หลานชายอวี้เชียนอ๋องมีนามว่าฉินหวน อายุเพียงสามขวบเท่านั้น
ฉินหวนได้รับถ่ายทอดรูปลักษณ์ล้ำเลิศมาจากลูกหลานทายาทราชนิกุล ทว่าดูผอมอ่อนแอแลใบหน้าซีดเซียวอย่างยิ่ง คล้ายกับมิได้รับสารอาหารโภชนาการอย่างดีมานาน หลังเขาถูกนำตัวกลับมาเมืองหลวง ร่างกายน้อยๆ ก็ขดตัวเข้าหากันพลางมองสถานที่และผู้คนแปลกหน้า ดวงตาคู่นั้นและใบหน้าจิ้มลิ้มดูหวาดกลัวอย่างยิ่ง
ฉินอวี้ทราบว่าฉินหวนถูกนำตัวกลับมาในคืนนั้นจึงอยู่รอที่ที่พำนักของเซี่ยฟางหวา เมื่อได้พบฉินหวนก็ขมวดคิ้วเผยหน้าทนรอต่อไปมิไหว ลุกขึ้นอย่างเชื่องช้าแล้วเดินไปหาฉินหวน เอ่ยถามเสียงอ่อนโยน “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร”
ฉินหวนส่ายหน้าทันที
“พูดได้หรือยัง” ฉินอวี้มองเขา
ฉินหวนมองเขาอย่างระแวดระวัง พบว่าอีกฝ่ายมิคล้ายเป็นคนชั่วใจร้ายจึงพยักหน้าแล้วเอ่ยปากตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม “ได้”
ฉินอวี้หัวเราะ “ฟังความรู้เรื่อง ดูท่าสามขวบก็รู้ประสาแล้ว” พูดจบ เขาก็เอ่ยด้วยเสียงอบอุ่น “เจ้ามิต้องกลัว ข้าเป็นอาของเจ้า”
“อา” เด็กชายตัวน้อยสลัดความหวาดกลัวทิ้งไป มองเขาด้วยความใคร่รู้
ฉินอวี้พยักหน้า หันหลังไปเอ่ยกับเซี่ยฟางหวา “เจ้าว่าเขาเป็นเช่นไร”
เซี่ยฟางหวากวักมือเรียกฉินหวน “เดินมาหาข้า”
ฉินหวนมองเซี่ยฟางหวา พบเพียงโฉมสะคราญท่านหนึ่งแลดูอ่อนโยนสูงศักดิ์ภายใต้แสงสว่างเหลืองนวลในตำหนัก เขาลังเลครู่หนึ่ง ก่อนเคลื่อนเท้าก้าวเล็กๆ มาหาเซี่ยฟางหวาอย่างเชื่องช้า
เซี่ยฟางหวายื่นมือไปหาเขา
เขาถอยหลังก้าวหนึ่งแล้วขดตัวหนีทันที
“มิต้องกลัว ข้าเห็นว่าเจ้าคล้ายไม่สบายจึงจะตรวจชีพจรให้เท่านั้น” เซี่ยฟางหวากล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน
ฉินหวนได้ยินเช่นนั้นก็ลังเลอีกพักหนึ่ง ก่อนก้าวขึ้นมาแล้วยื่นแขนให้เซี่ยฟางหวา
เซี่ยฟางหวากุมข้อมือเขาแล้วตรวจชีพจรให้
ฉินอวี้ยืนนิ่งมองดูอยู่ด้านข้าง
ผ่านไปพักหนึ่ง เซี่ยฟางหวาก็ถอนมือออกแล้วถามเขา “ทุกเที่ยงวันและเที่ยงคืนเจ้ามักรู้สึกเจ็บแปลบที่ทรวงอกใช่หรือไม่”
ฉินหวนพยักหน้าตอบ
“ข้ารักษาอาการป่วยให้เจ้าได้ เพียงแต่ยาขมมาก เจ้ากลัวหรือไม่” เซี่ยฟางหวาลูบศีรษะเขา
ฉินหวนค่อนข้างกลัว แต่ยังคงส่ายหน้า แล้วตอบเสียงเบา “มิกลัว”
“ช่างเป็นเด็กดีจริงๆ” เซี่ยฟางหวากล่าวกับเขา “เจ้าต้องอยู่ที่นี่พักหนึ่งก่อน พอหายป่วยแล้วค่อยส่งเจ้ากลับไปหาแม่ดีหรือไม่”
“ข้าคิดถึงท่านแม่” ฉินหวนราวกับจะร้องไห้
