การถกเถียงเรื่องแต่งตั้งฮองเฮาในการว่าราชสำนักยามเช้าปิดม่านลงด้วยข้อตกลงระหว่างฉินอวี้กับพระชายาอิงชินอ๋อง
เมื่อเลิกว่าราชการ ฉินอวี้ก็เสด็จกลับไปยังตำหนักของตนเอง
เซี่ยฟางหวาทราบข่าวเรื่องพระชายาอิงชินอ๋องเข้ามาสร้างความวุ่นวายในตำหนักจินหลวนขณะว่าราชการยามเช้าแล้ว ประจวบเหมาะที่ดื่มยาขมเฝื่อนหมดถ้วยพอดี นางส่งถ้วยเปล่าให้ซื่อฮว่า ก่อนยกมือนวดหว่างคิ้ว
เมื่อฉินอวี้มาถึง ซื่อฮว่ากับซื่อม่อก็รีบออกไปต้อนรับ
ฉินอวี้ยกมือก่อนข้ามธรณีประตูเข้ามาในห้อง เห็นสีหน้าเซี่ยฟางหวาไม่ค่อยดีนักจึงเอ่ยถามด้วยเสียงอ่อนโยน “เจ้าคงได้ยินเรื่องว่าราชการยามเช้าแล้ว”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
ฉินอวี้นั่งลงตรงข้ามนาง ฝืนหัวเราะอยู่ครู่หนึ่ง “ท่านป้าฟ้องร้องต่ออดีตฮ่องเต้ นับว่ามิเคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติการณ์ ตั้งแต่เด็กข้านึกอิจฉาฉินเจิงที่ได้เกิดมาในจวนอิงชินอ๋อง”
เซี่ยฟางหวามิแสดงความเห็น
“เมื่อคืนเหยียนเฉินกับข้าเตรียมการไว้แล้ว แต่จะขัดขวางเขาได้หรือไม่นั้นมิอาจบอกได้” ฉินอวี้มองนาง “แต่ไม่ว่าอย่างไร ให้กรมอาภรณ์หลวงมาวัดตัวเจ้าเพื่อตัดชุดก่อนดีกว่า”
“เจ้าเตรียมพร้อมก็ดีแล้ว” เซี่ยฟางหวาผงกศีรษะ
ฉินอวี้พยักหน้า นั่งต่ออีกพักใหญ่ ก่อนลุกขึ้นไปยังห้องทรงอักษร
เมื่ออิงชินอ๋องเลิกว่าราชการแล้วก็พาพระชายากลับจวน หลังกลับมาถึงก็ปิดปะตูห้อง กล่าวขึ้นอย่างทำอันใดมิได้ “ไฉนเจ้าถึงเกิดความคิดแบบนี้ขึ้นมาได้”
“นอกจากวิธีการนี้ ข้าก็นึกวิธีการอื่นไม่ออกแล้ว” พระชายาอิงชินอ๋องรีบตอบ
“ไฉนเจ้าถึงทำให้ตัวเองต้องลำบาก ข้าว่าหวาเอ๋อร์ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะออกเรือนกับฝ่าบาท ฝ่ายหนึ่งสมัครใจแต่ง อีกฝ่ายก็ยอมออกเรือนด้วย ถึงขวางได้เวลาหนึ่ง แต่จะขวางได้นานเท่าไร” อิงชินอ๋องมองนาง
“แม้ข้ากับหวาเอ๋อร์มิใช่แม่ลูกกัน แต่จากที่ได้อยู่ด้วยกันตลอดหลายวันนั้น ข้าก็เกือบจะรู้จักนิสัยนางดี เมื่อประสบปัญหานางก็กล้ำกลืนฝืนทน มีความอดทนเป็นที่ตั้ง ข้าเชื่อว่านางจะต้องมีความลำบากใจที่ไม่มีทางเลือกเป็นแน่” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าวด้วยโทสะ
“จะมีความลำบากใจใดได้ เจ้าหมายถึงเพื่อจวนจงหย่งโหว ตระกูลเซี่ยหรือ” อิงชินอ๋องมองนาง
