เมื่อเลิกว่าราชการ ฉินอวี้ก็ตรงไปยังตำหนักที่เซี่ยฟางหวาพำนักอยู่
เซี่ยฟางหวากำลังขมวดคิ้วจ้องถ้วยยาเขม็ง
ฉินอวี้ข้ามธรณีประตูเข้ามา จึงเห็นว่านางกำลังนั่งเท้าคางหน้าโต๊ะพลางขมวดคิ้วมองถ้วยยาเบื้องหน้า อากัปกิริยานี้ช่างดูสมกับเป็นบุตรีในตระกูลยิ่ง ชวนให้เขาค่อนข้างแปลกใจ อดมิได้ที่จะหัวเราะออกมา “ยาถ้วยนี้มีอันใดหรือ ถึงทำให้เจ้าอยู่ในสภาพนี้”
เซี่ยฟางหวาเห็นเขามาก็ลดมือลง กล่าวอย่างจนใจ “ก่อนเหยียนเฉินไปได้คำนวณวันไว้แล้ว วันนี้จึงเปลี่ยนเทียบยาให้ข้า ยานี้เป็นยาที่ข้าเกลียดที่สุด”
“ทุกครั้งข้าเห็นเจ้าดื่มยาเหมือนดื่มน้ำ นึกไม่ถึงว่ามียาที่เจ้าไม่ชอบด้วย” ฉินอวี้หลุดแย้มสรวล
“แน่นอนว่ามี” เซี่ยฟางหวาถลึงตาใส่
ฉินอวี้ยกยาถ้วยนั้นขึ้นมาดม ก่อนวางลงตรงหน้านางใหม่ “ข้ามิอาจดื่มแทนเจ้าได้ หากดื่มแทนได้ก็ดี”
เซี่ยฟางหวามองด้วยสายตารังเกียจ ก่อนดันถ้วยยาออกห่างเล็กน้อยอีกหน
“ถ้าไม่ดื่มประเดี๋ยวก็เย็นเสียก่อน” ฉินอวี้มองนางด้วยความขำขัน
เวลานี้ซื่อฮว่าที่อยู่หน้าประตูก็กล่าวเสียงเบา “ฝ่าบาท ท่านมีวิธีทำให้คุณหนูยอมดื่มยาถ้วยนี้หรือไม่
เพคะ ยาถ้วยนี้ถูกอุ่นมาสามครั้งแล้ว หากยังมิดื่มก็ต้องนำไปอุ่นใหม่อีกหน คุณชายเหยียนเฉินกำชับไว้ว่าต้องดื่ม ไม่ดื่มมิได้ หากคุณหนูนำไปเททิ้งก็ให้พวกเราต้มมาใหม่ ทำเช่นนี้จนกว่านางจะดื่มเพคะ”
“ถ้าเจ้าไม่พูด ช่วยข้าเปลี่ยนยาสักตัว เขาไหนเลยจะรู้” เซี่ยฟางหวาถลึงตามองซื่อฮว่า
“คุณชายเหยียนเฉินบอกไว้แล้ว ยาตัวนี้จำเป็นต้องมี ถึงท่านเปลี่ยนเป็นตัวใดก็มิได้ผลเท่าตัวนี้”
ซื่อฮว่ามองเซี่ยฟางหวาด้วยความลำบากใจ นางคิดมาตลอดว่าการรับใช้คุณหนูนั้นง่ายมาก มิเคยปฏิเสธสิ่งใด แต่ไม่นึกเลยว่าอย่างไรก็ไม่ยอมดื่มยานี้
“ในเมื่อเป็นยาจำเป็นก็ดื่มเถิด” ฉินอวี้ยกถ้วยยายื่นให้นาง
เซี่ยฟางหวาเบือนหน้าหนี
ฉินอวี้มองนางด้วยความขำขันยิ่งกว่าเดิม ครุ่นคิดแล้วเอ่ยออกมา “ถ้าเจ้ารีบดื่มยาถ้วยนี้ ข้ามีเรื่องจะคุยด้วย”
“เจ้าพูดมาเสียตอนนี้” เซี่ยฟางหวามองเขา
