาจากปากฟางหวาท่านยังไม่เชื่อ เช่นนั้นท่านเชื่อในสิ่งใด หรือว่าจะขัดขวางบุพเพสันนิวาสของฝ่าบาทจริงๆ แม้ท่านเป็นพี่สะใภ้ ใครก็ทำอันใดท่านมิได้ แต่ก็ควรเคารพความรู้สึกของพวกลูกๆ ด้วย” ไทเฮาเอ่ย
“รอเจิงเอ๋อร์กลับมาก่อน หากเขากลับมาแล้วมิได้สอดปากเรื่องฝ่าบาททรงแต่งตั้งหวาเอ๋อร์เป็นฮองเฮาแต่อย่างใด มิหนำซ้ำยังเห็นด้วยกับเรื่องนี้ เช่นนั้นข้าถึงจะเชื่อว่าพวกเขาหมดเยื่อใยต่อกันแล้ว ไร้วาสนาต่อกันตลอดกาล ข้าก็จะไม่พูดอันใดอีก” พระชายาอิงชินอ๋องกัดฟัน เอ่ยปากกล่าว “ถึงตอนนั้น ข้าจะเป็นคนแรกที่มอบของขวัญอวยพรเอง”
ด้วยความนุ่มนวลหายากของไทเฮา นางย่อมไม่อยากบีบบังคับจนเกินไปเช่นกัน หากมิใช่ว่าวันนี้ได้ยินว่าแม้แต่ไทเฮายังเข้ามาในตำหนักได้ ตนเดาว่าต้องมาเพื่อเรื่องแต่งตั้งฮองเฮาเป็นแน่ นางต้องสนับสนุนอย่างเต็มที่ เช่นนั้นอิงชินอ๋องก็ย่อมมิใช่คู่ต่อสู้อีกต่อไป มิอาจกล่าวคำใดได้ ดังนั้นนางที่ทนไม่ไหวแล้วก็ต้องมาเอง
สิ่งที่นางต้องการมีเพียงฝ่าบาททรงรับปากว่าจะรอฉินเจิงกลับมาก่อน
เหล่าขุนนางได้ยินเช่นนั้นก็มองฝ่าบาท
เสนาบดีฝ่ายซ้ายเองก็ลอบตวัดตามองไปยังฝ่าบาทซึ่งอยู่ข้างบน ความร้ายกาจของพระชายาอิงชินอ๋องเขามิได้รู้ซึ้งเป็นครั้งแรก แท้จริงแล้วไม่เข้าใจนัก คนผู้หนึ่งที่โดยปกติแลดูอ่อนโยนนั้น เมื่อถึงคราวต้องปกป้องลูกชายขึ้นมา ไฉนถึงได้ยอมเทหมดหน้าตักเช่นนี้ สตรีทั่วไปย่อมทำมิได้แน่นอน
หลังการถกเถียงอันดุเดือดจบลง ตำหนักใหญ่ก็ตกอยู่ในความเงียบอันน่าประหลาด
ทุกคนล้วนรอให้ฝ่าบาทเปล่งวาจาแสดงความเห็น
ผ่านไปพักหนึ่ง ฉินอวี้ก็ค่อยๆ เอ่ยกับพระชายาอิงชินอ๋อง “สิ่งที่ท่านป้าพูดมานั้นมีเหตุผล เดิมทีเราก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเหตุใดอดีตฮ่องเต้ถึงทรงออกพระราชโองการหย่าร้าง แต่เราก็ขอพูดโดยมิปิดบังเช่นกัน เรามีใจชอบฟางหวาตลอดมา ท่านป้าเองก็ทราบเรื่องนี้ดี ยามนี้นางไร้พันธะ เมื่อเราราชาภิเษก ย่อมอยากแต่งตั้งนางเป็นฮองเฮา”
พระชายาอิงชินอ๋องได้ยินเช่นนั้นก็หนักใจ ฉินอวี้กล้าเอ่ยเรื่องชอบพอต่อหน้าขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งราชสำนัก นับว่าบริสุทธิ์ใจเทหมดหน้าตักแล้วเช่นกัน เพราะความบริสุทธิ์ใจนี้เองที่ทำให้ไม่มีใครกล้ากล่าวประณาม อีกอย่างฟางหวาก็ไร้พันธะจึงมิอาจถูกกล่าวหาว่าเขาแย่งภรรยาของพี่น้องได้
ฉินอวี้หยุดเว้นช่วงแล้วเอ่ยต่อ “เรารับปากท่านป้าก็ได้ว่าจะพักเรื่องนี้ไว้ก่อนชั่วคราว โดยมีวันราชาภิเษกของเราเป็นกำหนดเวลา หากถึงวันราชาภิเษกแล้วแต่ฉินเจิงยังไม่กลับมาสอดปากกล่าวต่อเรื่องนี้ เราจะแต่งตั้งฟางหวาเป็นฮองเฮา เวลาเท่านี้คงเพียงพอแล้วกระมัง”
พระชายาได้ยินเช่นนี้ก็มองไปยังอิงชินอ๋อง
อิงชินอ๋องถอนหายใจใส่นาง คิดเช่นกันว่าวันนี้นางก่อความวุ่นวายระหว่างว่าราชสำนักยามเช้า ฉินอวี้มิเพียงแต่ไม่ตำหนิ กลับยังกำหนดเวลา นับว่าไว้หน้ามากแล้วเช่นกัน
พระชายาอิงชินอ๋องคำนวณวันในใจ แม้มีเวลาไม่มาก แต่หากฉินเจิงทราบข่าวแล้วรีบกลับเมือง ด้วยความสามารถของเขาก็น่าจะเหลือเฟือ แต่หากเขากลับมามิได้ นางซึ่งเป็นมารดาก็ทำเต็มที่แล้ว มิอาจกล่าวคำใดได้อีก นางกัดฟันตอบ “ตกลง ขอบพระทัยฝ่าบาท หม่อมฉันรับปากว่า หากถึงวันราชาภิเษกแล้วเขายังมิกลับมา หม่อมฉันจะเตรียมของขวัญล้ำค่าเพื่อแสดงความยินดีที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้งฮองเฮาแน่นอน”