ตอนที่ 116-2 ซ่อมจิตชมบุปผา

จารใจรัก

ตอนนี้อยู่ในช่วงฤดูร้อนพอดี อากาศจึงร้อนอย่างยิ่ง ดวงอาทิตย์ส่องลงมาสร้างไอร้อนแผดเผา 

 

 

           ฉินอวี้เดินไปได้สองก้าวก็หันมามองเซี่ยฟางหวาแวบหนึ่ง ก่อนสั่งงานซื่อฮว่าที่อยู่ด้านหลัง “ไปหาร่มมากางให้นาง” 

 

 

           “ไม่ต้อง” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า “มิได้อ่อนแอขนาดนั้น” 

 

 

           “เจ้าไม่ออกมาข้างนอกหลายวัน ดวงอาทิตย์ส่องจ้าขนาดนี้ หากเป็นไข้แดดขึ้นมาเล่า” ฉินอวี้ไม่เห็นด้วย สื่อให้ซื่อฮว่าไปนำร่มมา 

 

 

           ซื่อฮว่าเองก็รู้สึกว่าอากาศร้อนเกินไป ร่างกายคุณหนูยังอ่อนแอจึงรีบวิ่งกลับไปนำร่มมา 

 

 

           ฉินอวี้หยุดเดิน นิ่งรอกับที่ 

 

 

           เซี่ยฟางหวาจึงได้แต่หยุดเท้าตาม 

 

 

           ผ่านไปพักหนึ่ง ซื่อฮว่าก็นำร่มมากางเหนือศีรษะเซี่ยฟางหวา ฉินอวี้ถึงค่อยเดินต่อ 

 

 

           เดินไปได้ระยะทางหนึ่ง ฉินอวี้ก็เอ่ยเสียงอ่อนโยน “ตอนเด็กเคยเดินไปยังอุทยานหลวงโดยใช้เส้นทางนี้ตั้งไม่รู้กี่ครั้ง ตอนนั้นวังหลังของเสด็จพ่อล้วนประชันความงามกัน ทุกย่างก้าวล้วนมองเห็นหญิงงามในตำหนัก” 

 

 

           “ตอนยังเด็กก็รู้จักมองหญิงงามของเสด็จพ่อเจ้าแล้ว” เซี่ยฟางหวาจงใจหยามเขา 

 

 

           ฉินอวี้หลุดหัวเราะ หันมามองนางแวบหนึ่ง “ใช้ รู้จักมองแล้ว” หยุดชั่วครู่แล้วเอ่ยต่อด้วยรอยยิ้ม “ตอนนั้นข้าไม่เข้าใจอย่างยิ่ง คิดว่าเสด็จแม่รักเสด็จพ่อขนาดนั้น แทบจะมอบใจทั้งดวงให้เสด็จพ่อ แล้วไฉนเลยในพระราชหฤทัยของเสด็จพ่อถึงยังมีสตรีมากขนาดนั้นอีก” 

 

 

           เซี่ยฟางหวามองเขา 

 

 

           “นานวันเข้าข้าก็เข้าใจแล้ว พระราชหฤทัยของเสด็จพ่อมิได้มีสตรีมากขนาดนั้น แต่มีสตรีอยู่เพียงคนเดียว เพียงแต่สตรีคนนั้นมิใช่เสด็จแม่เท่านั้นเอง ทุกครั้งที่ท่านป้าเข้าวังมาหาเสด็จย่า พระองค์ก็ทิ้งงานราชการและสาส์นกราบทูลข้อราชการทั้งหมดแล้วไปยังตำหนักของเสด็จย่า ทั้งที่ตอนนั้นไปถวายบังคมเสด็จย่าแล้วแท้ๆ” ฉินอวี้เอ่ยต่อ  

 

 

           เซี่ยฟางหวามิเอ่ยคำใด 

 

 

           “เพราะเสด็จพ่อชอบท่านป้ามากจึงรักใคร่บุตรชายอันเป็นที่รักเยี่ยงสิ่งล้ำค่าของนางเช่นกัน กระทั่งรักใคร่มากกว่าข้าเสียอีก เสด็จย่ากับท่านป้าก็ยิ่งรักเขาเสมือนแก้วตาดวงใจ ขุนนางราชสำนักกับคนในวังต่างแล่นเรือไปตามลม แต่ละคนพบเขาแล้วก็อ่อนน้อมจนไร้ศักดิ์ศรี นอบน้อมก้มหัว แย้มยิ้มกว้างประดับใบหน้า ตั้งแต่ในวังจนถึงนอกวัง ราวกับใต้หล้ามีเพียงเขาที่เป็นคนโปรดของสวรรค์” ฉินอวี้เอ่ยอีก  