“ก่อนเหยียนเฉินไปย้ำกับข้าว่ามิให้นำเรื่องมาสร้างความกังวลให้เจ้ามากเกินไป ถ้าเจ้าไม่ยอมดื่ม ข้าก็จะไม่พูด” ฉินอวี้ส่ายหน้า
เซี่ยฟางหวามองค้อนเขา ยกถ้วยยาขึ้นมาแล้วใช้มืออีกข้างบีบจมูกแน่น ก่อนดื่มยาถ้วยนี้ลงไปราวกับใช้พละกำลังมาก เมื่อยาลงสู่ท้อง นางก็ผละออกจากที่นั่ง วิ่งไปยังหน้ากระโถนแล้วเกิดคลื่นไส้ขึ้นมา
ฉินอวี้ชะงักไปครู่หนึ่ง
เซี่ยฟางหวาอาเจียนเป็นนานจนน้ำตาไหล หลังจากนั้นก็หมุนตัวกลับมา กล่าวด้วยความแค้นเคือง “ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อสัมผัสยาตัวนี้ก็เกิดอาเจียน เหยียนเฉินรู้ทั้งรู้ แต่ก็ยังให้ข้าดื่มอีก”
“อาเจียนตลอดเลยหรือ” ฉินอวี้ยืนขึ้น เดินมาหานาง
“ไม่ตลอด” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า
ฉินอวี้โล่งใจ “มิได้อาเจียนตลอดก็ดีแล้ว มิฉะนั้นยาตัวนี้คงดื่มมิได้จริงๆ” เอ่ยจบก็หยิบผ้าเช็ดหน้ามายื่นให้นาง “เช็ดน้ำตาเสีย”
เซี่ยฟางหวาไม่รับ แต่หยิบผ้าเช็ดหน้าจากอกเสื้อตนเองมาซับน้ำตา ก่อนกล่าวกับเขา “พูดมาเถิด มีเรื่องใดหรือ”
ฉินอวี้ดึงมือกลับ เก็บผ้าเช็ดหน้าแล้วเดินกลับไปนั่งใหม่ ก่อนเอ่ยกับนาง “ว่าราชการยามเช้าวันนี้ เสนาบดีฝ่ายซ้ายเสนอว่า ราชสำนักควรรีบส่งทัพเดินทางไปม่อเป่ย หากเป่ยฉีมีการโยกย้ายทหารเพิ่มอีก ทหารสองแสนนายของหวางกุ้ยคงต้านได้เพียงเวลาหนึ่งเท่านั้น เขาบอกว่าหลี่มู่ชิงใกล้กลับมาแล้ว ควรส่งเขานำทัพเดินทางไปม่อเป่ย”
“เสนาบดีฝ่ายซ้ายเสนอหรือ” เซี่ยฟางหวาได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้ว
ฉินอวี้พยักหน้า
เซี่ยฟางหวาเม้มปาก เงียบลงพักหนึ่งแล้วถามขึ้น “โดยใช้ทหารจากค่ายใหญ่เขาตะวันตก”
“นอกจากค่ายใหญ่เขาตะวันตก ใกล้เมืองหลวงก็ไม่มีทหารอื่นที่ใช้การได้แล้ว” ฉินอวี้ตอบ
“มิได้ ห้ามใช้ทหารค่ายใหญ่เขาตะวันตก” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า
ฉินอวี้มองนาง เห็นว่านางยืนหยัดเช่นนี้ จึงอดมิได้ที่จะถามขึ้น “เพราะเหตุใด เจ้าคิดว่ามีตรงไหนไม่เหมาะสมหรือ”
“ไม่เหมาะสม” เซี่ยฟางหวาตอบ “เป่ยฉีระดมกำลังเป็นเวลา ทหารสามแสนนายในม่อเป่ย ผนวกกับทหารอีกสองแสนนายที่โยกย้ายจากละแวกเมืองหลินอัน ห้าแสนนายแม้ไม่มากแต่ก็ไม่น้อย มีท่านพี่กับ
