ตอนที่ 115-1 ทหารส่วนตัวห้าหมื่นนาย

จารใจรัก

ฉินอวี้เรียกอวี้เชียนอ๋องเข้าเฝ้า เสี่ยวเฉวียนจื่อรีบไปยังจวนอวี้เชียนอ๋องทันที 

 

 

           อวี้เชียนอ๋องทราบว่าฝ่าบาททรงเรียกเข้าเฝ้า ก็รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อหาเข้าวังหลวง 

 

 

           หลังฉินอวี้พบอวี้เชียนอ๋อง ได้เอ่ยถามถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงตลอดหลายวันนี้อย่างอ่อนโยน อวี้เชียนอ๋องก็ตอบทีละคำถามโดยไม่ขาดตกบกพร่อง 

 

 

           หลังสนทนาพอหอมปากหอมคอ ฉินอวี้ก็เอ่ยถามเขา “พบที่อยู่หลานของท่านอาหรือยัง” 

 

 

           อวี้เชียนอ๋องตัวแข็งโดยพลัน 

 

 

           “ตอนที่เด็กหายไป เสด็จพ่อทรงกำลังประชวรอยู่ ทั้งในเมืองยังเกิดเรื่องติดต่อกัน ทำให้ไม่มีเวลาพอจะแบ่งความสนใจมาได้ ตอนนี้เสด็จพ่อจากไปแล้วเราถึงเพิ่งนึกขึ้นมาได้ หากยังมิทราบที่อยู่ของเด็ก เราจะจัดกำลังคนออกไปตามหา ถึงต้องพลิกแผ่นดินก็ต้องหาให้เจอ” ฉินอวี้มองเขาแล้วเอ่ยต่อ  

 

 

           อวี้เชียนอ๋องตวัดตามองฉินอวี้ พบว่าอีกฝ่ายกำลังมองตนด้วยใบหน้าปกติ เทียบกับตอนเป็น 

 

 

รัชทายาทที่เหยียบบนบันไดแห่งตำแหน่งจักรพรรดิ ดูแล้วแม้ยังคงความอ่อนโยน ทว่ามีความน่าเกรงขามเพิ่มขึ้นเล็กน้อย สร้างความรู้สึกมิอาจหยั่งถึงให้แก่ผู้คน เขารีบคุกเข่าลงกับพื้นทันที “กระหม่อมมีความผิด” 

 

 

           “ท่านอาหมายความว่าอย่างไร มีความผิดอันใดกัน” ฉินอวี้เลิกคิ้ว เอ่ยถามด้วยความแปลกใจ  

 

 

           “หลานชายกระหม่อมมิได้หายไป” อวี้เชียนอ๋องรีบตอบ  

 

 

           “หืม” ฉินอวี้ย่นคิ้ว ใบหน้าเคร่งขรึมลง “แรกเริ่มท่านอาสะใภ้เข้าเมืองมา ร้องห่มร้องไห้บอกว่าเด็กหายตัวไป หาตรงนั้นทีตรงนี้ที แทบจะทำให้จวนครึ่งหนึ่งในเมืองตกใจเพราะจวนของท่านตามหาตัวเด็กพัลวัน ตอนนี้ท่านบอกเราว่าเด็กมิได้หายตัวไปหรือ ท่านอา จวนอวี้เชียนอ๋องของท่านกำลังทำสิ่งใดกันแน่” 

 

 

           อวี้เชียนอ๋องก้มหน้าลง ทั้งโกรธทั้งโมโห “ฝ่าบาท มีคนขู่ภรรยากระหม่อม บอกว่าหากมิทำเช่นนี้จะสังหารครอบครัวกระหม่อมทิ้ง บอกว่าอย่าคิดว่าจะได้อยู่ในเมืองหลวงอีกเลยตลอดชีพ พระองค์ก็ทราบดี หลายปีนี้กระหม่อมคิดถึงบ้าน ภรรยากระหม่อมเองก็อยากกลับเมืองหลวง ด้วยเหตุนี้จึงยอมถูกขู่บังคับ ทำอันใดมิได้…” 

 

 

           “ทำอันใดมิได้จึงโกหกว่าเด็กหายไป” ฉินอวี้โกรธเกรี้ยว ผุดลุกขึ้นยืนทันที 

 

 

           อวี้เชียนอ๋องรีบส่ายหน้า “เด็กหายไปคนหนึ่งจริง แต่เป็นลูกของแม่นม อายุรุ่นราวคราวเดียวกับหลานชายกระหม่อม…” 

 

 