 

 

           เซี่ยฟางหวาชะงักเท้าไปครู่หนึ่ง ก่อนก้าวเดินต่อไป 

 

 

           “ข้าเป็นโอรสของเสด็จพ่อกับเสด็จแม่ ทว่าเวลาอยู่ต่อหน้าเขาราวกับยังต่ำต้อยกว่า โดยมิรู้ตัวก็ไม่ถูกชะตากับเขาแล้ว เขากลับมิทราบเพราะเหตุใดยิ่งไม่ถูกชะตากับข้าด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้ามิชอบข้า ข้ารังเกียจเจ้า จึงกลายมาเป็นปมบนขื่อคานที่ไม่ลงรอยกันตลอดมา” น้ำเสียงของฉินอวี้นิ่งสงบ  

 

 

           “หลายปีที่ผ่านมา เจ้าไม่เคยถามเขาเลยหรือว่าเหตุใดถึงไม่ชอบเจ้า” เซี่ยฟางหวาเงียบไปพักหนึ่งก่อนค่อยๆ เอ่ยปากถาม 

 

 

           “เขายโสโอหังขนาดนั้น ข้าไหนเลยจะอยากเข้าไปถาม ยิ่งไปกว่านั้น คนที่ทำให้เขาชอบได้จะมีสักกี่คนกัน ไม่ชอบก็ไม่ชอบ ถึงอย่างไรข้าก็ยิ่งไม่ชอบเขา” ฉินอวี้ส่ายหน้า  

 

 

           เซี่ยฟางหวาหัวเราะ ก่อนกล่าวด้วยเสียงเรียบสงบดังปกติ “คนที่เขาชอบมีไม่มาก แต่ที่ไม่ชอบที่สุดกลับเป็นเจ้า” 

 

 

           ฉินอวี้เองก็หลุดหัวเราะเช่นกัน “ใช่แล้ว ไม่เข้าใจเลย” หยุดชั่วครู่แล้วเอ่ยขึ้น “ถ้ามีโอกาสค่อยถามดู” 

 

 

           เซี่ยฟางหวาไม่เอ่ยคำใดอีก 

 

 

           ฉินอวี้เองก็เงียบลงเช่นกัน 

 

 

           ทางที่ทั้งสองเดินมิใช่ทางเล็กๆ หรือทางลัดใกล้ๆ หากแต่เป็นทางที่ผู้อาศัยในวังมักใช้สัญจรบ่อยๆ ทว่ากระทั่งเดินมาจวนจะถึงอุทยานหลวงแล้ว ตลอดทางกลับไม่พบใครแม้แต่คนเดียว ไม่เพียงแต่แค่นางข้าหลวงเท่านั้น แต่เหล่าขันทีก็ไม่เห็นหน้า ยิ่งเหล่าสนมนางกำนัลในก็ยิ่งไม่เห็นแม้แต่เงา 

 

 

           เซี่ยฟางหวารู้สึกได้ถึงความเงียบผิดปกติในวังหลัง จึงถามขึ้น “คนในวังเล่า ไฉนถึงไม่เห็นหน้าเลยแม้แต่คนเดียว ถึงแม้อากาศร้อนมาก แต่ก็ไม่ควรเป็นเช่นนี้กระมัง” 

 

 

           ฉินอวี้ร้อง “อ้อ” แล้วเอ่ยต่อ “ลืมบอกเจ้าไปเสียสนิท วันก่อนข้าจัดแจงเหล่าสนมนางกำนัลในของเสด็จพ่อหมดแล้ว” 

 

 

           “จัดแจงอย่างไร” เซี่ยฟางหวาตวัดตามองเขา  

 

 