“หากเจ้าป่วยเช่นนี้ ท่านแม่เจ้ามาเห็นจะยิ่งปวดใจ แต่หากเจ้าหายดีแล้ว พอท่านแม่เจ้ามาเห็นต้องดีใจมากแน่” เซี่ยฟางหวากล่าวอีก
ฉินหวนกลั้นก้อนสะอื้นแล้วพยักหน้ารับ
เซี่ยฟางหวามองไปยังฉินอวี้
ฉินอวี้ลูบศีรษะฉินหวน ก่อนสั่งงานด้านนอก “เสี่ยวเฉวียนจื่อ พาเขาออกไป จัดหาที่พักในที่ที่ใกล้กับตรงนี้ที่สุด ดูแลให้ดีอย่าให้ขาดตกบกพร่อง”
“พ่ะย่ะค่ะ” เสี่ยวเฉวียนจื่อเข้ามาแล้วจูงฉินหวนออกไป
ฉินอวี้รอจนฉินหวนออกไปแล้วก็เอ่ยถามเซี่ยฟางหวา “เป็นหนอนจงหรือ”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้าตอบ
“หนอนจงชนิดใด” ฉินอวี้ถาม
เซี่ยฟางหวานิ่งไปพักหนึ่งแล้วตอบเสียงเข้ม “หนอนจงเลือด”
“เป็นหนึ่งในวิชาภูตผีหรือไม่ อันตรายถึงชีวิตหรือเปล่า” ฉินอวี้มองนางด้วยความไม่เข้าใจ
เซี่ยฟางหวาพยักหน้าและทั้งส่ายหน้า “เป็นหนึ่งในวิชาภูตผี แต่มิเป็นอันตรายถึงชีวิต วิชาหนอนจงนี้เป็นการเลี้ยงในร่างกายโดยใช้เลือดหล่อเลี้ยง จำต้องเลี้ยงในร่างกายเด็กผู้หญิงที่เกิดในวันเดือนปียามหยินหนึ่งปี ก่อนจะนำออกมาแล้วไปเลี้ยงในร่างกายเด็กผู้ชายที่เกิดในวันเดือนปียามหยางเป็นเวลาสี่สิบเก้าวัน”
“หลังเลี้ยงโตแล้วเล่า หนอนชนิดนี้จะเป็นอย่างไรต่อ” ฉินอวี้ขมวดคิ้ว
“ซ่อมจิต” เซี่ยฟางหวาตอบ
ฉินอวี้มึนงง
เซี่ยฟางหวามิเอ่ยคำใดต่อ
ผ่านไปพักหนึ่ง ฉินอวี้ก็เอ่ยถาม “ตอนนี้หนอนจงในตัวฉินหวนอยู่มานานเท่าไรแล้ว”
“เดือนเศษแล้ว” เซี่ยฟางหวาตอบ
“หากครบสี่สิบเก้าวัน มันจะออกมาเองหรือไม่” ฉินอวี้ถาม
“ต้องมีคนใช้วิชาภูตผีดึงมันออกมาเอง หากครบกำหนดแต่ไม่ดึงออกมา มันก็จะกลายสภาพในร่างของกาฝาก พลังชีวิตของร่างกาฝากจะถูกทำร้าย มิอาจบำรุงกลับมาได้ในเวลาอันสั้น แต่ถึงอย่างไรเจ้าของร่างก็มิได้เป็นอันตรายถึงชีวิต เพียงแต่ทุกเที่ยงวันและเที่ยงคืนจะรู้สึกทรมานเท่านั้น” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า
“พอจะเดาออกจากหนอนจงเลือดหรือไม่ว่าเป็นฝีมือของใคร” ฉินอวี้เม้มพระโอษฐ์
“รอครบสี่สิบเก้าวันก็ทราบแล้ว หนอนจงที่ต้องใช้เวลาเลี้ยงนานขนาดนี้ จะต้องมีคนมานำมันกลับไปเป็นแน่” เซี่ยฟางหวาตอบเสียงเรียบ
ฉินอวี้พยักหน้า พบว่าใบหน้าของเซี่ยฟางหวาประเดี๋ยวสว่างประเดี๋ยวมืดภายใต้แสงเหลืองนวล เขาจึงเอ่ยเสียงอบอุ่น “ดึกมากแล้ว พักผ่อนเถิด”
เซี่ยฟางหวาผงกศีรษะ
ฉินอวี้หมุนตัวเดินออกไปจากห้อง
หลังเขาออกไปแล้ว เซี่ยฟางหวาก็มิได้เข้าพักผ่อนทันที ยังคงนั่งที่หน้าโต๊ะ