           “ท่านอาอวี้เชียนอ๋อง ท่านช่างกล้าดีนัก” ฉินอวี้จ้องเขา “ตอนที่เรายังเป็นรัชทายาท ท่านไปมาหาสู่กับเราเป็นการส่วนตัว เรารับปากว่าหลังราชาภิเษกจะมิให้ท่านต้องกลับหลิงหนานอีกแล้ว แต่จะให้ท่านอยู่ในเมืองหลวงแทน ทว่าท่านเล่า เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ นึกไม่ถึงว่าจะปิดบังเรา หากเราไม่ถาม ท่านก็คิดจะปกปิดไปตลอดชีวิตเลยใช่หรือไม่” 

 

 

           “ฝ่าบาท ตอนนั้นหลังฮูหยินเข้าเมืองมาก็มิได้บอกความจริงกับกระหม่อม กระหม่อมเองก็ร้อนใจอยู่ไม่เป็นสุข ขอร้องผู้อื่นไปทั่ว และออกไปตามหากับบุตรชายทุกหนแห่ง ฮูหยินเห็นพวกเราร้อนใจเกินเหตุ ผ่านไปหลายวันถึงได้บอกความจริงกับกระหม่อม ตอนนั้นฝ่าบาทท่านก็ออกไปขุดลอกคูคลองแล้ว” อวี้เชียนอ๋องตัวสั่น รีบแก้ตัวทันที  

 

 

           “ท่านอาอวี้เชียนอ๋องกำลังบอกเราว่าท่านดูแลครอบครัวผิดวิธีหรือ ต้องให้เราออกคำสั่งให้ท่านหย่ากับท่านอาสะใภ้หรือไม่” ฉินอวี้แย้มสรวลเยือกเย็น  

 

 

           “ฝ่าบาท…” อวี้เชียนอ๋องตกตะลึง 

 

 

           “ท่านทราบนานแล้วหรือมิทราบอันใดเลยกันแน่ หรือว่าท่านยังวางแผนการลับหลังใดอีก ต้องให้เราส่งท่านกับท่านอาสะใภ้ไปให้กรมอาญากับศาลต้าหลี่สืบสวนหรือไม่” ฉินอวี้เอ่ยอีก 

 

 

           เหงื่อบนหน้าผากอวี้เชียนอ๋องไหลลงมาทันใด พลันคุกเข่ากับพื้น จับแขนเสื้อของฉินอวี้แล้วร่ำไห้กล่าว “ฝ่าบาท ความจงรักภักดีที่กระหม่อมมีต่อพระองค์นั้นพิสูจน์ได้ กระหม่อมมิทราบจริงๆ เพื่อเข้ามาในเมืองและอาศัยที่นี่ได้ อาสะใภ้ของพระองค์จึงเลอะเลือน แม้แต่กระหม่อมยังยอมปิดบัง เมื่อกระหม่อมทราบเรื่องก็เกิดเหตุการณ์ติดต่อกันในเมืองหลวงแล้ว อีกทั้งตัวพระองค์เองก็ไปเมืองหลินอันแล้ว รอจนเสด็จกลับมา อดีตฮ่องเต้ก็ทรงพระอาการทรุดลง พระองค์ทรงยุ่งอยู่กับการจัดงานพระบรมศพของอดีตฮ่องเต้ และยังต้องทุ่มเทแรงกายและใจเรื่องระดมกำลังในพรมแดนม่อเป่ย ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเวลาผ่านไป สถานการณ์ในเมืองก็สงบสุขมาก กระหม่อมจึงเก็บเรื่องนี้ไว้…” 

 

 

           ฉินอวี้มองอวี้เชียนอ๋อง ขณะกำลังคุกเข่าร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหลบนพื้น ช่างขัดกับฐานะอวี้เชียนอ๋องของเขาเหลือเกิน หากเป็นอิงชินอ๋องกับอดีตฮ่องเต้ย่อมมิทำเช่นนี้ เขาเงียบไม่พูดไม่จา 

 

 

           “ฝ่าบาท หลิงหนานแม้ดียิ่งแต่ก็มิสู้เมืองหลวง กระหม่อมเติบโตมาในเมืองหลวงตั้งแต่เด็ก มิอยากแก่และตายไปในหลิงหนาน รากฐานของกระหม่อมอยู่ในเมืองหลวง กระหม่อมได้สั่งสอนภรรยาในบ้านแล้ว เห็นแก่ที่กระหม่อมบอกความจริง ทรงอภัยให้กระหม่อมด้วยเถิด” อวี้เชียนอ๋องร้องไห้กล่าวต่อ  