           “ไท่เฟยที่มีบรรดาศักดิ์แล้วมีองค์ชายองค์หญิง ล้วนตามองค์ชายองค์หญิงออกไปตั้งจวนนอกวังแล้ว ส่วนสนมนางกำนัลในที่ไร้ที่พักพิงแล้วยังสมัครใจอยู่ในวังหลวงต่อ ล้วนย้ายไปยังราชอุทยานปัจฉิม ส่วนที่อยากออกจากวังก็ปล่อยออกไปหมดแล้ว ส่วนที่ไม่มีครอบครัวอยู่นอกวังก็ไปอยู่ที่อารามแม่ชี” ฉินอวี้ตอบ 

 

 

           “แล้วนางข้าหลวงกับขันทีเล่า” เซี่ยฟางหวาถาม 

 

 

           “จัดแจงแบบเดียวกัน” ฉินอวี้ตอบ 

 

 

           “หมายความว่าราชอุทยานบูรพาแห่งนี้ไม่เหลือใครเลย” เซี่ยฟางหวามองไปยังทิศปัจฉิม อาคารตำหนักกั้นขวาง มีราชอุทยานอีกจำนวนไม่น้อย 

 

 

           ฉินอวี้พยักหน้า มองนางแล้วหัวเราะ “ถึงอย่างไรเจ้าก็ชอบความสงบ ข้าจึงจัดแจงเช่นนี้” 

 

 

           เซี่ยฟางหวาละสายตากลับมา มองเขาแล้วกล่าวขึ้น “เจ้าเป็นจักรพรรดิ นับแต่โบราณกมาฮ่องเต้ล้วนมีสามตำหนักหกหมู่เรือนเจ็ดสิบสองพระสนม ตอนนี้ย้ายคนของอดีตฮ่องเต้ออกไปก็ดี หลังเจ้าราชาภิเษกแล้ว คนใหม่ๆ จะได้ย้ายเข้ามาอยู่” 

 

 

           “ไม่มีแล้ว ปล่อยทิ้งไว้แบบนี้ก็ดี ข้าเองก็ไม่ชอบความวุ่นวายเช่นกัน” ฉินอวี้ส่ายหน้า  

 

 

           เซี่ยฟางหวาไม่เอ่ยคำใดอีก 

 

 

           “ไปกันเถอะ เรืออยู่ตรงนั้น” ฉินอวี้ชี้ออกไป 

 

 

           เซี่ยฟางหวาเห็นดอกบัวเบ่งบานเป็นวงกว้างเต็มทะเลสาบแล้วจึงพยักหน้ารับ เมื่อมาถึงริมทะเลสาบ ทั้งสองก็ขึ้นเรือไปด้วยกัน 

 

 

           เรือเพิ่งแล่นไปได้มิไกลพลันมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น ตามมาด้วยเงาคนลอยสูงในอากาศ ปลายเท้าแตะใบบัวแล้วเหยียบผิวน้ำมุ่งมา 

 

 

           บนเรือพลันปรากฏผู้คุ้มกันเข้ามาอารักขาฉินอวี้กับเซี่ยฟางหวาโดยพร้อมเพรียง 

 

 

           “พวกเจ้าแยกไปได้ ไม่เป็นไร เป็นท่านโหวน้อยเยี่ยน” ฉินอวี้ยกพระหัตถ์ 

 

 

           ผู้คุ้มกันได้ยินเช่นนั้นก็แยกย้ายกลับไปอยู่ด้านข้างอย่างระแวดระวัง 

 

 

           เพียงพริบตา เยี่ยนถิงก็ร่อนกายลงบนหัวเรือ เขาสวมอาภรณ์สีเขียวแกมน้ำเงิน สรีระดูสูงกว่าตอนออกจากเมืองหลวงมาก เนื้อตัวเต็มไปด้วยฝุ่นดิน บ่งบอกว่าเพิ่งเข้าเมืองมา แม้แต่บ้านก็ยังมิได้กลับ แต่เข้าวังหลวงมาก่อน มาดคุณชายที่คุ้นเคยจางหายไปอย่างไร้ร่องรอย ห่างเมืองเกินครึ่งปี สั่งสมประสบการณ์ภายนอกมารอบหนึ่ง เขาดูแล้วคล้ายกับตกตะกอนถูกชะล้างนิสัยเดิม ดังหยกที่ผ่านการเจียระไนมาแล้ว น่ามองและหล่อเหลาอย่างยิ่ง 

 

 