ซื่อฮว่าเดินเข้ามาแล้วกล่าวเสียงทุ้ม “คุณหนู ดึกมาแล้ว ท่านพักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ”
“หลี่มู่ชิง เยี่ยนถิง และชุยอี้จือจะเข้าเมืองมาพรุ่งนี้ใช่ไหม” เซี่ยฟางหวาถาม
“เจ้าค่ะ พรุ่งนี้น่าจะเข้าเมืองมา” ซื่อฮว่าผงกศีรษะ
“เหยียนเฉินส่งข่าวมาบ้างหรือไม่” เซี่ยฟางหวาถาม
“ตั้งแต่คุณชายเหยียนเฉินออกจากเมืองก็ยังมิได้ส่งข่าวกลับมาเลยเจ้าค่ะ” ซื่อฮว่าส่ายหน้าตอบ
“แล้วพี่อวิ๋นจี้เล่า” เซี่ยฟางหวาถามอีก
“ตั้งแต่คุณชายอวิ๋นจี้ไปลำน้ำสวินสุ่ยก็ไม่มีข่าวคราว หลายวันก่อนที่ท่านอ๋องน้อยเจิง คุณชายหลี่ ท่านโหวน้อยเยี่ยน และรองราชเลขาชุยเดินทางกลับเมือง คุณชายอวิ๋นจี้มิได้กลับมาด้วยเจ้าค่ะ” ซื่อฮว่าส่ายหน้า
เซี่ยฟางหวาเม้มปาก ก่อนลุกขึ้นเดินไปที่เตียง ขณะเดียวกันก็บอกซื่อฮว่า “เจ้าก็ไปพักผ่อนเถอะ”
ซื่อฮว่าพยักหน้า ปรนนิบัติเซี่ยฟางหวาเข้านอน ก่อนดับตะเกียงแล้วออกไปจากห้อง
เช้าตรู่วันที่สอง หลังเซี่ยฟางหวาตื่นมาก็เขียนเทียบยาแผ่นหนึ่งยื่นให้ซื่อฮว่า “ต้มยาตามเทียบยานี้ เมื่อต้มเสร็จแล้วก็นำไปให้ฉินหวนดื่มทุกเที่ยงวันและเที่ยงคืน โดยดื่มติดต่อกันเจ็ดวัน และต้องระวังเรื่องเวลาด้วย อย่าได้หลงลืม”
“คุณหนูวางใจเถิด ส่งเทียบยานี้ให้ผิ่นจู๋ นางมีความจำเป็นเลิศ ต้องจำเวลาได้แน่” ซื่อฮว่าพยักหน้า
เซี่ยฟางหวาผงกศีรษะ
ซื่อฮว่าถือเทียบยาเดินออกไป
หลังฉินอวี้เลิกว่าราชการยามเช้าก็กลับมาที่ตำหนักบรรทม เขาแวะไปหาฉินหวนก่อนแล้วค่อยมาหาเซี่ยฟางหวา
เซี่ยฟางหวาเห็นเสี่ยวเฉวียนจื่อตามหลังฉินอวี้มา พร้อมหอบสาส์นกราบทูลข้อราชการในอ้อมอกกองหนึ่ง จึงเลิกคิ้วส่งสายตาคำถามให้ฉินอวี้
ฉินอวี้หัวเราะครู่หนึ่ง “ข้าเห็นว่าเจ้าอยู่แต่ในตำหนักทั้งวัน กลัวว่าเจ้าจะเบื่อเสียก่อน ข้าอ่าน
สาส์นกราบทูลข้อราชการในห้องทรงหนังสือคนเดียวก็เบื่อมากเช่นกัน มิสู้ขนมาที่นี่แล้วอยู่เป็นเพื่อนเจ้า”
เซี่ยฟางหวาได้ยินเช่นนั้นก็หลุดยิ้มออกมา “ข้ารักษาอาการป่วย เจ้าเป็นฮ่องเต้ ไฉนเลยจะเทียบกับข้าได้ เพิ่งผ่านไปไม่กี่วันก็เบื่อแล้ว วันเวลาอีกยาวนานจากนี้เจ้าจะผ่านไปได้อย่างไร”
“เจ้ามิใช่เคยพูดไว้หรือ ผ่านไปได้หนึ่งวันก็คือหนึ่งวัน อนาคตเป็นเช่นไรใครจะบอกได้แน่ชัด” ฉินอวี้กะพริบตา
เซี่ยฟางหวาหมดคำพูด
ฉินอวี้นั่งลงหน้าโต๊ะ กวักมือเรียกเสี่ยวเฉวียนจื่อแล้วชี้นิ้วสั่ง “วางไว้ตรงนี้แล้วกัน”
เสี่ยวเฉวียนจื่อรีบเดินเข้ามา วางสาส์นกราบทูลข้อราชการบนโต๊ะอย่างว่องไว ก่อนถอยกลับออกไปอย่างเงียบๆ