“จนป่านนี้ยังมิทราบที่อยู่ของโหวเหยียผู้เฒ่าแน่ชัด มิรู้ว่าไปที่ใดแล้ว ข้าเคยลอบส่งคนไปสืบข่าว ได้ความว่าเดิมทีมิได้ไปทะเลบูรพา หลังออกจากเมืองไปได้สิบวัน ร่องรอยก็หายไป” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าว “น่าจะเป็นการจัดการของหวาเอ๋อร์ นางให้จวนจงหย่งโหวหายไปจากใต้หล้าอย่างแท้จริง ซ่อนตัวในที่ที่ไม่มีใครหาพบ ตอนนี้ในเมืองเหลือเพียงแค่เรือนหก พรมแดนม่อเป่ยเหลือแค่เซี่ยม่อหานคนเดียว หากบอกว่าเพื่อตระกูลเซี่ย คงมิต้องทำถึงขนาดนี้ ถึงอย่างไรอดีตฮ่องเต้ก็สวรรคตไปแล้ว ฝ่าบาทมิได้มีเจตนากำจัดตระกูลเซี่ยอีก ตระกูลเซี่ยไม่ว่าจะในภาคราชสำนักหรือภาคประชาชนล้วนสงบมั่นคงแล้ว”
“ใช่แล้ว ตระกูลเซี่ยแม้เสียหายไปมิน้อยในหลายปีนี้ แต่ตอนนี้ถือว่าถอนตัวออกไปอย่างสงบ นางแยกตระกูลและบรรพบุรุษออกก่อน ตามมาด้วยย้ายพวกโหวเหยียผู้เฒ่าในจวนจงหย่งโหวออกจากเมือง จวนจงหย่งโหวแม้ดูแล้วกลายเป็นเพียงจวนเปล่า แต่พวกเราต่างทราบดีว่าอำนาจจากที่แจ้งนั้นได้ซ่อนเข้าสู่ที่ลับแล้ว” อิงชินอ๋องกล่าว “ตอนนี้เรียกได้ว่าจวนจงหย่งโหวสงบมั่นคงแล้ว นางยังมีความลำบากใจหรือความกังวลใดอีก”
“บางทีอาจยังมีส่วนที่เราคาดมิถึง” พระชายาอิงชินอ๋องครุ่นคิด
“ส่วนใด” อิงชินอ๋องคิดไม่ออก
“ท่านลองคิดดูสิ หลังนางกับเจิงเอ๋อร์สมรสกัน ทั้งในและนอกเมืองเกิดเหตุการณ์ขึ้นมากเท่าไร แต่ตอนนี้เล่า ตั้งแต่นางออกจากเมือง มุ่งหน้าไปยังเมืองหลินอัน หลังคลี่คลายวิกฤตการณ์ที่เมืองหลินอันได้ นอกจากการระดมกำลังที่พรมแดนม่อเป่ย หลายวันนี้ในเมืองหลวงมิใช่ว่าสงบมากหรือ” พระชายาอิงชินอ๋องถาม
อิงชินอ๋องพยักหน้า “ช่วงนี้ไม่เกิดเหตุการณ์ใดขึ้นอีกเลย” หยุดเว้นช่วงแล้วกล่าวต่อ “แต่ข้าได้ยินว่าเพราะฝ่าบาทกับหวาเอ๋อร์ร่วมมือกันกำจัดคนกลุ่มหนึ่งที่ภูผาวกวน ความสงบในเมืองกับผู้อยู่เบื้องหลังเหล่านั้นต้องมีความเกี่ยวข้องกันแน่”
“นี่ต้องใช่แน่” พระชายาอิงชินอ๋องไตร่ตรองกล่าว “พอหวาเอ๋อร์ออกจากเมือง ในเมืองก็สงบสุขทันใด ใช่อธิบายได้ว่าคนเหล่านั้นพุ่งเป้ามาที่นางหรือไม่ นางไม่อยากให้พัวพันมาถึงจวนอ๋องของเรา จึงจำใจบีบบังคับให้ฝ่าบาทออกพระราชโองการหย่าร้าง ตอนนี้คงเป็นเพราะอำนาจเบื้องหลังมิอาจกำจัดได้หมด นางจึงกลับเมืองมาพร้อมฝ่าบาท…”
“สิ่งที่เจ้าคาดการณ์ก็ค่อนข้างมีเหตุผล แต่สักแค่เดาคงมิได้” อิงชินอ๋องนวดหน้าผาก “สิ่งที่ควรกังวลตอนนี้คือเจิงเอ๋อร์จะกลับมาทันวันราชาภิเษกของฝ่าบาทหรือไม่”
