อวี้เชียนอ๋องออกจากห้องทรงอักษร เมื่อข้ามธรณีประตูออกมา ลมวูบหนึ่งพัดผ่านทำเอาแผ่นหลังของเขาเย็นเยียบ ลองยกมือลูบแผ่นหลังพบว่าเหงื่อโทรมกาย เขาลอบทอดถอนใจ มิน่าหลายวันก่อนได้ยินว่าหย่งคังโหวมีสภาพย่ำแย่เพราะถูกฝ่าบาทกดดันที่ราชสุสาน ตอนนี้เขาออกจากห้องทรงอักษรได้ เพราะอาศัยทหารส่วนตัวห้าหมื่นนายในกำมือตนแล้ว
ยามนี้ทหารส่วนตัวห้าหมื่นนายถูกส่งออกไป ความทุกข์ยากหลายปีนับว่าสูญเปล่า
ทว่าก็คุ้มค่าเช่นกัน ผู้นำทัพบัญชาการคือฉินอี้บุตรชายคนโตของตน ถึงอย่างไรเขาก็แก่แล้ว หากฉินอี้ยืนหยัดตั้งมั่นท่ามกลางคนรุ่นใหม่ได้ เช่นนั้นอนาคตจวนอวี้เชียนอ๋องก็สืบทอดต่อไปได้แล้ว
เขาสะบัดเหงื่อบนกาย ก่อนออกไปจากวังหลวง
หลังอวี้เชียนอ๋องกลับถึงจวนก็รีบเรียกฉินอี้ไปที่ห้องหนังสือ สองพ่อลูกหารือกันพักหนึ่ง ก่อนที่ฉินอี้จะรีบร้อนออกจากจวนอวี้เชียนอ๋อง มุ่งหน้าไปยังวังหลวง
หลายวันนี้พระชายาอิงชินอ๋องกำลังเฝ้ารอข่าวจากคนที่ส่งออกไปรับฉินเจิงกลับเมือง ทว่าข่าวที่ได้รับกลับมาคือท่านอ๋องน้อยเจิงมิได้กลับมาพร้อมกับคุณชายหลี่แห่งจวนเสนาบดีฝ่ายขวา ท่านโหวน้อยเยี่ยนแห่งจวนหย่งคังโหว และรองราชเลขาชุยอี้จือ สามคนนั้นจะกลับมาถึงเมืองในวันพรุ่งนี้ ส่วนตัวเขานั้นมิทราบที่อยู่
พระชายาอิงชินอ๋องอดมิได้ที่จะร้อนรนจนเดินวนไปวนมา แทบจะออกไปจากจวน
“เจ้ากังวลไปก็ไม่มีประโยชน์ พรุ่งนี้พอเจ้าเด็กสกุลหลี่กับเจ้าเด็กจวนหย่งคังโหว รวมถึงอี้จือกลับมาแล้วค่อยลองถามพวกเขาดูว่า เหตุใดเจิงเอ๋อร์ถึงมิกลับมาด้วย” อิงชินอ๋องถูกนางเดินไปมาเบื้องหน้าจนปวดหัว จึงคว้ากายนางแล้วปลอบประโลม
“ข้าทราบว่ากังวลไปก็ไม่มีประโยชน์ แต่ก็อดกังวลมิได้” พระชายาอิงชินอ๋องถอนหายใจ
อิงชินอ๋องเองก็ถอนหายใจตาม หลายวันนี้สิ่งที่ทั้งคู่ทำมากที่สุดคือการถอนหายใจใส่กัน
สี่ซุ่นเป็นหัวหน้าพ่อบ้านในจวนอิงชินอ๋องมาหลายปี มักสังเกตฟังสิ่งรอบตัวทั้งเรื่องใหญ่เล็กที่เกิดขึ้นทั้งในและนอกเมืองหลวง เขาซึ่งเป็นหัวหน้าพ่อบ้านนั้นถูกฝึกฝนจนมีหูตาว่องไว ทันทีที่อวี้เชียนอ๋องถูกฝ่าบาทเรียกเข้าวัง เขาก็มารายงานอิงชินอ๋องทันที
“ตั้งแต่น้องอวี้เชียนอ๋องเข้าเมืองมาเพื่อฉลองวันเกิดข้า จนตอนนี้ก็ว่างมาหลายเดือนแล้ว ฝ่าบาทคงนึกอยากใช้งานอวี้เชียนอ๋องแล้ว” อิงชินอ๋องได้ยินเช่นนั้นก็กล่าวขึ้น