 

 

           “เช่นนั้นท่านบอกมา ผู้ใดขู่ท่านอาสะใภ้” ฉินอวี้แค่นเสียงเย็น  

 

 

           “กระหม่อมเค้นถามนางหลายครั้ง นางล้วนบอกว่าเป็นบุรุษชุดดำ แต่มิทราบว่าเป็นใคร…” อวี้เชียนอ๋องร่ำไห้ตอบ  

 

 

           “มิทราบว่าเป็นใครก็ยอมให้เขาบังคับรึ” ฉินอวี้มองเขาด้วยหน้าเย็นชา 

 

 

           “แม้เขามิได้แย่งหลานชายกระหม่อมไป หลานชายกระหม่อมมิได้หายไปไหนเช่นกัน แต่ร่างกายกลับต้องคำสาป ผู้นั้นบอกว่า หากกระหม่อมมิเชื่อฟัง ชีวิตของหลานชายก็หาไม่แล้ว” อวี้เชียนอ๋องร้องไห้กล่าว  

 

 

           “หืม” ฉินอวี้เลิกคิ้ว “คำสาปใด” 

 

 

           “เป็นหนอนจง” อวี้เชียนอ๋องส่ายหน้า “กระหม่อมเองก็มิทราบ จนป่านนี้ยังไม่เจอตัวเด็กเลย” 

 

 

           “ตอนนี้เด็กอยู่ที่ใด” ฉินอวี้ถามอีก 

 

 

           “เมืองเหยี่ยนเฉิงพ่ะย่ะค่ะ” อวี้เชียนอ๋องตอบ 

 

 

           ฉินอวี้ขมวดคิ้ว 

 

 

           “ฝ่าบาท ด้วยความสัตย์จริง กระหม่อมมิกล้าโกหกพระองค์แล้ว” อวี้เชียนอ๋องร้องไห้ขึ้นมาอีกหน “ใครจะรู้ว่าผู้อยู่เบื้องหลังคนนี้ใจคอโหดเ**้ยมเยี่ยงนี้ ก่อเหตุทั้งในและนอกเมืองมากมายติดต่อกัน จนป่านนี้กระหม่อมก็ยังมิเข้าใจว่าเขาจับตัวหลานชายกระหม่อมไปทำไมกันแน่” 

 

 

           “ตั้งแต่ท่านเข้าเมืองมา เมืองหลวงก็ไม่สงบตลอดมา” ฉินอวี้มองเขาแล้วเอ่ยขึ้น “ท่านแน่ใจหรือว่าบอกเราหมดแล้ว ไม่มีปิดบังอีกแม้แต่เรื่องเดียว” 

 

 

           “กระหม่อมมิกล้า หากกระหม่อมยังกล้าปิดบัง ขอให้ฟ้าผ่าตาย” อวี้เชียนอ๋องส่ายหน้า  

 

 

           คนโบราณให้ความสำคัญเรื่องสัตย์สาบานที่สุด 

 

 

           “เช่นนั้นเราถามท่าน จวนหลิงหนานฝึกทหารส่วนตัวไว้เท่าไร” ฉินอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยถาม  

 

 

           “ห้าหมื่นนายพ่ะย่ะค่ะ” อวี้เชียนอ๋องรีบตอบ 

 

 

           “มีแค่ห้าหมื่นรึ” ฉินอวี้มองเขา 

 

 

           “ฝ่าบาท มีแค่ห้าหมื่นนายเท่านั้น หลายปีมานี้อดีตฮ่องเต้เฝ้าติดตามหลิงหนานโดยมิยอมลดละ หากไม่มีตระกูลเซี่ย พระองค์เอ่ยว่าไม่แน่คงจัดการหลิงนานไปนานแล้ว กระหม่อมฝึกทหารส่วนตัวก็เพื่อป้องกันว่าวันหนึ่งอดีตฮ่องเต้จะโจมตีกระหม่อม กระหม่อมมิกล้าปิดบังฝ่าบาท” อวี้เชียนอ๋องรีบพยักหน้ารัว  

 

 

           “ข่าวที่เราได้รับมามิใช่จำนวนนี้” ฉินอวี้บอก 

 

 

           “ฝ่าบาท ต้องทรงเชื่อกระหม่อมนะพ่ะย่ะค่ะ ในมือกระหม่อมมีทหารส่วนตัวเพียงห้าหมื่นนายเท่านั้น ส่วนผู้อื่นฝึกทหารในหลิงหนาน มิอาจนับเป็นของกระหม่อมได้” อวี้เชียนอ๋องรีบกล่าว  