พระชายาอิงชินอ๋องได้ยินเช่นนั้นก็กลุ้มใจ “พวกเราเห็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเติบโตมาตั้งแต่เด็ก นิสัยของพระองค์ทั้งท่านและข้าต่างรู้จักดี ต้องมีการเตรียมการไว้แล้วเป็นแน่ มิฉะนั้นคงไม่ตกปากรับคำข้อตกลงที่รอเจิงเอ๋อร์กลับมาก่อนวันราชาภิเษกกับข้าอย่างง่ายดาย”
อิงชินอ๋องพยักหน้า “ก่อนฝ่าบาทจะราชาภิเษก เกรงว่าคงไม่อยากให้เจิงเอ๋อร์กลับมาก่อกวน”
พระชายาอิงชินอ๋องผงกศีรษะ “หากพระองค์จะอภิเษกสมรสกับสตรีคนใดในเมืองหลวงหนานฉินข้าก็มิก้าวก่าย เจิงเอ๋อร์จะกลับมาทันหรือไม่ก็ย่อมได้ แต่คนที่พระองค์จะแต่งตั้งเป็นฮองเฮาคือหวาเอ๋อร์ หากเรื่องนี้ไม่กระจ่าง ข้าก็ไม่ยอมให้พระองค์อภิเษกสมรสเด็ดขาด”
อิงชินอ๋องถอนหายใจออกมา
“ฝ่าบาทต้องเตรียมการขัดขวางเจิงเอ๋อร์กลับมา เราต้องส่งคนออกไปรับมือ” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าว
อิงชินอ๋องได้ยินเช่นนั้นก็ถลึงตาใส่ “เจ้าจะให้คนของจวนอ๋องไปต่อต้านกับคนของฝ่าบาทรึ” พูดจบ เขาก็ส่ายหน้า “มิได้ ตอนนี้พรมแดนมีการระดมกำลัง อยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก จวนอ๋องกับฝ่าบาทมิอาจขัดแย้งกันภายในได้”
“ท่านรู้จักเพียงปกป้องแผ่นดินหนานฉิน แต่สิ่งที่ฝ่าบาทจะช่วงชิงไปคือลูกสะใภ้ของท่าน พระองค์ยังพะว้าพะวงเรื่องระดมกำลังที่พรมแดนอีกหรือ ยังพะว้าพะวงเรื่องมิอาจขัดแย้งกันภายในหรือไม่” พระชายาถลึงตามองกลับ
“เจ้า…” อิงชินอ๋องตะลึง “ฝ่าบาทก็ไม่แน่ว่าจะขวางเจิงเอ๋อร์ได้”
“ไฉนถึงขวางมิได้ พระองค์ต้องขวางได้เป็นแน่” พระชายาอิงชินอ๋องมั่นใจ
“อำนาจในมือฝ่าบาทหากจะต่อกรกับอำนาจในมือเจิงเอ๋อร์ ด้วยสถานการณ์ในหนานฉินของเราตอนนี้จะเกิดความเสียหายอย่างแท้จริง ฝ่าบาทจะมิปราดเปรื่องแบบนี้มิได้” อิงชินอ๋องมองนาง
“ในสายตากับพระราชหฤทัยของพระองค์มีเพียงหวาเอ๋อร์ เพื่อนางแม้แต่ตำแหน่งจักรพรรดิก็เกือบจะไม่ต้องการแล้ว ความปราดเปรื่องของพระองค์เมื่อเป็นเรื่องหวาเอ๋อร์แล้วเป็นเพียงการคุยโวเท่านั้น” พระชายาอิงชินอ๋องเอ่ยเด็ดขาด “ท่านไม่เห็นด้วยมิได้ แค่ข้าไม่ใช้กำลังจวนอ๋องก็พอแล้วใช่ไหม เช่นนั้นข้าจะใช้กำลังของตระกูล”
อิงชินอ๋องได้ยินเช่นนั้นก็จนปัญญา “เช่นนั้นก็ได้”