ฉินอวี้กางสาส์นกราบทูลข้อราชการ อ่านไปพลางก็จับพู่กันเขียนคำวิจารณ์กำกับไว้ หลังอ่านวิจารณ์ไปได้เพียงหนึ่งเล่ม พลันเอ่ยกับเซี่ยฟางหวาที่นั่งดื่มน้ำชาฝั่งตรงข้ามว่า “เจ้าก็มาช่วยข้าอ่านวิจารณ์สาส์น
กราบทูลข้อราชการเถอะ”
“นี่เป็นงานของฮ่องเต้” เซี่ยฟางหวาตวัดตามองเขา
“เคยมีผู้อื่นวิจารณ์เป็นตัวอย่างมาก่อนเช่นกัน” ฉินอวี้เอ่ย
“นั่นล้วนเป็นสิ่งที่ทรราชกระทำ” เซี่ยฟางหวาตอบ
ฉินอวี้ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนนวดหว่างคิ้วแล้วยิ้มเจื่อน “คิดอู้งานต่อหน้าเจ้ามิได้เลยจริงๆ”
“เจ้าคิดว่าข้าสนใจงานบริหารหรือ ความจริงมิใช่แบบนั้น แม้ข้ารู้เรื่องงานบริหาร แต่มิได้หมายความว่าข้าสนใจมัน” เซี่ยฟางหวาวางถ้วยชาลง
“ข้าคิดว่าเจ้าสนใจงานบริหารจริงๆ ดูท่าข้าคงคิดผิดแล้ว” ฉินอวี้หลุดหัวเราะ
เซี่ยฟางหวาไม่ตอบ
“คนจำนวนมากล้วนคิดว่าฮ่องเต้เป็นผู้สูงศักดิ์ที่สุดในใต้หล้า เพลิดเพลินกับเกียรติยศและความสุขสบาย แท้จริงกลับมิทราบว่างานบริหารบ้านเมืองนั้นจำเจ บัลลังก์ทองคำก็มิได้สบายขนาดนั้น นั่งนานไปก็ปวดกระดูกสันหลัง มิรู้ว่าบรรพบุรุษแต่ละรุ่นกับเสด็จพ่อทนความทุกข์ยากมาทั้งชีวิตได้อย่างไร” ฉินอวี้เอ่ยอีก
“เจ้ายังมิทันราชาภิเษกก็ใช้คำว่าทนความทุกข์ยากแล้ว ชีวิตหนึ่งยาวนานอย่างยิ่ง” เซี่ยฟางหวาชำเลืองมอง
ฉินอวี้หัวเราะ ทันใดนั้นก็วางพู่กันลง “ข้าไม่แน่ว่าจะอยู่ไปชั่วชีวิตมิใช่หรือ” เอ่ยจบก็ลุกขึ้นยืน แล้วบอกกับนาง “ไม่อ่านแล้ว หลายวันนี้ถูกเรื่องยิบย่อยรุมเร้า น่าอึดอัดใจจะแย่ ไปเถอะ เราไปเดินเล่นที่อุทยานหลวงกันดีกว่า ดอกบัวในอุทยานบานแล้ว เราไปพายเรือล่องทะเลสาบ ถ้ามิชมดอกบัวบานตอนนี้ พลาดไปคงน่าเสียดาย”
“พวกนี้จะทำเช่นไร” เซี่ยฟางหวาชี้กองสาส์นกราบทูลข้อราชการ
“ทิ้งไว้ก่อน หลังมื้อกลางวันค่อยอ่านต่อ” ฉินอวี้ตอบ
“หลังบ่ายพวกหลี่มู่ชิงก็กลับมาแล้ว บางทีอาจเข้าวังมาก่อน ถึงตอนนั้นเจ้ายังไหนเลยจะมีเวลาว่าง” เซี่ยฟางหวามองเขา
“เช่นนั้นไว้ตอนค่ำ” ฉินอวี้เร่งเร้า “เจ้าจุกจิกนัก รีบไปกันเถอะ”
เซี่ยฟางหวาเห็นว่าเขาสนใจอย่างมากจึงลุกขึ้น ข้ามธรณีประตูตามเขาออกไป
พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อได้ยินว่าคุณหนูกับฝ่าบาทจะไปชมดอกบัวบานที่อุทยานหลวง ภายในใจก็ผ่อนคลายลง ตั้งแต่กลับเมืองมาคุณหนูอยู่แต่ในตำหนัก พวกนางกลัวว่าจะไม่เป็นผลดีต่อการรักษาอาการป่วยของคุณหนู ส่งผลให้อาการป่วยรุนแรงขึ้น
ทั้งสองออกจากตำหนักบรรทม เดินไปยังอุทยานหลวง