หวางกุ้ยอยู่ย่อมเพียงพอที่จะต้านเป่ยฉีได้เวลาหนึ่งแล้ว หากโยกย้ายทหารในแถบชานเมืองใกล้เมืองหลวงตอนนี้ หากมีคนฉวยโอกาสนี้ก่อความไม่สงบในเมืองหลวงจะรับมือเช่นไร”
ฉินอวี้ชะงักไป ไตร่ตรองพักหนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “เจ้าคิดว่าจะมีคนฉวยโอกาสโจมตีเมืองหลวง”
“ตอบยาก” เซี่ยฟางหวาตอบ
หน้าของฉินอวี้นิ่งขรึมลงทันใด “เจ้า ข้า เหยียนเฉิน และเซี่ยอวิ๋นจี้ได้สังหารคนไปจำนวนหนึ่งที่ช่องแคบในภูผาวกวน หรือว่ายังมีผู้เก่งกาจคนใดยังไม่ออกมาอีก”
“อย่างไรก็ต้องเตรียมพร้อมรับมือในกรณีฉุกเฉิน มิอาจโยกย้ายทหารในค่ายใหญ่เขาตะวันตกออกจากเมืองหลวงได้ ทหารเหล่านี้ประจำการที่ชานเมือง สิ่งที่ยึดมั่นระหว่างฝึกฝนตลอดมาคือการปกป้องเมืองหลวง ไม่เหมาะกับการเดินทางลุยน้ำข้ามเขาไปร่วมรบที่ม่อเป่ย” เซี่ยฟางหวามองเขา
“มีเหตุผลเช่นกัน” ฉินอวี้พยักหน้า “แต่จะมีทหารส่วนใดที่โยกย้ายได้อีก”
“เหตุใดถึงต้องโยกทหารไปรับมือ ใช้วิธีการอื่นมิได้หรือ” เซี่ยฟางหวาหรี่ตาลง
“เจ้าคิดกลยุทธ์ดีๆ ได้แล้วหรือ” ฉินอวี้มองนาง
“หายนะที่พรมแดนเกิดจากเป่ยฉี หากเมืองหลวงเป่ยฉีปั่นป่วน เจ้าคิดว่าฉีเหยียนชิงจะยังมีใจระดมกำลังอีกหรือไม่” เซี่ยฟางหวามองเขา
“ความหมายเจ้าคือจะปลุกปั่นเมืองหลวงเป่ยฉี…” ฉินอวี้มองนาง
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
ฉินอวี้ครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้น “เกรงว่ามิง่ายขนาดนั้น ถึงอย่างไรก็ห่างกันไกลนัก” หยุดชั่วครู่แล้วเอ่ยต่อ “หากจะปลุกปั่นจริง ก็ไม่แน่ว่าจะทำได้”
“ตอนเจ้าถูกเนรเทศไปม่อเป่ย เคยลอบไปเป่ยฉีแล้วมิใช่หรือ นอกจากนี้หลายปีที่ผ่านมา ราชสำนักหนานฉินก็วางสายสอดแนมไว้ที่เป่ยฉีไม่น้อยกระมัง จนป่านนี้แล้วลองใช้ดูก็ไม่เสียดาย” เซี่ยฟางหวาบอก
ฉินอวี้พักหน้า “นำมาใช้ได้ก็จริง แต่เกรงว่าจะปลุกปั่นอันใดมิได้ สายสอดแนมมีไว้เพื่อส่งข่าวอย่างเดียวเท่านั้น”