“เรื่องเด็กหายแม้แต่ข้ายังมองออก ฝ่าบาทมีหรือจะมองไม่ออกด้วย” พระชายาอิงชินอ๋องย่นหัวคิ้ว
“ตอนนี้พรมแดนมีการระดมกำลัง หนานฉินอยู่ในช่วงบริหารจัดการคน จวนอวี้เชียนอ๋องที่หลิงหนานมีทหารส่วนตัว หากฝ่าบาทมิใช้งานตอนนี้จะใช้ตอนไหน” อิงชินอ๋องไตร่ตรองพักหนึ่งแล้วกล่าวขึ้น “ส่วนเรื่องเด็กหาย หากฝ่าบาททรงทราบอยู่แล้ว คงบีบคั้นถามเขาจนกระจ่าง”
พระชายาอิงชินอ๋องพยักหน้า
“ถึงอย่างไรน้องอวี้เชียนอ๋องก็สกุลฉิน เป็นลูกหลานของตระกูลฉิน อดีตฮ่องเต้แม้มิทรงให้ค่าเขา แต่ก็ปล่อยให้เขาอยู่ที่หลิงหนานอย่างสงบสุขมาหลายปี เรื่องที่ออกนอกกรอบเกินไปเขาคงมิกล้าทำ” อิงชินอ๋องกล่าวอีก
“ไฉนฝ่าบาทถึงอยากใช้ทหารส่วนตัวจวนอวี้เชียนอ๋องเล่า ไฉนถึงไม่ใช้ทหารสามแสนนายในค่ายใหญ่เขาตะวันตก” พระชายาอิงชินอ๋องสงสัย
“ทหารสามแสนนายในค่ายใหญ่เขาตะวันตก หากพรมแดนไม่ตกอยู่ในสถานการณ์คับขันอย่างแท้จริง ย่อมมิอาจโยกย้ายได้ ถึงอย่างไรก็เป็นทหารรักษาเมืองหลวง ตอนที่เสนาบดีฝ่ายซ้ายเสนอแนะยามว่าราชการยามเช้า ข้าก็คิดว่ามิค่อยเหมาะสมนัก เพียงแต่คิดว่าไม่มีทหารที่ไหนให้ใช้งานแล้ว เผลอลืมทหารส่วนตัวที่จวนอวี้เชียนอ๋องฝึกไว้หลายปีไปเสียสนิท” อิงชินอ๋องตอบเสียงเข้ม
“ทหารส่วนตัวจวนอวี้เชียนอ๋องที่เล่าลือว่าชนะหนึ่งต่อร้อยได้ใช่ไหม” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าว
“กล่าวกันเช่นนี้” อิงชินอ๋องพยักหน้า “หลายปีก่อน ฝ่าบาททรงทราบข่าวว่าจวนอวี้เชียนอ๋องที่หลิงหนานฝึกทหารส่วนตัวจึงส่งสายลับไปตรวจสอบครั้งหนึ่ง บอกว่ามีไม่ถึงหมื่นนาย ฝ่าบาททรงส่งจดหมายลับไปเตือนน้องอวี้เชียนอ๋องครั้งหนึ่ง แต่ก็พุ่งเป้าไปที่ตระกูลเซี่ยจึงมิได้สนใจอีกต่อไป”
“ตอนนี้จวนอวี้เชียนอ๋องมีทหารส่วนตัวกี่นายแล้ว” พระชายาอิงชินอ๋องถาม
“มิทราบ น้องแม้ค่อนข้างฉลาดแต่ก็ขาดความกล้าหาญ คงฝึกไว้ไม่เยอะนัก” อิงชินอ๋องส่ายหน้า
ขณะทั้งคู่กำลังสนทนากัน สี่ซุ่นก็สืบข่าวมาได้อีกว่า อวี้เชียนอ๋องออกจากวังหลวงมาแล้ว ระหว่างกลับก็แอบเช็ดเหงื่อ หลังกลับถึงจวนไม่นาน ฉินอี้ก็รีบร้อนเข้าวังไป
“ดูท่าทางเป็นไปได้สูงว่าฉินอี้จะนำทหารหลิงหนานไปม่อเป่ย” อิงชินอ๋องกล่าวขึ้น
“ฝ่าบาททรงแข็งแกร่งกว่าอดีตฮ่องเต้ ใช้ทั้งพระเดชและพระคุณ คิดใช้คนโดยมิเลี่ยงราชนิกุล ประยุกต์ใช้ตามความสามารถและเวลา” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าว