พระชายาอิงชินอ๋องแค่นเสียงในลำคอ ก่อนหมุนตัวออกไปสั่งงานเป็นการส่วนตัว
อิงชินอ๋องนั่งหน้าโต๊ะ ถอนหายใจยาวเหยียดออกมา
วันเดียวกันนั้นเอง กรมพิธีการก็เริ่มจัดเตรียมพระราชพิธีราชาภิเษกของฝ่าบาท ฉินอวี้มีคำสั่งให้กรมพิธีการจัดเตรียมพิธีแต่งตั้งฮองเฮาพร้อมกับราชาภิเษกด้วย กรมพิธีการได้แต่รับปากอย่างเดียว ทั้งยังมีคำสั่งให้กรมอาภรณ์หลวงทำการตัดเย็บชุดพิธีการสำหรับฮองเฮาด้วย
สี่วันให้หลัง พรมแดนส่งข่าวกลับมาว่า หวางกุ้ยนำทหารสองแสนนายไปถึงม่อเป่ยและเข้าสมทบกับเซี่ยม่อหานแล้ว
ทหารสองแสนนายแม้เดินทางมาอย่างยากลำบาก ทว่ามิได้ท้อแท้แต่อย่างใด ขวัญกำลังใจเต็มเปี่ยม
คืนนั้นทัพเป่ยฉียกทัพมาโจมตีทัพม่อเป่ยอีกครั้ง มีทหารสองแสนนายของหวางกุ้ยคอยสนับสนุนนับเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ทัพเป่ยฉีมิอาจได้เปรียบอีก
เมื่อข่าวส่งกลับมา ทุกคนต่างพากันชื่นชมว่าตระกูลหวางเป็นอูฐที่ผอมตายยังตัวใหญ่กว่าม้า แม้มิได้อยู่ในราชสำนักมาหลายปี แต่เมื่อถึงเวลาต้องใช้งานอย่างจริงจัง ก็ยังคงแสดงความสามารถอย่างเมื่อสองร้อยปีก่อนได้
ในระหว่างนั้น ฉินอวี้กับเซี่ยฟางหวาหารือกันเรื่องโยกย้ายทหาร เพื่อเดินทางไปสนับสนุนที่พรมแดนม่อเป่ยอีกครั้ง ทว่าใครจะเป็นผู้นำทัพนั้น จำต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อน
ผู้ที่เหมาะสมในราชสำนักตอนนี้ ไม่มีผู้ใดพร้อมที่จะบัญชาการ
ฉินอวี้จึงนำเรื่องนี้ไปหารือกับเหล่าขุนนางตอนว่าราชการยามเช้า ดูว่าเหล่าขุนนางจะแนะนำใครบ้าง
เสนาบดีฝ่ายซ้ายก้าวออกจากแถว “ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าหลี่มู่ชิงแห่งจวนเสนาบดีฝ่ายขวาเหมาะที่จะรับหน้าที่นี้ เขามีพร้อมทั้งบุ๋นบู๊ บุ๋นทำให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง บู๊ทำให้บ้านเมืองสงบสุข เป็นคนมีพรสวรรค์ซึ่งหาได้ยาก อีกอย่างเขามีนิสัยใจเย็นสุขุม มีความสันพันธ์อันดีกับท่านโหวเซี่ยแห่งจวนจงหย่งโหว หากส่งเขาไปนำทัพต้องต้านทัพเป่ยฉีได้แน่พ่ะย่ะค่ะ”