 

 

           “อ้อ” ฉินอวี้มองเขา “มีผู้ใดฝึกทหารที่หลิงหนานอีกรึ” 

 

 

           “มิทราบว่าเป็นใคร ทหารซ่อนตัวอยู่ในป่าเขาลึกที่หลิงหนาน กระหม่อมเคยส่งคนไปสืบข่าวครั้งหนึ่ง ทว่าคนที่ถูกส่งไปล้วนมิได้กลับมา…” อวี้เชียนอ๋องแทบจะร้องไห้  

 

 

           “กี่ปีแล้ว” หน้าฉินอวี้เคร่งขรึมลง 

 

 

           “ประมาณแปดเก้าปีแล้วกระมัง” อวี้เชียนอ๋องส่ายหน้า ตอบอย่างไม่มั่นใจนัก 

 

 

           “แปดเก้าปีแล้ว?” ฉินอวี้ขึ้นเสียงสูง 

 

 

           อวี้เชียนอ๋องรีบกล่าว “ก่อนหน้านี้กระหม่อมมิทราบ สองปีก่อนถึงเพิ่งบังเอิญทราบข่าว ทว่าหลังจากคนที่กระหม่อมส่งไปแล้วมิกลับมา กระหม่อมคิดจะส่งคนไปอีก พลันมีคนนำจดหมายลับมาวางในห้องหนังสือกระหม่อม ในจดหมายความว่า หากกระหม่อมยังว่างแส่หาเรื่องอีกก็จะทำให้กระหม่อมพบกับความสิ้นหวัง ด้วยเหตุนี้กระหม่อมจึง…” 

 

 

           “ด้วยเหตุนี้ท่านจึงมิกล้าแล้ว” ฉินอวี้ขมวดคิ้วตั้งตรง 

 

 

           “ฝ่าบาท มิปิดบังพระองค์ เขาลึกป่าทึบที่หลิงหนานนั้น เท่าที่กระหม่อมคาดคงฝึกทหารราวหนึ่งแสนนาย อีกทั้งกระหม่อมเองก็ฝึกทหารส่วนตัวเช่นกันจึงมิกล้าเปิดโปงเรื่องนี้ออกไป หากแพร่ออกไปในวันหนึ่ง อดีตฮ่องเต้จำต้องตรวจสอบหลิงหนานแน่นอน เช่นนั้นแล้วทหารส่วนตัวของกระหม่อมมิอาจหนีพ้น” อวี้เชียนอ๋องร้องไห้กล่าว “ฝึกทหารส่วนตัวเป็นความผิดร้ายแรง…” 

 

 

           “หลิงหนานเป็นอาณาเขตพระราชทานของท่าน ฟังท่านกล่าวเช่นนี้แล้ว หลิงหนานภายใต้การปกครองของท่านนั้นกลายเป็นแหล่งซ่อนคนและสิ่งชั่วร้ายไปแล้วรึ” ฉินอวี้มองเขา โทสะรวมกันอยู่บนหน้า  

 

 

           “กระหม่อมไร้ความสามารถ…” อวี้เชียนอ๋องขอความเมตตา  

 

 

           “ท่านมิได้ไร้ความสามารถ แต่ท่านไม่แยแส” ฉินอวี้มองเขาด้วยความโกรธ “ท่านเองก็ใช้แซ่ฉิน เป็นลูกหลานตระกูลฉินเช่นกัน ท่านทนมองดูผู้อื่นเข้ามากระทำความชั่วในแผ่นดินหนานฉินได้อย่างไร” 

 

 

           “กระหม่อมคิดว่าชาตินี้จะมิได้กลับเมืองหลวงแล้ว ดังนั้น…” อวี้เชียนอ๋องร้องไห้กล่าว  

 

 

           ฉินอวี้ยกมือ ขัดคำพูดเขา “ลุกขึ้นเถิด” 

 

 

           อวี้เชียนอ๋องหยุดร้องไห้ เหลือบตามองฉินอวี้ 

 

 

           หน้าฉินอวี้แม้นิ่งขรึมด้วยโทสะ ทว่าไร้จิตสังหาร เขาจึงหยั่งเชิงถาม “ฝ่าบาท จะมิทรงลงโทษกระหม่อมหรือ” 

 

 

           “ท่านอา ท่านเองก็อายุปูนนี้แล้ว เราโน้มน้าวอดีตฮ่องเต้ อาศัยเรื่องฉลองวันเกิดให้ท่านลุงเพื่อดึงตัวท่านกลับเมืองหลวง มิได้อยากให้ท่านวิ่งมาร้องไห้ต่อหน้าเรา” ฉินอวี้โกรธจัดแต่แย้มยิ้ม 