“แค่ส่งข่าวก็เพียงพอแล้ว” เซี่ยฟางหวาบอก “ตอนนี้หากฉีเหยียนชิงทราบข่าวบางอย่าง เช่นว่าฮ่องเต้เป่ยฉีเกิดเปลี่ยนพระทัย อาจจะมอบตำแหน่งจักรพรรดิให้พี่อวิ๋นจี้เล่า เขาจะร้อนรนหรือไม่ ยังมีใจจะระดมกำลังที่พรมแดนอีกไหม”
“เกรงว่าจะรีบกลับเมืองหลวงเป่ยฉี” ฉินอวี้พลันแย้มสรวล
เซี่ยฟางหวาผงกศีรษะ “ถูกต้อง สิ่งที่ต้องการคือให้เขาปลีกตัวออกจากค่ายทหารเป่ยฉี จะได้ยืดเวลาเตรียมพร้อมให้หนานฉินได้เวลาหนึ่ง มิต้องโยกย้ายทหารที่ชานเมืองใกล้เมืองหลวง ระหว่างนี้ก็เกณฑ์ทหารจากที่อื่น ถึงอย่างไรเป่ยฉีระดมกำลังโจมตีหนานฉินอย่างกะทันหันเกินไป ขณะที่ภายในปั่นป่วนภายนอกถูกรุกราน ถึงมีแม่ทัพและทหารที่ยอดเยี่ยมจำนวนมากก็อาจจะเสียเปรียบได้ ระดับเดียวกับทหารอารักขาก็มิใช่คู่ต่อสู้ หนานฉินต้องการเวลาที่มากพอ”
ฉินอวี้แย้มสรวลแล้วพยักหน้า “ฟางหวา เจ้านี่ช่าง…” ยังเอ่ยไม่ทันจบก็หยุดชะงัก แล้วเอ่ยต่อ “โชคดีที่มีเจ้า”
เซี่ยฟางหวายิ้ม มิได้แสดงความเห็นใด กล่าวกับเขาว่า “ตั้งแต่อวี้เชียนอ๋องกลับเมืองมาเพื่อฉลองวันเกิดอิงชินอ๋อง อดีตฮ่องเต้ก็มิเคยใช้งาน ตอนนี้เจ้าใกล้จะราชาภิเษกแล้ว ช่วงนี้อวี้เชียนอ๋องว่างอยู่ตลอดเวลา เจ้าคงมิได้ลืมเขาไปแล้วหรอกกระมัง คิดไว้หรือยังว่าจะใช้งานอย่างไร”
ฉินอวี้หรี่พระเนตรลง “ท่านอาอวี้เชียนอ๋องใช้งานได้หรือไม่นั้นยังต้องดูอีกที ถึงอย่างไรตั้งแต่คนของจวนอวี้เชียนอ๋องเข้าเมืองมา เรื่องที่กระทำนั้นห่างไกลกับที่ข้าคาดไว้มาก ท่านอาอวี้เชียนอ๋องผู้นี้เทียบกับท่านลุงอิงชินอ๋องมิได้ ความจงรักภักดีของจวนอิงชินอ๋องมิเคยต้องสงสัยแม้แต่น้อย”
เซี่ยฟางหวามองเขาแล้วเอ่ยแนะ “มิสู้โยกทหารจากหลิงหนาน ถือโอกาสนี้ทดสอบอวี้เชียนอ๋องไปในตัว ข้าได้ยินว่าจวนหลิงหนานมีการฝึกทหารเป็นการส่วนตัว แม้ไม่มาก แต่ก็เอาชนะหนึ่งต่อร้อยได้” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “ยิ่งไปกว่านั้นมิอาจมองแต่ภายนอกได้”
ฉินอวี้พยักหน้า ก่อนลุกขึ้นยืน “ข้าจะไปห้องทรงอักษร เรียกอวี้เชียนอ๋องเข้าวัง”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า