เสนาบดีฝ่ายขวามองเสนาบดีฝ่ายซ้าย นึกไม่ถึงว่าเสนาบดีฝ่ายซ้ายจะแนะนำบุตรชายของตน ค่อนข้างเหนือความคาดหมายยิ่ง เขาเดิมทีอยากให้บุตรชายเป็นขุนนางบุ๋น อนาคตจะได้สืบทอดตำแหน่งของตน ยิ่งไปกว่านั้นฝ่าบาทก็ทรงรับปากไว้ตอนถอนหมั้นแล้ว แต่หากนำทัพ บุตรชายตนเพียบพร้อมทั้งบุ๋นบู๊ สนิทสนมกับเซี่ยม่อหาน อย่างไรก็ได้รับหน้าที่สำคัญเช่นกัน เมื่อเห็นว่าทุกคนล้วนกำลังมองตน จึงก้าวออกจากแถว “ฝ่าบาท บุตรชายกระหม่อมไม่อยู่ในเมืองมาเดือนเศษแล้ว จนป่านนี้ยังมิกลับมาพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าได้ยินว่าหลี่มู่ชิงกำลังเดินทางกลับมา อีกไม่นานคงมาถึง” เสนาบดีฝ่ายซ้ายกล่าว
เสนาบดีฝ่ายขวาได้ยินเช่นนั้นก็ไตร่ตรองครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวขึ้น “หากเขาใกล้กลับมาถึงแล้ว ได้รับหน้าที่อันสำคัญนี้ กระหม่อมก็ไม่มีปัญหาพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าบาททรงคิดว่าหลี่มู่ชิงเป็นเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายมองไปยังฉินอวี้
ฉินอวี้พยักหน้า “หลี่มู่ชิงเพียบพร้อมทั้งบุ๋นบู๊ หากเขาใกล้กลับมาถึงแล้ว มีเขานำทัพไปม่อเป่ยย่อมดียิ่ง” หยุดชั่วครู่แล้วเอ่ยต่อ “เราได้ยินว่าท่านโหวน้อยเยี่ยนก็กลับมาพร้อมหลี่มู่ชิงด้วย”
เสนาบดีฝ่ายซ้ายชะงัก ทันใดนั้นก็เข้าใจ รีบกล่าวคล้อยตาม “ทูลฝ่าบาท ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ ท่านโหวน้อยเยี่ยนแห่งจวนหย่งคังโหวก็กลับมาพร้อมกันด้วย”
“หากเราให้หลี่มู่ชิงกับเยี่ยนถิงไปสนับสนุนทัพม่อเป่ยด้วยกัน มิรู้ว่าหย่งคังโหวกับฮูหยินจะอาวรณ์หรือไม่” ฉินอวี้เอ่ย
เสนาบดีฝ่ายซ้ายกับเสนาบดีฝ่ายขวามองหน้ากัน แล้วมองไปยังตำแหน่งที่หย่งคังโหวยืนในเวลาปกติ ตอนนี้เขายังอยู่จัดการเรื่ององค์ชายสามกับองค์ชายห้าที่ราชสุสาน ยังมิได้กลับมา
ราชเลขากรมกลาโหมก้าวออกจากแถว โน้มตัวทูลกล่าว “กระหม่อมได้ยินว่าหลังท่านโหวน้อยเยี่ยน
ออกจากเมืองหลวงก็ไปยังเป่ยฉี และพักที่จวนพระมาตุลาแห่งเป่ยฉีตลอดมา เขาเพิ่งกลับมาเป่ยฉีก็มีการระดมกำลัง ท่านโหวน้อยเยี่ยนเกรงว่าจะไม่เหมาะสม…”
“ท่านมิต้องกังวลเช่นนี้ ท่านโหวน้อยเยี่ยนถึงแม้เคยไปอยู่เป่ยฉีเวลาหนึ่ง แต่ก็มีไมตรีกับพระมาตุลาแห่งเป่ยฉีเช่นกัน มิฝักใฝ่ในเรื่องการเมือง เราเชื่อจวนหย่งคังโหว เชื่อใจท่านโหวน้อยเยี่ยน” ฉินอวี้พลันแย้มสรวล
ราชเลขากรมกลาโหมได้ยินเช่นนั้นก็รีบกล่าว “เป็นกระหม่อมกังวลเกินไป”
“เช่นนี้แล้วกัน จัดการแบบนี้ไปก่อน ที่ค่ายใหญ่เขาตะวันตกก็ตรวจสอบทหารให้พร้อม รอหลี่มู่ชิงกับเยี่ยนถิงกลับมาค่อยตัดสินใจอีกครั้ง” ฉินอวี้เอ่ยอีก
เหล่าขุนนางผงกศีรษะพร้อมเพรียงกัน