 

 

           อวี้เชียนอ๋องรีบเช็ดน้ำตาแล้วลุกขึ้นยืน แสดงความซื่อสัตย์ภักดี “ฝ่าบาท ทรงเอ่ยมาเถิด ทรงมีรับสั่งใด ถึงตายหมื่นครั้งกระหม่อมก็มิปฏิเสธแน่นอน” 

 

 

           “ตายหมื่นครั้งก็มิปฏิเสธหรือ” ฉินอวี้มองเขา “ตอนนี้ท่านอาไม่กลัวตายแล้วหรือ” 

 

 

           “หลังกลับเมืองมาก็อกสั่นขวัญหายทุกวัน มิได้สงบใจเลย” อวี้เชียนอ๋องตอบ 

 

 

           “ดูท่าหลายปีนี้ที่หลิงหนาน ท่านอาคงสบายเกินไปแล้วจึงทนรับเหตุการณ์มิไหว” ฉินอวี้เหลือบมองเขา “ตอนนี้ทหารในป่าเขาลึกที่หลิงหนานยังอยู่หรือไม่” 

 

 

           “ตอนกระหม่อมออกจากหลิงหนานมายังอยู่ ตอนนี้มิทราบพ่ะย่ะค่ะ” อวี้เชียนอ๋องส่ายหน้า 

 

 

           “ท่านอาสร้างคุณงามความดีระหว่างต้องโทษแล้วกัน” ฉินอวี้มองเขาด้วยหน้ามิได้ดีนัก  

 

 

           อวี้เชียนอ๋องรีบมองฉินอวี้ ก่อนถามอย่างระวัง “ฝ่าบาทจะให้กระหม่อมกำจัดทหารในป่าเขาลึกที่หลิงหนานหรือพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

           “ทหารในป่าเขาลึกที่หลิงหนานเราย่อมหาทางจัดการเอง ตอนนี้พรมแดนมีการระดมกำลัง อยู่ในระหว่างบริหารจัดการคน ท่านอานำทหารส่วนตัวห้าหมื่นนายออกมาเถิด หากสร้างคุณงามความดีที่พรมแดนได้ เรื่องทุกอย่างที่ท่านทำมาเราจะไม่ถือสาเอาความ” ฉินอวี้ส่ายหน้า  

 

 

           “ฝ่าบาทจะให้ทหารส่วนตัวของกระหม่อมไปยังพรมแดนม่อเป่ยหรือ” อวี้เชียนอ๋องเบิกตากว้าง  

 

 

           “ท่านอามิเห็นด้วยหรือ” ฉินอวี้มองเขา 

 

 

           “กระหม่อมมิได้ไม่เห็นด้วย เพียงแต่…ผู้ใดจะนำทัพ ฝ่าบาทคงมิได้ให้กระหม่อมนำทัพไปม่อเป่ยเองกระมัง” อวี้เชียนอ๋องส่ายหน้า  

 

 

           “ฉินอี้ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องเองก็ศึกษาตำราพิชัยสงคราม มีเขานำทัพ ท่านคิดว่าอย่างไร” ฉินอวี้มองเขา “หากสร้างคุณูปการทางทหารที่ม่อเป่ยได้ อนาคตเราจะมอบตำแหน่งสำคัญให้เขา” 

 

 

           อวี้เชียนอ๋องได้ยินเช่นนั้นก็คุกเข่าลงกับพื้น “กระหม่อมน้อมรับพระบัญชาฝ่าบาท” 

 

 

           “ท่านกลับไปได้แล้ว รีบให้ฉินอี้เข้าวัง” ฉินอวี้หันหลัง มิสนใจเขาอีก  

 

 

           อวี้เชียนอ๋องลุกขึ้นยืน มิได้รีบกลับไปทันที หากแต่มองฉินอวี้แล้วถามเสียงเบา “ฝ่าบาท แล้วหนอนจงในตัวหลานชายกระหม่อม…” 

 

 

           “เราจะส่งคนไปเมืองเหยี่ยนเฉิง นำตัวเขากลับเมืองหลวงอย่างลับๆ แล้วให้ฟางหวาดูว่าเขาถูกหนอนจงชนิดใดกันแน่” ฉินอวี้เอ่ย 

 

 

           “ขอบพระทัยฝ่าบาท” อวี้เชียนอ๋องดีใจใหญ่ 

 

 

           ฉินอวี้โบกมือไล่