           เซี่ยฟางหวาเห็นเยี่ยนถิงก็เกือบจะจำมิได้ นางยังจำได้ว่าก่อนเขาออกจากเมืองไป ถ้อยคำที่กล่าวออกมาในสวนไห่ถังที่จวนจงหย่งโหวครั้งนั้น รวมถึงนิสัยของเขา เยี่ยนถิงในตอนนั้นถูกความผิดหวัง ความสิ้นหวัง ความกดดัน ความหนักหนา การต่อสู้ดิ้นรน ความอับจนหนทางมากมายกดทับบนกาย ตัวเขาไม่มีวี่แววความกระตือรือร้นร่าเริง ตอนนั้นนางคิดว่าหากเขาไม่ไปจากเมือง ไม่ยอมออกจากกรง ชีวิตนี้คงจบสิ้นแล้ว 

 

 

           เขาในยามนี้ดูแล้วยอดเยี่ยมมาก 

 

 

           ฉินอวี้เห็นเยี่ยนถิงก็ชะงักไปครู่หนึ่งเช่นกัน ตามมาด้วยหัวเราะรับ “มิพบกันเกินครึ่งปี เปลี่ยนไปมากถึงเพียงนี้ หรือว่าสภาพแวดล้อมที่เป่ยฉีบำรุงร่างกายได้ดีกว่าหนานฉินของเรา” 

 

 

           เยี่ยนถิงตบฝุ่นดินตามร่างกาย ได้ยินเช่นนั้นก็เลิกคิ้วใส่ฉินอวี้ “มิได้กลับเมืองมาเกินครึ่งปี ฟ้าในเมืองหลวงหนานฉินล้วนเปลี่ยนไปแล้ว องค์ชายสี่กลายเป็นรัชทายาท จากรัชทายาทกลายเป็นฝ่าบาท ทำเอาข้าปรับตัวไม่ทันไปชั่วขณะ” พูดจบก็ก้าวขึ้นมาสองก้าว ก่อนประสานมือต่อฉินอวี้ “เยี่ยนถิงถวายบังคมฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงอายุยืนหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี” 

 

 

           “ท่านโหวน้อยเยี่ยนก้าวหน้าไปไม่น้อยดังคาด เกรงว่าวันหนึ่งจะยิ่งก้าวหน้าไปอีกพันลี้ เดิมทีเราคิดว่าเจ้าพบเราแล้วจะไม่ทำความเคารพเสียอีก” ฉินอวี้ยกมือ “ตามสบายเถอะ” 

 

 

           “ไม่เคารพจักรพรรดิถือเป็นความผิดร้ายแรง รับโทษมิไหวหรอก” เยี่ยนถิงยืดตัวตรง มองฉินอวี้แล้วกล่าวขึ้น “สภาพแวดล้อมที่เป่ยฉีแม้ดียิ่ง แต่ก็มิใช่บ้านของข้า” 

 

 

           “เจ้าบุกขึ้นเรือมาเช่นนี้ก็ไม่เคารพแล้ว” ฉินอวี้มองเขา หัวเราะเล็กน้อย “ยังดีที่เจ้าจำได้ว่าหนานฉินเป็นบ้านของเจ้า เรายังกังวลว่าเจ้าจะไม่ยอมกลับมาแล้วเพราะความโกรธ” 

 

 

           “มัวพะวงเรื่องไม่เคารพมิได้ เรือของฝ่าบาทหากแล่นไปไกลแล้ว ข้าต้องหาเรือไล่ตามไป ในวังหลวงตอนนี้มีใครจะให้ข้ายืมเรือบ้างก็มิทราบ อีกอย่างข้าก็อยากรีบมาพบท่าน จึงไม่อยากรอท่านล่องทะเลสาบเสร็จก่อน” เยี่ยนถิงซับเหงื่อบนหน้าผาก ก่อนหันมามองเซี่ยฟางหวา พินิจมองนางอย่างตั้งใจ 

 

 

           เซี่ยฟางหวาเลิกคิ้วใส่เขาแผ่วเบา 

 

 

           เยี่ยนถิงมองเซี่ยฟางหวาเป็นนาน ก่อนค่อยๆ อ้าปากกล่าว “คุณหนูฟางหวายิ่งงดงามและล้ำค่า” พูดจบก็หันไปมองฉินอวี้ ถามอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “หรือว่าสภาพแวดล้อมในวังหลวงบำรุงร่างกายได้ดีกว่านอกวัง”