“ดังนั้นบางการกระทำของพระองค์ เห็นชัดว่าอดีตฮ่องเต้ทรงกริ้ว ทว่ายังยกตำแหน่งจักรพรรดิให้พระองค์ หากดูจากเรื่องนี้ อดีตฮ่องเต้ก็มิได้ทรงเลอะเลือน” อิงชินอ๋องผงกศีรษะ
พระชายาอิงชินอ๋องพยักหน้า
ฉินอวี้รอพบฉินอี้ที่ห้องทรงอักษร หนึ่งชั่วยามให้หลัง ฉินอี้ก็ออกจากวังหลวง แล้วรีบกลับไปยังจวน
อวี้เชียนอ๋องอีกหน
ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม ฉินอี้เก็บสัมภาระพร้อมเดินทาง นำเด็กรับใช้สองคนและผู้คุ้มกันไม่กี่คนออกจากเมืองหลวง
ก่อนที่อวี้เชียนอ๋องจะเข้าเมืองหลวงย่อมมิได้นำทหารส่วนตัวจวนอวี้เชียนอ๋องที่หลิงนานมาด้วย หลังรับพระบัญชาของฉินอวี้แล้ว อวี้เชียนอ๋องก็ให้เหยี่ยวนำจดหมายไปส่งที่หลิงหนาน หลังคนสนิทของตนได้รับจดหมายก็รีบเตรียมออกเดินทางไปม่อเป่ย ทหารห้าหมื่นนายกับฉินอี้มาสมทบกันระหว่างทาง หากเป็นเช่นนี้ย่อมไม่เสียเวลาแม้แต่น้อย
หลังฉินอวี้กลับมาที่ตำหนักบรรทมก็นำบทสนทนากับอวี้เชียนอ๋อง รวมถึงคำสั่งให้ฉินอี้นำทหารส่วนตัวห้าหมื่นนายเดินทางไปม่อเป่ยเล่าให้เซี่ยฟางหวาฟัง
“อวี้เชียนอ๋องบอกว่ามีคนวางหนอนจงกับหลานชายเขาหรือ” เซี่ยฟางหวาฟังจบก็เอ่ยถาม
ฉินอวี้พยักหน้า
เซี่ยฟางหวาหรี่ตาลง มิเอ่ยคำใด
“ข้าว่าท่านอาอวี้เชียนอ๋องมิคล้ายโกหก แท้จริงแล้วเขาขี้ขลาด อดมิได้ที่จะตกใจกลัว” ฉินอวี้เอ่ย “แต่ก็มิอาจเมินเฉยเรื่องที่หลานชายเขาถูกคนวางหนอนจง วิธีการลงมือคล้ายกับการคุกคามตระกูลหลูแห่ง
ฟ่านหยาง เป็นฝีมือของผู้อยู่เบื้องหลัง”
“เจ้าเตรียมจะส่งคนไปพาตัวเด็กคนนั้นออกจากเมืองเหยี่ยนฉิงเมื่อไร” เซี่ยฟางหวาถาม
“คิดไว้ว่าคืนนี้” ฉินอวี้ตอบ
เซี่ยฟางหวาครุ่นคิดแล้วกล่าวขึ้น “หากอวี้เชียนอ๋องมิได้โกหก เช่นนั้นที่อยู่ของหลานชายเขาในตอนนี้น่าจะมีคนเฝ้าดูอยู่ อย่างนี้แล้วกัน เจ้ามิต้องส่งคนไป ข้าจัดการเองดีกว่า ให้คนที่อยู่ในเมืองเหยี่ยนเฉิงแอบหาที่อยู่ของเด็กคนนั้น หลังจากนั้นก็สับเปลี่ยนเอาตัวเด็กออกมา มิให้ผู้ใดไหวตัวทัน”
ฉินอวี้เม้มปาก ก่อนพยักหน้าด้วยความเคร่งขรึม
หลังทั้งสองตกลงกันได้แล้ว ฉินอวี้ก็มอบเรื่องนี้ให้เซี่ยฟางหวาจัดการ
วันเดียวกันนั้นเซี่ยฟางหวาสั่งการคน แล้วนำตัวเด็กคนนั้นที่อยู่ในเมืองเหยี่ยนเฉิงเดินทางกลับเมืองหลวงอย่างลับๆ โดยไม่มีผู้ใดไหวตัวทัน